ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1514
ลูกหลานตระกูลเย่ทั้งกลุ่ม มองกันไปมองกันมา ล้วนคิดว่าเรื่องที่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ตระกูลเย่และตระกูลซูเปรียบเทียบกัน ความแตกต่างมีไม่มาก ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลซู ก็คงจะอยู่สูงกว่าตระกูลเย่ออกมาเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่เพราะว่าฐานจำนวนทรัพย์สินครอบครัวของตระกูลซูและตระกูลเย่ใหญ่มาก ดังนั้นความแตกต่างยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี้ ความแตกต่างในด้านการเงินก็มากจนทำให้คนตกใจ
หากตระกูลเย่คิดจะล้ำหน้าตระกูลซู ทรัพย์สินอย่างน้อยที่สุดต้องเพิ่มหลายแสนล้านถึงจะมีความเป็นไปได้
น้ำหนักของตระกูลซูเดิมทีก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลเย่ ความรวดเร็วในการพัฒนาก็ต้องไวกว่าตระกูลเย่เป็นธรรมดา ดังนั้นความแตกต่างของตระกูลเย่และตระกูลซูที่จริงแล้วกำลังค่อยๆใหญ่ขึ้น
ตอนนี้คิดอยากจะเติบโตขึ้นสวนกระแส ตามทันตระกูลซู ไม่เพียงแค่ยากราวกับขึ้นไปเหยียบบนสวรรค์ เหมือนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากยิ่งกว่า
เย่โจงฉวนเห็นทุกคนต่างก็ไม่พูดจา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจอย่างโศกเศร้าขึ้นมาระลอกหนึ่ง “ยี่สิบปีก่อน ตอนที่ฉางอิงยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลเย่ภายใต้การเป็นผู้นำของเขา ดูเหมือนได้นำตระกูลซูไปแล้ว ในตอนนั้น ฉางอิงกำหนดยุทธศาสตร์ครองที่หนึ่งของประเทศ ตระกูลใหญ่ทั่วทั้งเย่นจิงต่างก็คิดว่า ตระกูลเย่จะต้องนำหน้าตระกูล กลายเป็นจุดสูงสุดของประเทศอย่างแน่นอน…”
พูดถึงตรงนี้ เย่โจงฉวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นพร้อมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสารเห็นใจ “แต่ว่า หลังจากที่ฉางอิงจากไป พวกแกเหล่านี้แย่ลงเรื่อยๆจริงๆ…”
ลูกชายคนโตเย่ฉางโคงได้ฟังประโยคนี้ เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก “พ่อ หากพ่อพูดแบบนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ชอบพูดว่าพวกเรานี่สู้ฉางอิงไม่ได้ นั่นสู้ฉางอิงไม่ได้ แต่ตอนแรกก็คือพ่อที่ไล่ฉางอิงทั้งครอบครัวไป หากในตอนแรกพ่อไม่ไล่ฉางอิงไป ไม่แน่ตระกูลเย่ตอนนี้คงจะบรรลุเป้าหมายครองที่หนึ่งของประเทศแล้ว”
“แก…” เย่โจงฉวนชี้เย่ฉางโคงด้วยความโมโห อยากจะตะโกนด่าออกไป แต่จากนั้นก็อดทนกลับมาได้
เขาถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นกับทุกคนว่า “เรื่องในปีนั้น ผ่านไปก็ผ่านไปแล้ว ยังไงพวกเราก็มุ่งจุดสนใจไปที่ด้านหน้าเถอะ”
เย่ฉางโคงเอ่ย “ตอนนี้คุณท่านมีวิธีการที่ดีอะไรมาย่อระยะห่างระหว่างพวกเรากับตระกูลซูให้สั้นลงได้ครับ?”
เย่โจงฉวนลังเลอยู่ชั่วขณะ เอ่ยปากว่า “ตระกูลซูลูกหลานผู้ชายเยอะมากมาโดยตลอด คุณท่านซูมีลูกชายห้าคน หลานชายสิบสามคน แต่ดูเหมือนมีหลานสาวเพียงแค่สองคน หนึ่งในนั้นปีนี้อายุยี่สิบสองปี ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว อีกคนยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลานสาวสองคนนี้อยู่ที่ตระกูลซูราวกับไข่มุกในมือ หลานของตระกูลเย่หากสามารถแต่งงานกับหลานสาวคนโตของตระกูลซูได้ สำหรับตระกูลเย่แล้ว จะต้องเกิดกำลังการช่วยเหลือที่มหาศาลอย่างแน่นอน!”
คุณอาใหญ่ของเย่เฉินเย่ฉางหมิ่น เอ่ยปากขึ้น “พ่อคะ หลานสาวคนโตของตระกูลซูอยู่ที่ตระกูลซูได้รับความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง หากอยากแต่งเธอเข้ามา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นหลานชายคนโตของบ้านเราถึงจะได้นะคะ!”
หลานชายคนโตของตระกูลเย่ ก็คือเย่เฟิงลูกชายเย่ฉางโคงลุงใหญ่ของเย่เฉิน
เวลานี้ เย่ฉางโคงทอดถอนหายใจออกมา เอ่ยว่า “ฉางหมิ่น เสี่ยวเฟิงปีก่อนก็ได้หมั้นหมายกับเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์นอร์เวย์แล้ว ฤดูร้อนปีนี้ก็จะจัดงานแต่งงาน เรื่องนี้ทั้งเย่นจิงแทบจะรู้หมด ไม่มีช่องว่างให้ไกล่เกลี่ยน่ะสิ!”
“นั่นสิ” พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเย่เฉินเย่เฟิงเอ่ยปากขึ้น “ซูจือหยูนั่นของตระกูลซู ก่อนหน้านี้ผมก็เคยสัมผัสมาก่อน นิสัยของผู้หญิงคนนี้เย็นชา เข้าร่วมสังคมน้อยมาก งานเลี้ยงกุลสตรีที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศมากมายใช้วิธีต่างๆนานาเชิญเธอร่วมงาน เธอต่างก็ไม่เคยรับมาก่อน คิดจะจีบเธอ ความยากเทียบได้กับเหยียบขึ้นไปบนสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นตัวผมเองก็มีการหมั้นหมายอยู่ หากผมไปจีบเธอล่ะก็ เกรงว่าคนตระกูลซูแวบเดียวก็สามารถมองสิ่งจูงใจของผมออก…”
เย่เห้าหนึ่งในน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเย่เฉิน ลูกชายคนโตของเย่ฉางหยุนน้องสามตระกูลเย่ เอ่ยปากด้วยความตื่นเต้นอย่างยากที่จะปิดมิดได้ “คุณปู่ ไม่อย่างงั้นผมไปลองดู?”
เย่ฉางโคงมองดูหลานชายที่หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษแวบหนึ่ง ส่ายศีรษะพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเห้า ความแข็งแกร่งของตระกูลซูเดิมทีก็อยู่เหนือว่าพวกเรา ต่อให้เป็นพี่เฟิงของแกลูกชายคนโตหลานชายคนโตคนนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าตาตระกูลซูได้ นับประสาอะไรกับแก?”
เย่ฉางหยุนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักว่า “พี่ใหญ่ ประโยคนี้ของพี่ก็ทำให้คนหมดความสนใจแล้ว ใครกำหนดว่าหลานสาวคนโตของตระกูลซูจะต้องแต่งกับลูกชายคนโตหลานชายคนโตของตระกูลอื่น? ไม่แน่เสี่ยวเห้าของพวกเราก็อาจจะมีเสน่ห์นี้ก็ได้นะ?”
เย่ฉางโคงหัวเราะเหอะๆ “ไอ้สาม หากแกไม่ยอม งั้นก็ให้เสี่ยวเห้าไปลองดูได้ ฉันเพียงแต่กลัวว่าเสี่ยวเห้าแม้แต่โอกาสที่จะพบกับซูจือหยูก็ยังไม่มี หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นการทิ้งสิ่งที่น่าขำไว้ให้กับทุกคนเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง”
คุณท่านเย่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ราดน้ำเย็นใส่ “คิดจะดองกับตระกูลซู เสี่ยวเห้าห่างไกลมากเกินไปจริงๆ”
ในขณะที่พูด อยู่ๆเขาก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ในสายตาเปล่งประกายขึ้น หันไปทางถังซื่อไห่ที่ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอด เอ่ยปากว่า “ซื่อไห่ แกคิดว่า หากให้ลูกชายของฉางอิงไปดองกับตระกูลซู เขาจะยินยอมไหม?”