ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1646
ซูจือเฟยกลับมีการพิจารณาของตัวเอง
ในมุมมองของตระกูลซู ทากาฮาชิ มาจิมีข้อดีสองประการ เมื่อเทียบกับนางาฮิโกะ อิโตะ อันดับแรก เขาอยากจะกำจัดตระกูลอิโตะ ประการที่สอง เขายินดีที่จะลดส่วนแบ่งลงเป็นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น เมื่อมองไปที่นางาฮิโกะ อิโตะในตอนนี้ เขารู้สึกว่า นางาฮิโกะ อิโตะจะต้องเท่ากับทากาฮาชิ มาจิอย่างน้อยหนึ่งในสองจุดนี้ และจุดอื่นก็ดีกว่าเงื่อนไขของทากาฮาชิ มาจิอีกด้วย
ข้อแรก คือการกำจัดตระกูลอิโตะ ซึ่งนี่ก็เป็นคำขอสุดโต่งอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ตระกูลทากาฮาชิกำจัดตระกูลอิโตะ หรือขอให้ตระกูลอิโตะกำจัดตระกูลทากาฮาชิ ตราบใดที่ถูกกำจัด มันก็ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว
ดังนั้น แม้แต่นางาฮิโกะ อิโตะก็เต็มใจที่จะร่วมมือกันเพื่อกำจัดตระกูลทากาฮาชิ ก็มีเพียงจุดนี้เท่านั้น ที่เขามีค่าเท่ากับทากาฮาชิ มาจิ
หากเป็นเช่นนั้น เว้นแต่เขาจะได้รับข้อตกลงที่ดีกว่าของทากาฮาชิ มาจิ ในรายการที่สอง มิเช่นนั้นตระกูลซูก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเลย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเสนอส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ หากนางาฮิโกะ อิโตะเห็นด้วย ก็โน้มน้าวให้เขาตกลงที่จะร่วมมือเพื่อกำจัดตระกูลทากาฮาชิ หากเป็นเช่นนั้น ก็จะหากำไรเพิ่มให้กับตระกูลซูได้อีกห้าเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางาฮิโกะ อิโตะได้ยินคำว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่สามารถยืดตัวเองได้ในทันที
เขาโกรธมากและแอบบ่นว่า “ผมต้องการสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ คุณให้ผมยี่สิบปอร์เซ็นต์ และยังบอกว่าถ้าสูงกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์จะไม่พิจารณา และจะไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาต่อรองเลยแม้แต่น้อย นี่มันมากเกินไปไหม? ”
“ในเรื่องนี้ ผมต้องใช้ประโยชน์จากท่าเรือในประเทศของผมเอง และปล่อยให้คุณผู้มาลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาทำเงิน แต่คุณให้ผมเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น รังแกคนเกินไปหน่อยมั้ย!”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางาฮิโกะ อิโตะก็โกรธขึ้นในใจ เขาพูดอย่างเย็นชากับซูจือเฟยว่า “คุณชายซู ยี่สิบเปอร์เซ็นต์มันน้อยเกินไปหรือเปล่า ผมยอมรับว่าตระกูลซูแข็งแกร่ง และมีเรือเดินทะเลมากมายอยู่ในมือ แต่พวกคุณก็ไม่ควรบีบคั้นผมขนาดนี้ไหม?”
ซูจือเฟยพูดอย่างจริงจังว่า “คุณอิโตะ คำว่าบีบคั้นมันพูดเกินไปหน่อย แต่เราเป็นฝ่ายที่มีความคิดริเริ่มที่ดีจริงๆ ตอนนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงลดลงตกต่ำอย่างต่อเนื่อง มันยากในขั้นตอนนี้ที่คุณวางอุตสาหกรรมนี้ให้เสร็จ อยากจะทำเงินจากสิ่งนี้ มีเพียงการร่วมมือกับพวกเราเท่านั้น”
หลังจากหยุดชั่วคราว ซูจือเฟยกล่าวอีกครั้งว่า “แม้ว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์จะน้อยไปหน่อย แต่หลังจากเริ่มธุรกิจแล้ว ปริมาณของงานชิ้นนี้ยังมากอยู่ ถ้าทำเงินได้หนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ตระกูลอิโตะก็จะสามารถแบ่งได้สองพันล้าน สองพันล้านดอลลาร์คือตัวเลขแบบไหน? ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลอิโตะจะมีกำไรมากขนาดนี้ในหนึ่งปีใช่ไหม?”
นางาฮิโกะ อิโตะส่ายหัวแล้วพูดว่า “คุณชายซูการคำนวณบัญชีไม่ใช่แบบนี้ ถ้าผมทำด้วยตัวเอง ถึงแม้ผมจะไม่ได้กำไรปีละหนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่จะทำได้หนึ่งพันกว่าล้าน ถ้าผมทำงานหนักด้วยตัวเอง บางทีผมอาจจะไปถึงระดับสองสามพันล้านได้ ถ้ามองแบบนี้ งั้นผมก็คงขาดทุนแล้วไม่ใช่หรอก?”
ซูจือหยุเอ่ยปากพูดด้วยความภูมิใจเล็กน้อยในเวลานี้ว่า “คุณอิโตะ เมื่อกี้คุณบอกว่าตัวเองทำงานหนักหน่อยก็อาจจะสามารถทำได้ขนาดสองสามพันล้านดอลลาร์ ในความคิดของฉันมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
นางาฮิโกะ อิโตะขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ตระกูลอิโตะของผมก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความสามารถมากที่สุดอยู่ในญี่ปุ่นเหมือนกัน!”
ซูจือหยูยิ้ม และพูดด้วยความกดดันเล็กน้อยว่า “พูดตามตรง ถ้าตระกูลซุจะไม่ทำธุรกิจนี้ คุณก็อาจมีโอกาสนี้ แต่เนื่องจากตระกูลซูกำลังจะเข้าสู่ตลาดตอนนี้ มีตระกูลซูอยู่ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับคุณที่จะประสบความสำเร็จในวงกว้างเช่นนี้ และแม้แต่ตระกูลซูก็ไม่อนุญาตให้คุณทำธุรกิจนี้ขึ้นมาได้”
ศักดิ์ศรีของนางาฮิโกะ อิโตะได้รับผลกระทบอย่างหนักทันที
เขาไม่ได้คาดคิดว่า ซูจือหยุที่ไม่ค่อยพูดมากมาตลอด เอ่ยปากพูดแล้วจะพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้!
แม้กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า ไม่ไว้หน้านางาฮิโกะ อิโตะเลยด้วยซ้ำ!
นางาฮิโกะ อิโตะที่รู้สึกสะเทือนใจมาก อารมณ์ที่ไม่พึงพอใจก็ปะทุขึ้นมาทันที เขากัดฟัน และพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันต่อไปแล้ว ตระกูลอิโตะจะทำธุรกิจนี้ด้วยตัวเอง! ถึงเวลานั้นคุณจะเห็นกับตาคุณเอง ว่าผมจะทำธุรกิจนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!”
ซูจือหยูยิ้มเล็กน้อย “คุณอิโตะ งั้นฉันก็ขอให้คุณโชคดีนะคะ!”