ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1702
อิโตะ นานาโกะ มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเย่เฉิน แต่ว่ากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ดังนั้นเธอจึงเริ่มจากการบอกเย่เฉินเกี่ยวกับวัยเด็กและอดีตของตน
แม้ว่าเธอจะเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย แต่วัยเด็กของอิโตะ นานาโกะกลับไม่ได้ถือว่ามีความสุข
แม่ของเธอเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่นี่ก็ไม่สามารถชดเชยข้อบกพร่องทางความรู้สึกในวัยเด็กของอิโตะ นานาโกะ ได้
นอกจากนี้ นางาฮิโกะ อิโตะนั้นยุ่งอยู่กับงานทั้งวัน เวลาที่พอจะจัดสรรให้กับอิโตะ นานาโกะแต่เดิมก็มีน้อยมากอย่างยิ่ง บวกกับนิสัยที่เคร่งขรึมสำรวมท่าทีของนางาฮิโกะ อิโตะ ทำให้วัยเด็กของอิโตะ นานาโกะจึงขาดความรักไปอยู่มาก
แม่ของอิโตะ นานาโกะ เป็นกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ ดังนั้นเมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอมักจะสอนอิโตะ นานาโกะ ด้วยวิธีดั้งเดิมเสมอ และอิโตะ นานาโกะ ก็ยังได้เรียนรู้พิธีชงชา การวาดภาพ การเย็บปักถักร้อย และแม้กระทั่งการอ่านบทกวีมาตั้งแต่ยังเด็ก อาจกล่าวได้ว่าในนิสัยของเธอ ด้านความเป็นกุลสตรีราวยามาโตะนาเดชิโกะนั้นล้วนมาจากมารดาของเธอเป็นผู้มอบให้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต อิโตะ นานาโกะก็มาชอบศิลปะการต่อสู้ นั่นเพราะเธอรู้สึกว่าขณะที่เธอฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เธอสามารถลืมความโศกเศร้าและความทุกข์ในชีวิตไปได้ชั่วขณะ
ในตอนแรก เธอฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ก็เพียงเพื่อหนีจากโลกความเป็นจริง แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป เธอก็ตกหลุมรักศิลปะการต่อสู้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเธอเล่าเรื่องของตนเองจบก็เปลี่ยนมาไล่ตามเย่เฉินและถามเขาว่า “เย่เฉินซัง คุณช่วยเล่าเรื่องราวในวัยเด็กของคุณให้ฉันฟังได้ไหมคะ?”
เย่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนฉันยังเด็ก…วัยเด็กของฉันมีความแตกต่างออกไปสองขั้ว ชีวิตก่อนอายุแปดขวบเป็นไปด้วยดีอย่างมาก พ่อแม่รักใคร่ ครอบครัวร่ำรวย หมดห่วงเรื่องเสื้อผ้าอาหาร แต่เมื่อฉันอายุได้แปดขวบ พ่อแม่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฉันก็กลายไปเป็นเด็กกำพร้าข้างถนน จากนั้นก็เติบโตมาในสถานสงเคราะห์…”
“หา?!” อิโตะ นานาโกะได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ คำพูดที่เอ่ยขึ้นแฝงความรู้สึกปวดใจอยู่หลายส่วน “ขอโทษนะคะเย่เฉินซัง นานาโกะไม่ได้ตั้งใจ…”
เย่เฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ”
อิโตะ นานาโกะเอ่ยทอดถอนใจ “พอพูดแบบนี้แล้ว วัยเด็กของฉันนั้นโชคดีกว่าเย่เฉินซังมาก แม้ว่าคุณพ่อปกติมักจะเข้มงวดกับฉัน สงวนท่าที แต่ว่าในใจของเขาก็รักใคร่เอ็นดูฉันมาก เพียงแต่วิธีการแสดงออกของเขานั้นเทียบกับขึ้นมาอาจจะไม่อ่อนโยนขนาดนั้น.. .”
พูดจบ อิโตะ นานาโกะก็มองไปที่เย่เฉิน และพูดอย่างจริงจังว่า “เย่เฉินซัง อันที่จริงความขัดแย้งระหว่างคุณกับคุณพ่อ ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินเถียนจงเคยพูดถึงมันมาก่อน ที่ฉันแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ก็เพราะไม่ต้องการให้เย่เฉินซังอึดอัด แต่ความจริงแล้ว เนื้อแท้ของคุณพ่อไม่ใช่คนเลวร้าย ถ้าหากมีโอกาส ฉันยังหวังว่าพวกคุณจะสามารถปรับความเข้าใจกันได้ และกลายเป็นเพื่อนกัน…”
ที่จริงแล้ว สิ่งที่ในใจของอิโตะ นานาโกะอยากจะพูดจริงๆ ไม่ใช่เธอต้องการให้เย่เฉินกับพ่อของตนสามารถเป็นเพื่อนกัน
ในใจของเธอ แม้กระทั่งหลับฝันยังหวังว่าพวกเขาจะกลายมามีความสัมพันธ์แบบพ่อสามีและลูกเขยได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม เธอรู้ว่าเย่เฉินแต่งงานแล้ว ดังนั้นคำพูดแบบนี้ เธอได้แต่เก็บซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่ลับสุดในใจของเธอเท่านั้น และไม่มีทางพูดมันออกมาเด็ดขาด
เย่เฉินในเวลานี้ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าหากมีโอกาส ฉันจะทำ”
อิโตะ นานาโกะดีใจขึ้นมาทันที เธอเอ่ยอย่างจริงจัง “อย่างนั้นก็ดีมากอย่างยิ่งจริงๆ! แต่ว่าเย่เฉินซังอย่าได้เข้าใจความหมายของฉันผิด ฉันหวังว่าคุณจะเป็นเพื่อนกับคุณพ่อได้ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน4.5พันล้านดอลลาร์นั่น เงินนี้เย่เฉินซังจะต้องเก็บเอาไว้ที่ตนเอง ห้ามให้คุณพ่อนะคะ!”
เย่เฉินอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขาถามเธอ “ทำไมเธอถึงได้เข้าข้างคนนอกล่ะ? เงินสี่พันห้าร้อยล้าน นี่ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆนะ!”
อิโตะ นานาโกะ หน้าแดงด้วยความอาย เธอเอ่ยเสียงเบา “นี่ไม่เป็นไร เย่เฉินซังช่วยชีวิตฉันเอาไว้ อีกทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บของฉัน เงินจำนวนนี้ ถือเป็นการตอบแทนของคุณพ่อที่มอบให้เย่เฉินซัง!”
เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาเอ่ยอย่างเพลิดเพลิน “ถ้าพ่อของเธอรู้ คาดว่าคงต้องโกรธเธอแทบแย่แน่”
อิโตะ นานาโกะหัวเราะคิกคัก ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆโทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นขึ้นมา
เธอแปลกใจเล็กน้อย “ดึกขนาดนี้แล้ว ใครโทรหาฉันกัน คงไม่ใช่คนรับใช้พบว่าฉันหนีออกมาแล้วหรอกนะ?”
พูดไป เธอก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ไอ้หยา เป็นคุณพ่อ!”