ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1749
แม้ว่าซูรั่วหลีจะเย้ยหยันกับการแสดงของเย่เฉิน แต่ก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกตื้นๆ ของเย่เฉินที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยกับเย่เฉิน
หลังจากนั้น เธอก็เดินเข้ามาที่ด้านข้างของเย่เฉิน และนั่งลงข้างๆ ที่นั่งเขาโดยตรง
ทันทีที่นั่งลง ซูรั่วหลีก็ใช้หางสายตา และมองดูเย่เฉินอย่างเงียบๆ ขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เพราะเธอสงสัยเย่เฉินอะไร แต่เพราะนิสัยที่ระมัดระวังตามปกติของเธอ
ในแต่ละสภาพแวดล้อมที่ไปถึง สิ่งแรกที่เธอจะทำก็คือต้องมีความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อมนั้นอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจเป็นประโยชน์
ก่อนอื่นเธอสังเกตเย่เฉินอยู่พักหนึ่ง และพบว่าชายผู้นี้หน้าตาหล่อดีจริงๆ และดูค่อนข้างสบายตาอยู่บ้าง
แต่เมื่อมองดูบนร่างของตัวเองเป็นครั้งคราว ดวงตาที่มองตรงๆ แบบนั้น ทำให้คนดูค่อนข้างอึดอัด
ดังนั้น ซูรั่วหลีจึงหันกลับมา มองไปที่เย่เฉิน และริเริ่มถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นคนจีนใช่ไหม?”
เย่เฉินคาดไม่ถึงว่า นักฆ่าหญิงของตระกูลซูคนนี้จะหันหน้ามาพูดกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นดีใจ แล้วถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “คนสวยคุณดูออกได้อย่างไรว่าผมเป็นคนจีน? นี่ก็ไม่ใช่เที่ยวบินที่บินไปจีนเลย”
ซูรั่วหลียิ้มเล็กน้อย และพูดอย่างจริงจังว่า “ความแตกต่างระหว่างผู้ชายชาวญี่ปุ่นและผู้ชายชาวจีนมันก็ค่อนข้างเยอะมากพอสมควรอยู่ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะโกนขนคิ้ว และทรงผม และสไตล์การแต่งตัวของพวกเขาก็จะไม่เหมือนกันด้วย”
เย่เฉินยิ้มและกล่าวว่า “คนสวยเป็นคนที่ช่างสังเกตจริงๆ ”
ซูรั่วหลีพยักหน้า และถามเขาว่า “ท่านชายมาจากที่ไหนของประเทศจีนเหรอ? ”
เย่เฉินกล่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า “ผู้คนจากซูหาง”
“โอ้?” ซูรั่วหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “ซูหางเป็นสถานที่ที่ดี ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์อยู่บนฟ้า และซูหางอยู่บนดิน (ซึ่งหมายถึงสวรรค์บนท้องฟ้าสวยงามที่สุด ซูโจวและหางโจวก็เป็นที่ที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้) น้ำและดินของสถานที่แห่งนั้นเลี้ยงดูคนได้ดีมาก”
หลังจากนั้น ซูรั่วหลีก็ถามเขาอีกครั้งว่า “ใช่แล้ว ในเมื่อท่านผู้ชายเป็นคนที่มาจากซูหาง งั้นก็น่าจะรู้จักกับตระกูลอู๋แห่งซูหางใช่ไหม? ”
ไม่ว่ายังไงซูรั่วหลีก็เป็นผู้ยอดฝีมือที่รอบรู้และมีประสบการณ์จริงมามากมาย เมื่อได้ยินเย่เฉินแนะนำตัวเองว่าเป็นคนที่มาจากซูหาง ความคิดแรกของเธอก็คืออยากจะยืนยันว่าเย่เฉินได้โกหกหรือไม่
เธอรู้สึกว่า ถ้าผู้ชายคนข้างๆ ไม่ได้โกหก งั้นก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก ในการเดินทางครั้งต่อไป หากมีเหตุฉุกเฉินใดๆ เกิดขึ้น ก็จะสามารถใช้เขามาเป็นโล่มาบังตัวเอง เป็นแบบนี้ตัวเองก็จะสามารถปลอดภัยยิ่งขึ้น
เย่เฉินได้ยินว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาพูดถึงตระกูลอู๋ และก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทดสอบว่าตัวเองมาจากซูหางจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะและพูดว่า “มีใครไม่รู้จักตระกูลอู๋ล่ะ หัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลอู๋คืออู๋ตงไห่ เขามีลูกชายสองคน คนหนึ่งชื่อว่าอู๋ซิน อีกคนชื่อว่าอู๋ฉี อู๋ฉีคนนั้นมีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก ได้ยินมาว่าไม่รู้เป็นบ้าอะไร และจำเป็นต้องกินอุจจาระทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง โอ๊ย มันก็ช่างแปลกประหลาดจริงๆ”
ซู่รั่วหลีหัวเราะ และกล่าวว่า “ไม่คิดเลยว่าคุณจะคุ้นเคยกับเรื่องของตระกูลอู๋มากนัก”
เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่นว่า “แน่นอน มีใครไม่รู้เรื่องของตระกูลอู๋อยู่ในซูหางบ้างล่ะ?”
หลังจากพูด เย่เฉินก็ลดเสียงต่ำลง แล้วพูดว่า “บอกอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้แก่คุณหน่อย!”
ซูรั่วหลีพยักหน้า “ยินดีที่จะรอรับฟัง”
เย่เฉินงอนิ้วให้เธอ แล้วพูดว่า “คุณเข้ามาใกล้ผมหน่อยแล้วผมจะบอกคุณ”
ซูรั่วหลีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อยว่า “คุณก็พูดแบบนั้นได้เลย”
เย่เฉินทำหน้าบึ้ง “ความลับนี้จะบอกต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้าคุณอยากจะฟังก็เข้ามาฟังใกล้ๆ ถ้าคุณไม่อยากจะฟังก็ช่างมันไปเถอะ”
ความโกรธของซูรั่วหลีก็เกิดขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นเย่เฉินอยากจะแต๊ะอั๋งตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็แทบอดไม่ไหวที่อยากจะตบหน้าเขาแรงๆ