ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1886
กระทั่งเพื่อเงินแล้ว แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็ขายได้
แต่กู้ชิวอี๋นั้นไม่เหมือนคนพวกนั้น
เงินสำหรับเธอแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอเลยสักนิด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่เธอได้พบกับเย่เฉินอีกครั้ง ก็ได้มีการวางแผนว่าจะออกจะวงการบันเทิงแล้วด้วยซ้ำ
เธออยากจะออกจากวงการบันเทิงก่อน หลังจากนั้นก็รอให้เย่เฉินจัดการปัญหาเรื่องแต่งงานที่ยังคาราคาซังในตอนนี้ให้เรียบร้อย ก็จะแต่งงานตามสัญญากับเย่เฉิน จากนั้นก็ตั้งใจจะเป็นแม่บ้านดูแลสามีและลูก
แม้กระทั่ง เธอได้คิดไว้แล้วว่า เมื่อถึงเวลาเปิดคอนเสิร์ตในทัวร์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย ก็จะประกาศให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกันว่าจะลาออกจากวงการ
ลาออกจากวงการดนตรี วงการภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น ที่ซูจือหยูพูดถึงการร่วมมือในเรื่องอย่างนี้ เธอยิ่งไม่มีความสนใจเลยสักนิดเดียว
เพราะฉะนั้น เธอจึงพูดออกไปตรงๆว่า “ขอโทษด้วยนะจือหยู การทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ของฉัน ไม่ได้คิดจะหาสปอนเซอร์อ อีกอย่างสื่อโฆษณาที่ใช้ในการโปรโมทก็จัดทำเรียบร้อยแล้ว มีแพลทฟอร์มออนไลน์บางเว็บไซต์ก็เริ่มโปรโมทแล้ว จะมาเซนสัญญาสปอนเซอร์ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว จะแก้ไขสื่อโฆษณาที่ใช้โปรโมทก็ไม่ทันอีกเหมือนกัน ”
ซูจือหยูรีบพูดขึ้นว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรพี่ชิวอี๋ ขอเพียงพี่พยักหน้าตกลง แม้ว่าพวกเราจะโผล่มาขึ้นรถกลางทางก็ไม่เป็นปัญหา ”
พูดแล้ว เธอก็รีบส่งสายตาให้กับซูจือเฟยทันที
ซูจือเฟยที่อยู่ข้างๆรีบพูดขึ้นทันทีว่า “คืออย่างนี้นะครับคุณชิวอี๋ ผมอยากจะเป็นสปอนเซอร์ให้กับการทัวร์คอนเสิร์ตของคุณในครั้งนี้ จากนั้นก็ทำการโปรโมทอย่างยิ่งใหญ่ในรูปแบบของการกุศล ขอเพียงคุณตกลง ในทุกรอบการแสดงคอนเสิร์ตของคุณผมสามารถช่วยเหลือออกค่าใช้จ่ายให้เป็นเงินสิบล้าน จากนั้นเงินจำนวนทั้งหมดสิบล้านนี้จะถูกใช้ในนามของคุณ เพื่อบริจาคให้กับองค์การการกุศลต่างๆ และจุดประสงค์หลักของเงินจำนวนนี้ คือการช่วยเหลือเพื่อปรับปรุงพัฒนาสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็กกำพร้า คุณคิดว่าเป็นไงบ้าง”
กู้ชิวอี๋ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกลังเลอยู่บ้าง
เดิมที เธอแน่ใจแล้วว่า จะปฏิเสธแน่นอน ตาคิดไม่ถึงว่า ซูจือเฟยจะใช้วิธีการกุศลเพื่อร่วมงานกับเธอ
อีกอย่าง ยังเป็นการทำการกุศลกับเด็กกำพร้าโดยเฉพาะ
ข้อนี้เองที่แตะโดนจุดที่อ่อนที่สุดในใจของเธอ
ตอนแรก ที่ได้พบหน้าเย่เฉินอีกครั้ง หลังจากที่ได้รับรู้ว่าเย่เฉินนั้นเติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาสิบปี กู้ชิวเย่รู้สึกสงสาร กับชีวิตในสิบปีที่ผ่านมาที่มีช่วงระยะเวลาในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นที่แสนจะลำบากของเย่เฉิน
ตัวคนเดียว ถ้าหากเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เดินเข้าไปใช้ชีวิตในสังคม ลำบากหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง
แต่ว่า ในวัยเด็กหากเจอความลำบากมากเกินไป ไม่ว่ากับใครแล้ว เกรงว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมได้ไปชั่วชีวิต
เพราะว่า วัยเด็กเดิมทีเป็นช่วงเวลาที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ เป็นเวลาที่สดใสงดงามที่สุด ในวัยนี้ไม่ว่ากับใคร ก็สำคัญที่สุดแล้ว
ถ้าหากมีชีวิตที่ดีในช่วงวัยเด็ก แม้จะถึงวัยใกล้ฝั่งอายุเจ็ดแปดสิบปีแล้วเมื่อหวนคิดถึง ก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความสุขนั้น
ถ้าหากมีวัยเด็กที่ลำบาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะถูกขังอยู่ในเงามืดที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้
เพราะว่ารู้สึกสงสารเย่เฉิน ฉะนั้นในใจของกู้ชิวอี๋ ก็สงสารเด็กกำพร้าคนอื่นๆที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับเย่เฉินเช่นกัน
วินาทีนี้ เธอเองก็เกิดความกระดากใจขึ้นมาไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเองในใจ “ฉันนี่มันโง่จริงๆ ที่จริงควรจะคิดทำประโยชน์ให้กับเด็กกำพร้าคนอื่นๆตั้งนานแล้ว ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาย้ำเตือนด้วย”
คิดถึงตรงนี้ เธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้นะคะคุณซู ในเมื่อเป็นการกุศล ใช้เงินของคุณ ใช้ชื่อเสียงของฉัน ฉันรู้สึกละอายใจไม่กล้ารับ ไม่สู้ฉันกับแบรนด์เครื่องสำอางของคุณเรามาร่วมมือกันทำเรื่องนี้ดีกว่า ในทุกการแสดงคอนเสิร์ต บริษัทเครื่องสำอางของคุณบริจาคสิบล้าน ตัวฉันเองก็บริจาคสมทบอีกสิบล้าน ”