ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 1906
ในใจครุ่นคิด:“ถูกตบทีเดียวได้เงินมา1ร้อยหยวน มันคุ้มกว่าการทำงานอยากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันอีก!”
ในขณะที่กำลังตื่นเต้นอยู่นั้น นายหญิงใหญ่เซียวเห็นกระเป๋าสตางค์ของฝ่ายตรงข้ามยังมีธนบัตรสีแดงใบละ1ร้อยหยวนอยู่ พลางครุ่นคิดในใจและเอ่ยปากขึ้นว่า:“อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่ตัวฉันมีเงินย่อยอยู่มันค่อนข้างจะยุ่งยาก ช่วยฉันแลกเป็นแบงค์ใหญ่หน่อยเถอะ”
ฝ่ายตรงข้ามพูดขึ้นจากจิตใต้สำนึกว่า:“ได้ค่ะ…คุณอยากจะแลกยังไงคะ?”
นายหญิงใหญ่เซียวหยิบไส้กรอกและเงินจำนวน90หยวนที่เหลือจากการจ่ายค่ารถเมล์ออกมาจากกระเป๋า และวางบนมือของผู้หญิงคนนั้น พลางพูดขึ้นว่า:“อ่อ เปลี่ยนเป็นธนบัตรให้ฉันหนึ่งใบ”
ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะจบเรื่องให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงรีบควักธนบัตรใบละ1ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้กับเธอ และในเวลานี้จึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า:“นายหญิงใหญ่คะ ตอนนี้โอเคหรือยังคะ?”
“โอเคแล้ว”ทันใดนั้นนายหญิงใหญ่เซียวก็ดีใจเป็นที่สุด เมื่อสักครู่นี้หาเงินได้1ร้อยหยวน เงินเก็บของตนเองมี2ร้อยหยวนแล้ว!
รอพรุ่งนี้ทำงานเสร็จ ก็จะมี4ร้อยหยวน!
เธอพยายามกดทับความรู้สึกดีใจที่มีอยู่ในใจ และพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า:“โอเค เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ ต่อไปก็จำไว้ล่ะว่า เวลาอยู่ข้างนอกอย่าดูถูกคนอื่นอีก!”
ฝ่ายตรงข้ามรีบพยักหน้าอย่างอ่อนน้อม:“คุณวางใจเถอะ ฉันจะจำไว้ค่ะ…”
…
กระทั่งนายหญิงใหญ่เซียวนำเงินจำนวน200หยวน และหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่4ถุงกลับบ้านนั้น รอบๆบ้านก็เต็มไปด้วยกลิ่นอาหารหอมฟุ้งทั้ง4ทิศ
คนที่ทำกับข้าวคือพวกจางกุ้ยเฟินทั้งสามคน
วันนี้พวกหล่อนไปเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่ซุปเปอร์มาเก็ต วันหนึ่งได้ค่าแรงวันละ120หยวน สามคนรวมเป็น360หยวน
สมัยนี้360หยวนไปกินอาหารนอกบ้านกันสามคนก็คงจะกินได้เพียงอาหารมื้อธรรมดาๆเท่านั้น
แต่หากคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการใช้เงินทำอาหารกินเอง เงินจำนวน360หยวนก็นับว่าร่ำรวยแล้ว
พวกจางกุ้ยเฟินหล่อนมาจากชนบท ค่อนข้างอยู่กับความเป็นจริง ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็อยากจะกินเนื้อเพื่อบำรุงกำลังของตนเอง ดังนั้นจึงซื้อเนื้อหมูที่ซุปเปอร์มาเก็ตมา2กิโลและก็ซื้อมันฝรั่ง ถั่วฝักยาว วุ้นเส้น กลับมาบ้านและทำสตูว์หม้อหนึ่ง
ราคาวัตถุดิบของสตูว์หนึ่งหม้อ ไม่ถึง1ร้อยหยวน แต่ปริมาณนั้นเพียงพอ หมูติดมันที่ถูกผัดนั้นกลิ่นหอมฟุ้ง โดยที่เครื่องดูดควันไม่สามารถกลบกลิ่นมันได้
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อสตูว์1 หม้อเริ่มมีกลิ่นหอมออกมา จางกุ้ยเฟินก็จะปิดเครื่องดูดควัน
จากนั้นก็ยังตั้งใจที่จะเปิดประตูห้องครัวด้วย เพื่อให้กลิ่นหอมนี้ฟุ้งไปไกลหน่อย
นี่เป็นสิ่งที่ทรมานเซียวฉางเฉียนและเซียวไห่หลงที่อยู่ชั้นสองเป็นอย่างมาก
สตูว์แบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาหารที่สูงส่งอะไร แต่กลับเป็นอาหารที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชาวบ้านที่สุด เป็นอาหารที่กินกับข้าวและสามารถตอบสนองความอยากอาหารได้ชนิดหนึ่ง
อีกทั้งเซียวฉางเฉียนและเซียวไห่หลงก็หิวจนจะเป็นลมสลบแล้ว ตอนที่หิวมากๆ ประสาทรับกลิ่นนั้นจะตอบสนองเร็วขึ้น ดังนั้นกลิ่นหอมเล็กน้อยๆก็อาจจะทำให้พวกเขาแทบเป็นบ้าได้
เดิมทีพวกเขาทั้งสองคิดว่าครอบครัวของตนเองทำอาหาร อยากจะกินจนแทบทนรอไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อเฉียนหงเย่นตะโกนถามถึงรู้ว่า ที่แท้อาหารไม่ใช้บ้านของตนทำ แต่เป็นอาหารที่ผู้อาศัยอยู่ใหม่ทั้งสามเป็นคนทำ
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ทันใดนั้นสองพ่อลูกหมดหวังอย่างถึงที่สุด
เซียวเวยเวยและเฉียนหงเย่นก็สิ้นหวังเช่นเดียวกัน
และในเวลานี้เอง นายหญิงใหญ่เซียวผลักประตูเข้ามาด้วยความโกรธ
พอเข้าประตูมา เธอก็พูดไปด่าไปว่า:“พวกบ้านนอกทั้งสามคน บังอาจนักนะ!ในห้องอาหารมีโต๊ะกินข้าวให้กินไม่กิน แต่กลับออกมาบนโต๊ะน้ำชาข้างนอก คิดว่าที่นี่เป็นบ้านจริงๆของตัวเองแล้วเหรอ!”
เมื่อเซียวเวยเวยเห็นเธอเดินเข้ามา ทันก็ตื้นตันใจจนพูดออกมาว่า:“คุณย่าในที่สุดคุณย่าก็กลับมาแล้ว!พวกเราหิวจะตายอยู่แล้ว พวกเรารออาหารจากคุณย่าอยู่นะคะ!”
เซียวไห่หลงร้องไห้พลางพูดขึ้นว่า:“คุณย่า!ผมหิวมากเลยครับ ถ้ายังไม่ได้กินอะไรอีก ผมต้องตายแน่ๆ…”
นายหญิงใหญ่เซียวถอนหายใจ ยื่นถึงพลาสติกขนาดใหญ่ทั้ง4ให้กับเขา เซียวเวยเวยพูดขึ้นว่า:“นี่เป็นของที่เอามาให้พวกนาย รีบไปหยิบชามกับตะเกียบ แล้วรีบกินเถอะ!”
เมื่อเห็นเธอถือถุงพลาสติก คนในตระกูลเซียวไม่มีใครสนใจทั้งสิ้นว่าอาหารพวกนี้มาจากไหน คิดเพียงว่าอยากจะกินของพวกนี้ยัดลงไปในท้องให้หมด
ดังนั้น เซียวเวยเวยก็พูดขึ้นด้วยความดีอกดีใจว่า:“คุณย่าค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเอาถ้วยกับตะเกียบในห้องอาหารเองคะ!”
เฉียนหงเย่นก็ดีใจจนรีบพูดออกมาว่า:“คนเดียวถือไม่ไหวหรอก เดี๋ยวฉันไปด้วย!”
นายหญิงใหญ่เซียวกระแอมด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เฉียนหงเย่นหยุดเดี๋ยวนี้นะ!อาหารที่ฉันเอามา หล่อนไม่มีสิทธิ์กินแม้แต่คำเดียว!”