ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 2053
บทที่ 2053
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของชูรั่วหลีเย่เฉินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เรื่องมันมีอยู่ว่า มีเศรษฐีคนหนึ่ง อยากจีบผู้
หญิงสวยคนหนึ่ง แต่ว่าเศรษฐีคนนี้ค่อนข้างที่จะขี้เหนียว ไม่ค่อยอยากเสียเงินมากมายเพื่อผู้หญิงคนนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดโกหกกับผู้หญิงคนนี้ว่า
จะซื้อรถเฟอรารี่ให้คันหนึ่ง….”
“จากนั้น เศรษฐีคนนี้ก็จ้างพนักงานขายรถเฟอรารี่ให้มาเล่นละครเป็นเพื่อนเขา”
“ในตอนที่เขาพาสาวสวยไปดูรถ พนักงานขายก็บอกพวกเขาว่า ตอนนี้ไม่มีรถพร้อมขาย ต้องจองไว้ก่อนล่วงหน้า จากนั้นเศรษฐีคนนี้
ก็จ่ายเงินค่าสัญญาจองรถเป็นจำนวนเงินหนึ่งล้านต่อหน้าหญิงสาว”
“สาวสวยคิดว่า เศรษฐีซื้อรถเฟอรารี่ให้ตัวเองแล้วแน่ๆว ดังนั้นจึงยอมขึ้นเตียงกับเศรษฐีในคืนนั้น และตกเป็นของเศรษฐีโดยสมบูรณ์
แบบ”
“หลังจากที่เศรษฐีคว้าหญิงสาวมาได้ ก็รีบไปหาพนักงานขายเฟอรารี่คนนั้น พร้อมทั้งเอาเงินมัดจำจำนวนหนึ่งล้านคืนมา จากนั้นก็ให้
ค่าจ้างกับพนักงานขายคนนั้นไปสองหมื่น”
“ด้านสาวสวยคนนั้นกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เธอไม่รู้เลย ว่าสัญญาที่เศรษฐีหนุ่มเซ็นลงไป ไม่ใช่สัญญาที่จดอย่างถูกต้องของร้าน แต่
เป็นสัญญาที่พนักงานขายคนนั้นปลอมแปลงขึ้นมา เศรษฐีไม่ได้จองรถเฟอราให้เธอ ที่เขายอมลงทุนจัดละครฉากนี้ขึ้นมา ก็เพียงเพราะว่า
อยากล่อเธอมานอนด้วยก็เท่านั้น”
“ราคาของเฟอรารี่คันหนึ่ง อย่างต่ำคือสี่ถึงห้าล้านขึ้นไป แต่ความจริงแล้วเศรษฐีคนนี้เสียไปแค่สองหมื่น ก็สามารถนอนกับผู้หญิงสวย
คนนี้ได้แล้ว เอาสองหมื่นมาเทียบกับห้าล้าน แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวก็ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ! ”
ซูรั่วหลีหลุดปากถามออกไปว่า “นาย…มาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังมันหมายความว่ายังไง?”
เย่เฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “เธอนี่นะ หน้าตาก็ดี แต่สมองกลับโง่จนน่าแปลกใจจริงๆ! ”
ซูรั่วหลีเริ่มมีน้ำโห แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฉิน จึงไม่กล้าหลุดท่าทางอะไรออกไป
ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ ย้อนถามเย่เฉินกลับว่า “แล้วนายพูดให้มันเข้าใจหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เย่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยพูดอย่างจริงจังว่า “จริงๆแล้วเรื่องเล่าเศรษฐีแกล้งซื้อรถ ก็ใช้หลั่กการเดียวกันกับที่ตระกูลซูแกล้งว่าจะ
ช่วยเธอยังไงล่ะ!”
เย่เฉินพูดขึ้นมาอีกว่า “เธอคิดดูนะ ถ้าตระกูลซูติดสินบนกรมตำรวจนครบาลโตเกียวและกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น เพื่อ
ช่วยเธอออกมา ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียหน่อย แต่ราคาที่ต้องจ่ายอาจจะสูงมากเท่านั้นเอง”
“เพราะถึงยังไงเรื่องนี้ก็มีผลกระบอย่างหนัก ทุกคนต่างก็ต้องซั่งน้ำหนักให้มันดีๆอยู่แล้ว นอกเสียว่าจะยอมเสี่ยเงินเยอะเป็นพิเศษ ไม่
อย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอก”
“ฉันเดาคร่าวๆนะ ถ้าต้องช่วยเธอจริงๆ ถ้าไม่ถึงพันดอลลาร์ ก็ไม่มีทางผูกมิตรกับสำนักงานอัยการ ศุลกากร และกองกำลังป้องกัน
ตนเองของญี่ปุ่นได้หรอก!”
พูดมาถึงตรงนี้ เเฉินก็เปลี่ยนเรื่องพูด หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ว่า! ถ้าแค่แกล้งว่าจะช่วยเธอ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้อยาก
ให้เธอมีชีวิตรอดจากญี่ปุ่นล่ะ? แบนั้นต้องไม่ได้จ่ายเงินเยอะแบบนี้แน่ๆ คาดว่าคงจะเหมือนเรื่องเล่าซื้อรถเรื่องนั้นล่ะนะ เงินที่เสียไปเทียบกับ
เงินที่กำหนดไว้ แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวก็ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ!”
เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ เบื้องลึกในใจของซูรั่วหลี ก็รู้สึกโดนโจมตีอย่างหนัก มุมมองที่มีพลันทลายลงภายในพริบตา
แม้ว่าเธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เย่เฉินพูดมา แต่เธอเองก็ไม่ใช่คนโง่
เรื่องที่ซูเฉิงเฟิงปองร้ายตัวเอง ตัวเขาก็เป็นคนยอมรับเองกับปาก เรื่องนี้จึงคือความจริงไปโดยปริยาย
ดังนั้น เรื่องที่เย่เฉินเล่ามา รวมไปถึงการคาดเดาที่มีต่อตระกูลชู พูดได้เลยว่าเป็นอะไรที่ตรงจุดสุดๆแล้ว
ในความคิดของเธอ เรื่องเล่าและการคาดเดานี้ มันสอดคล้องกับบริบทของเรื่องนี้โดยสมบูรณ์แบบ
วินาที่นี้ หัวใจเธอดับสลายเหมือนขี้ถ้าน้ำตาที่ไหลออกมามากมายเมื่อสักครู่ แทบไม่มีไหลออกมาอีกในวินาทีนี้
เมื่อเย่เฉินเห็นว่าเธอยอมแพ้ไปแล้ว จึงยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูดว่า “อยู่ที่นี่นานไม่ได้ เราต้องถือโอกาสช่วงที่กองกำลังป้องกัน
ตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่นไม่ทันรู้ตัวหนีออกไปจากญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด”
พูดจบ เขาก็เรียกลูกเรื่อบนเรือของตัวเองออกมา แล้วชี้ไปทางเรื่อของลูกเรื่อของตระกูล พร้อมเอ่ยสั่งขึ้นมาว่า “พวกนายพาพวกเขา
ไปที่ชั้นล่างสุดของเรือ แล้วก็จัดการดาดฟ้าเรือให้สะอาดซะ”