ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 2112
บทที่ 2112
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูจือหยูก็พูดต่อด้วยความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยว่า: “ประเด็นสำคัญคือ คนที่เจอผู้มีพระคุณอย่างแห้จริง มีเพียงพวกเรา
สองคน ดังนั้นทำได้เพียงมีพวกเราสองคนมาทำงานที่แยกแยะแบบนี้ อยากจะหาผู้ช่วยก็เป็นไปไม่ค่อยได้….
ซูจือหยูพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้: “เธอพูดถูก พวกเราทั้งสองรีบเร่งหน่อย พยายามหาเบาะแสของผู้มีพระคุณให้เร็วที่สุด!”
จากนั้น ซูจือเฟยนึกอะไรบางอย่างออก ก็พูดว่า: “ใช่แล้วจือหยู อีกสองวันฉันจะไปที่เมืองจินหลิง เธอจะไปด้วยกันมั้ย?”
ซูจือหยูถามด้วยความสงสัยว่า: “พี่ไปทำอะไรที่เมืองจินหลิง?”
ซูจือเฟยพูดอย่างเขินอายว่า: “ฉันเจรจาลงชื่อการร่วมลงทุนกับคอนเสิร์ตของกู้ชิวได้สำร็จแล้ว ปฏิหินจีนวันที่สองเดือนที่สองเธอจะ
จัดคอนเสิร์ตครั้งแรกขึ้นที่เมืองจินหลิง ก่อนหน้านี้ฉันรับปากกับเธอไม่ใช่เหรอว่า จะบริจาคเงินสิบล้านให้กับการกุศลของเมืองจินหลิง ดังนั้นฉัน
ก็อยากจะไปเองก่อนล่วงหน้า ไม่เพียงแต่จัดการสิบล้นนี้ให้เข้าที่ ค่อยไปดูงานของสถานสงเคราะห์ต่างๆกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและองค์กร
การกุศลอื่นๆในเมืองจินหลิง ถึงเวลานั้นตามความต้องการของที่แท้จริงของสถาบันเหล่านี้ ค่อยบริจาคให้พวกเขาอีกยี่สิบล้าน”
พูดถึงตรงนี้ ซูจือหยูพูดต่อไปด้วยสายตาที่ยุติธรรมและน่าเกรงขามว่า: “ในเมื่อเพื่อการกุศล แน่นอนว่าก็ต้องทำซึมซาบอีกสักหน่อย
นะ!”
ซูจือหยูยิ้มอย่างมุ่งร้าย และพูดว่า: “ช่าๆ ที่แท้ก็เพื่อตามจีบกู้ชิวอี่นี่เอง! มิน่ล่ะพี่ถึงได้กระตือรือร้นขนาดนี้!”
ซูจือหยูรีบปฏิเสธว่า: “เธออย่าพูดจาเหลวไหล ฉันไปเพื่อการกุศล อีกอย่างกู้ชิวขาก็ไม่ได้ไป ฉันไปเอง พูดได้ยังไงว่าเพื่อตามจีบกู้ชิ
วอี่!”
ซูจือหยูเบะปากพูดว่า: “โธ่เย ยังจะแกล้งทำมาเป็นจริงจังกับฉัน ฉันยังไม่รู้จักพี่อีกเหรอ? พี่ก็แค่อยากจะทำเรื่องนี้ให้ดูดีล่วงหน้า ถึง
เวลานั้นทำให้กู้ชิวอี๋เปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ไม่ใช่เหรอ? รับปากบริจาคสิบล้าน ปรากฎว่าบริจาคสามสิบล้าน กูชิวอี๋คงจะคิดว่าพี่เป็นคนที่มีความ
รับผิดชอบต่อสังคมอย่างแรงกล้า และมีความรู้สึกดีต่อพี่มากขึ้นเล็กน้อย ฉันเดาถูกหรือเปล่า?”
ซูจือเฟยพูดอย่างเขินอายว่า: “เอาล่ะๆๆๆ เธอฉลาดที่สุดแล้ว เรื่องอะไรก็ปิดบังตาทิพย์ของเธอไม่ได้ พอใจยัง?”
ซูจือหยูพยักหน้า และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “พี่ยอมรับก็ดีแล้ว”
ซูจือหยูถอนหายใจ และพูดว่า: “จื่อหยู บรรพบุรุษมีคำกล่าวคำหนึ่งไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่า?”
ซูจือหยูอ้าปากพูดว่า: “อย่าอุบไว้น่ะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ!”
ซูจือเฟยอย่างจริงจังว่า: “บรรพบุรุษกล่าวไว้ว่า เรื่องบางเรื่องในใจรู้แต่ไม่ควรที่จะพูด นี่เป็นระดับสูงสุดของคนฉลาด”
ซูจือหยูพูดอย่างดูถูกว่า: “พูดกับพี่ไม่จำเป็นต้องไปถึงระดับสูงสุดของคนฉลาด แค่ระดับทั่วไปก็พอแล้ว”
“ยัยเด็กคนนี้นี่!”ซูจือหยูแกล้งตวาดด้วยความโกรธ เปลี่ยนเรื่องคุยถามในทันทีว่า: “เฮ้ย ฉันก็ถามเธอว่าจะไปหรือไม่ไป? ถ้าจะไปพวกเรา
ก็ไปด้วยกัน พอดีว่าฉันก็ไม่รู้จักกับสถานที่ในเมืองจินหลิงด้วย”
ซูจือหยูส่ายหน้า: “ไม่ไป จนกว่าจะหาผู้มีพระคุณเจอ ฉันก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ซูจือเฟยรีบพูดโน้มน้าวอย่างประจบว่า: “โธเอ๊ยจือหยู เธอก็ไปกับฉันหน่อยนะ เรื่องตามหาผู้มีพระคุณก็แค่แยกแยะต่อตัวต่อตัวกับ
คอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง ถึงเวลานั้นพวกเราเอาโน้ตบุ๊กไปด้วย ระหว่างทางและในโรงแรมก็สามารถที่จะตามหาผู้มีพระคุณต่อไปได้ ไม่ล่าช้า!”
ซูจือหยูพูดอย่างไม่สนใจว่า: “งั้นฉันก็ไม่อยากไปอยู่ดี พี่ไปเพื่อปูพื้นฐานตามจีบกู้ชิวอี๋ ฉันไปทำไม?”
ซูจือเฟยถามเธอกลับว่า: “ไม่อยากออกไปสูดอากาศบ้างเหรอ? สองวันนี้บรรยากาศที่บ้านเคร่งขรึมมากแค่ไหน พ่อกับคุณหน้าบูดบึ้ง
ทั้งวัน เธอยังรู้สึกว่าไม่ออกไปอีกเหรอ? ใช้โอกาสนี้ ออกไปสงบจิตสงบใจไม่กี่วันก็ดีนะ”
ซูจือหยูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ: “ที่พูดก็ถูก งั้นพี่จัดการด้วยนะ ออกไปพักผ่อนพอดี”