ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 2364
บทที่ 2364
เฉินจี๋อข่ายถามอีกครั้งว่า “แล้วคุณวางแผนที่จะไปลงมือกับชูโสว่เต่อและ Steve ตอนไหน?”
เย่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “สองสามวันนี้เลย ติดตามสังเกตพวกเขาไปก่อน และดูว่าพวกเขามีการกระทำอย่างไร?”
หลังจากพูด เยเฉินก็ออกคำสั่งต่อไปว่า “เหล่าเฉิน คุณมีเครื่อข่ายการติดต่อที่กวัางขวางที่สุดในเมืองจินหลิง จะต้องจับตาดูพวกเขาสอง
คนให้ดีๆ ด้วยล่ะ ไม่ว่าพวกเขาสองคนจะไปที่ไหน หรือเคยพบกับใคร ก็จะต้องรายงานให้ผมทราบโดยเร็วที่สุด!”
เฉินจี๋อข่ายกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล ผมจะรีบจัดการทันทีเลย!”
เย่เฉินพยักหน้า และกล่าวอย่างน่าเสียดายเล็กน้อยว่า “ทำไมทั้งสองคนไม่ได้เลือกพักที่โรงแรมของคุณเลย”
เฉินจื่อข่ายหัวเราะและพูดว่า “คุณชาย Walter คนนั้นอาศัยอยู่ที่โรงแรมจินหลิงอินเตอร์เนชันแนลก่อนที่เขาจะหายตัวไป เป็นเรื่องปกติ
ที่พอของเขาจะไปพักอยู่ที่นั่น สำหรับซูโสวเต๋อ ตระกูลซูรู้ดีว่านี่เป็นธุรกิจของตระกูลเย เขาจะมาเข้าพักที่นี่ได้อย่างไร”
เย่เฉินถามด้วยความสงสัยว่า “ด้วยพลังธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ของตระกูลซู ตัวเองไม่ได้ซื้อทรัพย์สินใดๆ อยู่ในเมืองจินหลิงบ้างเลยเห
รอ?”
เฉินจื่อข่ายส่ายหัวและกล่าวว่า “ตระกูลซูเคยเจรจากับตระกูลเย่เมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกั๋นในเค้าโครงธุรกิจเพื่อ
การพัฒนาของทั้งสองฝ่าย เมืองที่ตระกูลซูเลือกไปแล้ว ตระกูลเยก็จะไม่ไปตั้งธุรกิจอยู่ที่นั่น พุดกลับกันก็เช่นกัน เมืองจินหลิงก็อยู่ในขอบเขต
ที่ตระกูลเย่เลือกไว้ ดังนั้นตระกูลซูก็เลยไม่ได้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอยู่ที่นี่”
เย่เฉินถามเขาว่า “แล้วอะไรเป็นพื้นฐานสำหรับการแบ่งเขตธุรกิจของทั้งสองฝ่าย? ”
เฉินจื่อขายกล่าวว่า “ก็คือคุณปู่ของคุณและซูเฉิงเฟิงได้มีการเจรจาแบบต่อหน้ากัน เพราะยังไงความแข็งแกร่งของทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้
ต่างกันมากนัก และธุรกิจก็เบ่งบานไปทุกที่ ถ้าต่อสู้กันไปทุกที่ โดยเฉพาะในเมืองชั้นนำ จะมีการแข่งขันกันในทุกที่ ดังนั้นทุกคนจึงไม่อยากไป
ถึงเมืองชั้นสองแล้วก็ยังคงต่อสู้กันต่อไปแบบนี้ และกำหนดขอบเขตไว้เป็นการส่วนตัว เช่นในเมืองหลวงทางตะวันออกเฉียงใต้ จินหลิงเป็นของ
ตระกูลเย่ และเมืองซูหางก็เป็นของตระกูลซู”
“ไม่ว่ายังไง ก็คือตระกูลซูมีอำนาจในการออกเสี่ยงที่แข็งแกร่งกว่า ในเวลานั้นตอนที่แบ่งแผนที่ธุรกิจ ข้อมูลของซูหางในทุกๆ ด้านนั้นดี
กว่าเมืองจินหลิงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นตระกูลซูจึงเลือกซูหางไปก่อน และเมืองจินหลิงที่เหลือก็ทิ้งไรให้กับตระกูลเย่”
“เข้าใจแล้ว” เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามอีกครั้งว่า “ในเมื่ออุตงไห่คนนั้นเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในซูหาง แล้วทำไมไม่เคยได้ยินว่าเขา
มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลซูเลย?”
เฉินจื่อขายหัวเราะและพูดว่า “คุณลองดู ตระกูลซ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิง และ#ไมมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่เลย”
หลังจากพูด เฉินจี่อข่ายยังคงอธิบายต่อไปว่า “อันที่จริง จุดประสงค์หลักของการแบ่งเขตธุรกิจของตระกูลซูและตระกูลเย่ คือการหลีก
เลี่ยงการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งเทียบเท่ากับข้อตกลงแบบสุภาพบุรุษ”
“แต่อย่างไรก็ตาม ตระกูลในท้องถิ่นรากฐานมักจะฝังแน่น เป็นการยากสำหรับเราที่จะต่อต้านกับเจ้าแห่งท้องถิ่น หรือแม้แต่บดขยี้ฝ่าย
ตรงข้าม”
“เพราะยังไงความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของทั้งสองตระกูลยังคงกระจุกตัวอยู่ในเย่นจิง หัวเชี่ย (ชื่อเรียกประเทศจีนสมัยก่อน) มีพื้นที่ขนาด
ใหญ่เช่นนี้ และอำนาจที่ทุกคนสามารถกระจายไปทั่วทั้งประเทศได้นั้น ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น”
“ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเย่หรือตระกูลช จำนวนทรัพย์สินทั้งหมดที่สามารถลงทุนในเมืองอื่นๆ ของในประเทศจีน ก็มีเพียงหลายแสนล้าน
เท่านั้น อย่างไรก็ตามนอกจากเย่นจิงแล้ว ยังมีเมืองชั้นนำอีกสามเมืองทั่วประเทศ เมืองชั้นสองอย่างจินหลิงยิ่งมีมากมายกว่านั้น ดังนั้นโดยเฉลี่ย
แล้ว ทรัพยากรมนุษย์ วัสดุ และการเงินที่สามารถลงทุนได้ในแต่ละเมืองนั้นมีจำนวนที่ไม่มากนัก”
“แต่จะว่าไปแล้ว ผมอยู่ที่เมืองจินหลิง ก็แค่ทำหน้าที่ปกป้องฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของตระกูลเย่ที่อยู่ในเมืองจินหลิงเท่านั้น”
หลังจากพูดแล้ว เฉินจื่อข่ายก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เช่นเดียวกับตระกูลเย ถ้าไม่นับตี้เหากรัปที่ขายกิจการให้กับคุณชาย งั้นตระกูลเย่อยูใน
เมืองจินหลิง ก็มีทรัพย์สินไม่มากนัก”
“ส่วนหลักของตระกูลเยในเมืองจินหลิงก็คือโรงแรม นอกจากนี้ยังมีบริษัทรักษาความปลอดภัยสองสามแห่งที่ดูเหมือนจะไม่มีความ
สัมพันธ์ใดๆ บนพื้นผิว แล้วก็เข้าร่วมในบางโครงการเท่านั้น รัพย์สินทั้งหมดในเมืองจินหลิง ชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมๆ กันแล้ว มูลค่าอยู่ที่ประมาณ
หนึ่งถึงสองหมื่นล้านเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากมูลค่าทรัพย์สินแสนล้านของตระกูลซ่งอย่างมาก”
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภารกิจสำคัญที่สุดของผมไม่ได้เป็นเพียงแค่การช่วยตระกูลเย่สร้างกำไรอยู่ในเมืองจินหลิงเท่านั้น แต่กำลัง
ช่วยตระกูลเย่พัฒนาเครื่อข่ายความสำมพันธ์ และระบบข่าวกรองที่สมบูณ์อยู่ในเมืองจินหลิง ทำให้เมืองจินหลิงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือ
ข่ายประสาทตระกูลเย่ ก็เหมือนกับหนวดของปลาหมึก หากพบความผิดปติใดๆ ก็จะสามารถรายงานต่อตระกูลเย่ได้ทันเวลา”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉินจื่อข่ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง และพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณชายอยู่ในเมืองจินหลิง ตระ
กูลเย่ก็คงไม่ค่อยสนใจสถานการณ์ของในเมืองจินหลิงหรอก ตระกูลเมีโฆษกอย่างผม มากกว่าหลายสิบคนอยู่ทั่วประเทศ แต่คนที่มีสิทธิ์ใน
การพูดจริงๆ นอกจากพ่อบ้านถังแล้ว ก็มีเพียงโฆษกของสามเมืองชั้นนำที่เหลืออยู่”
เย่เฉินพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ในเมื่อตระกูลซุไม่มีรากฐานใดๆ อยู่ในเมืองจินหลิง จึงเป็นเชิงรุกมากกว่าสำหรับเรา”
เฉินจื่อข่ายเห็นด้วยและกล่าวว่า “ใช่ เมื่อตระกูลซูมาถึงที่นี่ แม้ว่าจะมิเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้น ก็ทำได้เพียงส่งกองกำลังจากเย่นจิง
ชั่วคราว และเร็วสุดก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง”
ในขณะที่พูด เขาก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า “ใช่แล้วคุณชาย ถ้าถึงเวลาแล้ว ท่านพร้อมที่จะลงมือทำอะไรกับพวกเขา ท่านมีผู้ช่วยที่เหมาะสม
แล้วหรือไม่?”
เย่เฉินพยักหน้าและหัวเราะ “แน่นอน! ในเรื่องนี้ ผมมีผู้คนที่เหมาะสมที่สุดในใจแล้ว!”
เฉินจื่อข่ายถามต่อว่า “ใครเหรอ?”
เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ซูรั่วหลี!”