ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 2603
บทที่ 2603
เย่เฉินและเฉินจี่อข่ายคนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ทำให้ชูโสว่เต้าตกใจจนอกสั่นขวัญหาย
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เย่เฉินจะโหดร้ายเช่นนี้ ในใจโกรธพร้อมด่าว่า: “ส่งคนไปอยู่ที่ฟาร์มสุนัข นี่แม่งยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ส่งคนไปขุด
โสมที่ภูเขาฉางไบ? ! นี่แม่งเป็นเรื่องที่คนทำกันเหรอ? ”
จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฟารัมเลี้ยงสุนัข หรือว่าภูเขาฉางไม หรือเหมืองถ่านหินดำและเซียร์ราลีโอน คนเหล่านี้ที่คุ้นเคยกับเย่เฉินเห็นสิ่งแปลก
ประหลาดจนซินไปนานแล้ว
เพียงแต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา เย่เฉินเมื่อเทียบกับซูโสวเต้าแล้ว ล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในที่มืด เพราะงั้นซูโสว่เต้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิธีการ
ของเย่เฉิน
ก็เป็นเพราะว่าไม่รู้อะไรเลย เพราะงั้นจู่ๆได้ยินจนรู้เรื่องทุกอย่าง ก็ทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปเลย
และตอนที่เขาได้ยินเย่เฉินพูด จะพาตัวเองไปที่ชั้นห้องเอ็กเซ็กคูทีฟ ในใจก็ยิ่งมีข้อสงสัย
เขาไม่รู้ว่า ทำไมเย่เฉินต้องพาตัวเองไปที่ชั้นห้องเอีกเซ็กคูที่ฟด้วย ตามที่เขาพูด บอกว่าจะพาตัวเองไปเจอเพื่อนเก่าสามสี่คน แต่ว่า เพื่อน
เก่าสามสี่คนนี้จะเป็นใครกันล่ะ?
ในความสงสัย ซูโสว่เต้าถูกเย่เฉินลากเข้าไปในลิฟต์แล้ว
ตามมาด้วย ลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นบนสุด
ในเวลานี้ จากประตูลิฟต์ จนกระทั่งทางเดินมาจนถึงถึงชั้นห้องเอ็กเซ็กคูฟ ได้ถูกลูกน้องของเฉินจี๋อข่ายยึดอำนาจโดยสมบูรณ์แบบ
เย่เฉินลากชูโสว่เต้าที่ลุกลี้ลุกลนอย่างมาก ตรงไปยังห้องๆนั้นที่มีตู่ให่ชิงและซูจือหยูอยู่
และในเวลานี้ ตู้ไห่ชิงและชูจื่อหยู ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทุกอย่างนี้เลย
ก่อนหน้านี้ 20 นาที ลูกน้องของเฉินจี๋อข่ายเพิ่งส่งอาหารเช้ามาให้สองแม่ลูก
วันเวลาเหล่านี้ สองแม่ลูกคุ้นซินกับการใช้ชีวิตที่ถูกจำกัดพื้นที่แบบนี้แล้ว
แม้ว่าจะออกไปข้างนอกไม่ได้ ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ กระทั่งไม่มีวิธีใดๆที่จะรับข่าวสารจากภายนอกได้ ทำให้ช่วงแรกๆ
สองแม่ลูกยากที่จะปรับตัวได้ แต่ว่าหลังจากที่เวลาผ่านไป สองแม่ลูกกลับว่าชอบการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายที่ตัดขาดจากโลกแบบนี้แล้ว
ไม่มีวีแชท ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีผู้มาเยี่ยม และก็ไม่มีข่าวสาร รายการวาไรตี้และละครวี สองแม่ลูกในทุกๆวันทำมากที่สุด ก็คือคลอเคลีย
นั่งคุยด้วยกัน อ่านหนังสือ ผ่านไปเป็นเวลานาน ก็ทำให้ความรู้สึกของสองแม่ลูกมีการยกระดับขึ้นใหม่อีกรูปแบบหนึ่งแล้ว
ถึงอย่างไร ในสังคมปัจจุบัน อยากจะใช้เวลาสักสามสี่วันโดยการใช้ชีวิตแบบตัดขาดจากโลก เทคโนโลยีที่หันสมัย การสื่อสารและความ
บันเทิง กลับว่าไม่ง่ายเลย
บางครั้งซูจือหยูก็จะวิพากษ์วิจารณ์ พูดว่าใช้ชีวิตที่นี่สู้ติดคุกยังดีกว่า อย่างน้อยอยู่ในคุกก็ยังมีเวลาปล่อยให้ไปสูดอากาศในสวนบ้าง
แถมยังดูที่ร์ได้ ได้ทำความเข้าใจกับข่าวการเมืองของโล้กภายนอกสักหน่อย แต่ว่าอยู่ที่นี่ เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่โลกใบนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
กินข้าวแล้ว ตู้ให่ชิงเก็บจานอาหารไปพลาง เอ่ยปากพูดไปพลางว่า : “จือหยุ อีกเดี่ยวลูกช่วยแม่พูดกับอารักขาหน้าประตูให้หน่อยนะ ให้
พวกเขาช่วยซื้อหนังสือมาให้สักสามสี่เล่ม”
ซูจื่อหยูพยักหน้า ถามเธอ : “แม่ คุณอยากจะอ่านหนังสือแบบไหน? ”
ตู้ไหชิงยิ้มพร้อมพูดว่า : “จู่ๆก็นึกถึงช่วงเวลาที่พวกเราเป็นวัยรุ่น ในตอนนั้นวรรณกรรมที่โด่งดังที่สุดในประเทศจีน ก็คือหนังสือที่มีชื่อ
เสียงระดับคลาสสิคสมัยสหภาพโซเวียตมี (วีรชนบนเส้นทางปฏิวัติ) 《อะโซรีซเดสตีฮี) (And Quiet Flows the Don ) หนังสือพวกนี้ ในตอนนั้น
ภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่มาจากหนังในช่วงสหภาพโซเวียต หนังสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ (เลนินว 1918 กอดู>”
ซูจือหยูพูดด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงว่า : “แม่ หนังสือเหล่านี้ที่แม่พูดมา เหมือนว่าหนูจะจำอะไรไม่ได้เลยนะ…”
ตู้ให่ชิงยิ้มเล็กน้อย : “ทั้งหมดนี่ล้วนแต่เป็นผลงานที่เก่าแก่มากแล้ว ว้ยรุ่นอย่างพวกลูกๆอาจจะไม่ค่อยชอบอ่านเท่าไหร่ แต่ว่าสำหรับคน
รี่ม่แล้วมีความประทับใจที่ลึกซึ้งอย่างมาก”
ซูจือหยูพยักหน้า : “งั้นเดี๋ยวหนูจะบอกอารักขาที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูนะคะ”
พูดจบ เธอก็ถอนหายใจอย่างค่อนข้างจนใจอย่างช่วยไม่ได้ พูดกล่าว : “ก็ไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณเตรียมที่จะพบเจอกับพวกเราเมื่อไหร่ เมื่อคืน
หนูฝันก็ยังฝันถึงเขาเลย…”
ตู่ไห่ชิงถามอย่างอยากรู้ : “ฝันอะไรถึงเขาเหรอ? ”
ซูจือหยูฝืนยิ้มออกมา : “หนูฝันว่าเขาต่อยกับพ่อ พ่อถูกตีจนหน้าบวมช้ำ ยังเรียกให้หนูเข้าไปช่วยอีกด้วย…”
ตู้ไห่ชิงยิ้มๆแล้ว ถามเธอ : “งั้นลูกได้ช่วยไหม? ”
“ไม่นะ” ซูจือหยูแลบสิ้นออกมาแล้ว พูดกล่าว : “ไม่เพียงแค่ไม่ช่วยเขา ยังเตะรองเท้าของเขาลงไปในแม่น้ำด้วย”