ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - 2629
บทที่ 2629
สำหรับเรื่องนี้ ผู้นำตระกูลเหอ อของเหออิงซิ่ว เหอหงเซิ่งมีสีหน้าลำบากใจ เขาเอ่ยขึ้น “อิงซิ่ว ช่วงที่ลูกไปชายฝั่งทะเลทางตะวันออก
เฉียงใต้พี่ชายของลูกเคยมาคุยกับพ่อ
เหออิงซิ่วถามขึ้นทันควัน “พ่อ พี่ใหญ่พูดอะไรกับพ่อบ้างคะ”
เหอหงเชิ่งถอนหายใจ ก่อนจะบอก “เพื่อตามหารั่วหลี ช่วงนี้ตระกูลเหอของเราส่งกำลังคนออกไปกว่าครึ่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆหมดไปเป็น
ร้อยสองร้อยล้าน จนบัดนี้ยังไม่มีข่าวคราว ทำให้เด็กพวกนั้นเสียเวลาฝึกฝนไม่พอ ตอนนี้ตระกูลเหอของเราบาดหมางกับตระกูลซู เสียที่มาของ
รายได้ไปแล้ว ขืนตามหาต่อไป รอยรั่วทางการเงินจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
พูดมาถึงนี่ เหอหงเซึ่งพูดอย่างอ่อนใจ “ลำพังแค่สมุนไพรที่เตรียมไว้สำหรับเวลาเด็กๆฝึกฝน หนึ่งเดือนก็ต้องหมดไปสามล้านถึงห้าล้าน
บวกกับคนมากมายขนาดนี้ต้องกินต้องใช้ ต้นทุนมีแต่จะเพิ่มไม่มีลด ถึงพ่อก็อยากจะหารั่วหลีให้เจอมาก แต่ถ้าตามหาต่อไปพ่อในฐานะผู้นำ
ตระกูลคงจะไม่มีหน้าไปพบคนอื่น”
เหออิงชิ่วก้มหน้าลงเล็กน้อย
ในใจของเธอรู้ดีว่าไม่มีทางที่ตระกูลเหอจะทุ่มทุนเพื่อตามหาหลานสาวอย่างซูรั่วหลีไปตลอด
ถึงยังไงตระกูลเหอเองก็ไม่ใช่ตระกูลที่มั่งคั่งขนาดนั้น และรายจ่ายรายวันเยอะมาก ช่วงก่อนที่ทุ่มเงินก้อนมหึมาในการตามหาซูรั่วหลีก็
ทำเอาเธอรู้สึกผิดมากแล้ว แม้เธอจะเป็นห่วงลูกสาว อยากจะรีบตามหาลูกสาวให้เจอ แต่ก็ไม่อาจลากตระกูลเหอเข้ามาในบ่อโคลนนี้ได้
เธอจึงพูดกับเหอหงเซิ่ง “พ่อคะ ที่พ่อพูดมาหนูเข้าใจหมด เอาอย่างนี้ หนูจะลองไปหาด้วยตัวเองดูนะคะ”
เหอหงเซิ่งถอนหายใจ “ลูกไปหาเองอย่างมากก็ทำเพื่อความสบายใจเท่านั้น ลูกก็รู้ว่าการตามหาใครสักคนก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
ก่อนหน้านี้พวกเราจ้างคนตั้งมากมาย เรือตั้งหลายลำ ต้นทุนแต่ละวันเป็นล้านถึงสิบล้าน แต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสใดๆ ลูกไปคนเดียวจะไปมี
ประโยชน์อะไร”
เหออิงซิ่วเงียบไป
เหอหงเซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยความอ่อนใจ “ถ้าไม่ได้จริงๆลูกไปหาซูโสวเต้า พวกเขาตระกูลซูเป็นฝ่ายหักหลังรั่วหลี ต่อให้
ขาไม่ได้เข้าร่วมโดยตรงแต่ก็ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง ตอนนี้พวกเราไม่อยากต้เถียงกับพวกเขาว่าใครผิดใครถู ให้พวกเขาเอาเงินและ
ทรัพยากรออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อตามหารั่วหลี”
เหออิงซิ่วพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “พ่อคะ หนูไม่อยากเห็นหน้าซูโสว่เต้าอีกแล้ว”
เหอหงเซิ่งถามอย่างตกใจ “แล้วเรื่องรั่วหลีจะจบกับตระกูลซูเท่านี้รึ”
เหออิงซิ่วหัวเราะอย่างขมน “ซูโสว่เต้าเป็นแค่หุ่นเชิดที่คุณท่านตระกูลซูเรียกให้มาก็มา บอกให้ไปก็ไป ไปหาเขาก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้
หรอกค่ะ อีกอย่างคุณท่านตระกูลซูป็นคนเย็นชาและโหดเหี้ยมอำมหิต ตู่ให่ชิงเป็นถึงคุณหนูรองตระกูลตู้ คุณท่านยังไม่ยอมปล่อยเธอไปเลย
ถ้าหนูไปตามให้ตระกูลชูรับผิดชอบเกรงว่าจะทำให้ทั้งตระกูลเหอโดนหางเลขไปด้วยค่ะ”
เหอหงเซิ่งถอนใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “ความหน้าไม่อายของตระกูลซูเกินกว่าที่พ่อคาดไว้จริงๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของซูเฉิงเฟิงป่นปี้ไปแล้ว
พ่อกลัวว่าหลังจากนี้ขาจะยิ่งไม่สนอะไร ก่อนหน้านี้ยังต้องห่วงหน้าตาบ้าง ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว
พูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นอีก “ตอนนี้พวกเราต้ดขาดจากตระกูลซุ เสียช่องทางรายได้หลักไป ต้องรีบหานายทุนคนใหม่ถึงจะถูก แม้ว่าตระกูลบู
โดจะมีชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ไม่มีความสามารถในการหาเงินเท่าไหร่ ได้เพียงพึ่งพิงตระกูลใหญ่ที่ยอมเสียเงิน เรื่องนี้ลูกมีความเห็นอย่างไร
บ้าง?”
เหออิงซิ่วส่ายหัว “พ่อคะ หนูบอกพอตรงๆเลยว่าตอนนี้ในหัวหนูมีแต่รั่วหลี โฟกัสเรื่องอื่นไม่ได้เลยค่ะ ช่วงนี้ที่วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกหนูไม่มีแรง
แม้แต่จะคิดว่าอาหารมื้อต่อไปจะกินอะไรดี ทุกครั้งที่รู้สึกว่าหิวจนหมดแรงจริงๆหนูจะหาร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดที่หนูมองเห็น และเติมห้องให้อิ่ม
โดยเร็วที่สุดค่ะ….”
พูดจบเธอก็โค้งตัวอย่างรู้สึกผิด “พ่อคะ ช่วงนี้แบ่งเบาภาระให้พ่อไม่ได้เลย พ่อให้อภัยหนูด้วยนะคะ…”
เหอหงเซิ่งพยักหน้าพร้อมปลอบ “ลูกไม่ต้องโทษตัวเองนักหรอก เรื่องแบบนี้พ่อเข้าใจดี”
พูดมาถึงตรงนี้เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “ในบ้านนี้มีเพียงลูกที่มองปัญหาได้ลึก พี่ชายและน้องชายของลูกฝึกฝนวรยุทธจนกล้ามเนื้อแข็ง
แรงทว่าหัวสมองธรรมดา บวกกับไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ เวลามองปัญหามักจะมองแค่ผิวเผิน..”
เหออิงชิ่วเอ่ยถาม “พ่อคะ ตอนนี้พ่อมีแผนคร่าวๆแล้วใช่มั้ยคะ?”