ผู้กล้าเงาสุดแกร่ง อยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดา - ตอนที่ 10
Ch.10 – ชีวิตประจำวันของผมและเพื่อน
Translator : Reheikichi / Author
จากการเรียนทฤษฏีครั้งแรก ทำให้รับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นนักเรียนจริงๆ
อาจารย์ซิลเวียยืนอยู่แท่นสอนขณะที่อธิบายตัวอักษรบนกระดานดำอย่างสุภาพ
[ ครึ่งปีที่แล้ว ผู้กล้ารุ่นที่สี่ชิออน เบรุตได้ปราบจอมมารลงได้ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีการคุกคามที่จอมมารสร้างขึ้นหลงเหลืออยู่ มอนสเตอร์ ดันเจี้ยน และปีศาจชั้นสูง… แม้ว่าจอมมารจะตายไปแล้ว แต่เหล่าลูกน้องที่หลงเหลืออยู่ของจอมมารก็ยังคงคุกคามมนุษย์อยู่ ]
มอนสเตอร์ ดันเจี้ยน และปีศาจชั้นสูงตราบใดที่ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่โลกก็ไม่มีวันสงบสุขอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องยากนักที่จะกำจัดสิ่งที่จอมมารหลงเหลือไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะมอนสเตอร์และดันเจี้ยนนั้นที่มีจำนวนมากมาย ถึงจะจัดการได้บางส่วน แต่สุดท้ายในปัจจุบันก็งานล้นมือแล้ว ดังนั้นทั้งมอนสเตอร์และดันเจี้ยนที่สร้างขึ้นในยุคสงครามครั้งที่สามจึงยังมีเหลืออยู่
[ เมื่อจอมมารพ่ายแพ้ แม้ว่าพวกมอนสเตอร์จะอ่อนแอลง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันยังเป็นปัญหาอยู่ดี เมื่อเดือนที่แล้วที่ชายแดนทางตะวันตกของราชอาณาจักรเทลาเรียนั้นมีดันเจี้ยนขนาดใหญ่อยู่ ทางเราจึงให้นักผจญภัยเป็นคนจัดการกับดันเจี้ยนแห่งนั้น หากเป็นเรื่องของนักผจญภัย ควรให้นักผจญภัยมาอธิบายจะดีกว่า ]
[ ค่ะ ]
เด็กสาวผมสีเงินสวมเครื่องแบบสีดำยกมือขึ้น
ตอนที่เธอแนะนำตัวเมื่อวันก่อนเธอบอกว่า [ ฉันเป็นนักผจญภัย ] นี่นะ
[ ถ้าอย่างนั้นคุณมิเซ่ รบกวนด้วยค่ะ ]
[ นักผจญภัยก็คือสมาชิกของกิลด์นักผจญภัยและทำงานตามภารกิจคำร้องที่มาจากกิลด์ ตั้งแต่สงครามครั้งแรกสิ้นสุดลง คนหลายคนหวังจะรวยทางลัดจึงได้ไปสำรวจดินแดนของปีศาจไม่ก็ที่ดันเจี้ยน นี่เป็นที่มาที่พวกเขาถูกเรียกว่านักผจญภัย แต่นักผจญภัยสมัยใหม่ทุกวันนี้ต่างกัน อาจจะมีบางคนที่คาดหวังในการฝึกจึงมาเป็นนักผจญภัยที่ปราบเหล่ามอนสเตอร์และบางคนที่คาดว่าจะมีมรดกของจอมมารหลงเหลืออยู่บ้างก็เถอะค่ะ ]
[ เป็นคำอธิบายที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ ขอบคุณมาก ตามที่คุณมิเซ่พูดมา นักผจญภัยจะดูแลทุกอย่างตั้งแต่การทำความสะอาดสวนจนไปถึงพาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น ไม่ว่าคำขอใดๆ ก็ตาม ซึ่งคำขอส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับมรดกจอมมารอย่างการปราบมอนสเตอร์ นอกจากนี้ในกรณีฉุกเฉินก็นับเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งที่ต่อสู้เคียงข้างอัศวิน ความจริงในสงครามครั้งที่สี่ก็มีนักผจญภัยหลายคนที่เข้าร่วมสงครามตามคำขอร้องของประเทศ ]
อาจารย์ซิลเวียอธิบาย
หากจะอธิบายเพิ่มเติมก็คือนักผจญภัยถูกมองว่าเป็นกองกำลังที่เคียงข้างอัศวิน แต่ไม่อาจแทนที่อัศวินได้ อย่างไรก็ตามนักผจญภัยก็เหมือนทหารรับจ้างที่รับงานทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเงินรางวัล แม้อย่างนั้นก็มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าอัศวิน ไม่ว่าสถานการณ์ใด อัศวินก็จะปกป้องความปลอดภัยของเมืองและเคลื่อนไหวด้วยความภักดีไม่ใช่เงินทอง
[ ถ้างั้นใครก็ได้ช่วยอธิบายเรื่องปาร์ตี้ของท่านผู้กล้าที่ร่วมสงครามครั้งที่สี่ด้วยค่ะ ]
เด็กชายผมสีทองที่อยู่ตรงกลางห้องเรียนยกมือขึ้นให้กับคำพูดของอาจารย์ซิลเวีย
เขาสวมเครื่องแบบสีขาวจึงรู้กันว่าเขาอยู่แผนกผู้กล้า เด็กชายคนนั้นแสดงท่าทีมั่นอกมั่นใจ
[ ซิคคุง รบกวนด้วยค่ะ ]
[ ครับ มีท่านชิออน เบรุส ผู้กล้ารุ่นที่สี่ ท่านนักบุญโซเฟีย เทราเลีย ท่านพ่อมดโดโรล เอรุ และท่านนักรบอรัน บันครับ ซึ่งตอนนี้พวกท่านกำลังเดินทางไปรอบโลกเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและทักทายเหล่าผู้คนที่มีส่วนช่วยระหว่างสงครามครั้งใหญ่ ]
[ ถูกต้องแล้วค่ะ นอกเหนือจากปาร์ตี้ของท่านผู้กล้าแล้วช่วยอธิบายเหล่าผู้มีส่วนร่วมในการปราบจอมมารให้หน่อยได้มั้ยคะ? ]
[ กองทัพอัศวินจากประเทศจากประเทศต่างๆ ซึ่งนอกเหนือจากราชอาณาจักรเทลาเรียครับ ทั้งอัศวินแห่งราชวงศ์โคโนเอะและท่านดยคอัศวินเซย์รินซึ่งเป็นผู้นำทัพและสนับสนุนปาร์ตี้ของผู้กล้าครับ ]
[ แล้วพอรู้เรื่องของอัศวินของแต่ละประเทศบ้างไหมคะ? ]
[ อัศวินของแต่ละประเทศเหรอครับ? เอ่อ เรื่องนั้น… ]
ซิคพูดไม่ออก
จำนวนอัศวินที่มาเข้าประจำการในศึกสงครามนั้นเยอะมาก ในด้านของราชอาณาจักรเทลาเรียก็อย่างที่ซิคได้บอกมา อัศวินโคโนเอะและอัศวินเซย์รินถือว่ามีผลงานโดดเด่นมาก
นอกจากนี้… ยังมีอัศวินคนไหนที่ผลงานโดดเด่นอีกนะ ผมนึกถึงฉากในสนามรบ
[ ถ้าอย่างนั้นทรูเอทคุง ช่วยตอบแทนซิคคุงทีนะ ]
ทันใดนั้นที่ผมถูกเรียกชื่อ ผมก็แปลกใจ
บางทีเพราะอาจารย์เห็นท่าทางคิดของผมอยู่เลยนึกว่าผมไม่ได้ตั้งใจเรียนล่ะมั้ง แต่ความจริงแล้วผมกำลังนึกตามเนื้อหาที่สอนว่ามีอัศวินคนไหนบ้างต่างหาก
[ อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์อัลเคเดีย อัศวินสีเงิน อัศวินสีแดง และอัศวินสีเงินครับ นอกจากนี้ยังมีอัศวินผู้ทรงเกียรติจากจักรวรรดิสแตนเลย์ แล้วก็… อัศวินนักล่ามังกรจากรัฐอสูรเองก็ร่วมมือกับผู้กล้าด้วยครับ ]
เธอคงไม่คิดว่าผมจะตอบได้ อาจารย์ซิลเวียหลับตาไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มให้
[ ถูกต้องค่ะ รู้จักอัศวินนักล่ามังกรแปลว่าศึกษามาดีนะคะ อย่างที่ทราบกันดีปีศาจชั้นสูงบางตนก่อกบฏต่อต้านจอมมารและร่วมมือกับมนุษย์ก็มีค่ะ ซึ่งประเทศที่พวกเขาก่อตั้งถูกเรียกว่ารัฐอสูรและมีสัมพันธ์อันดีกับประเทศของมนุษย์ ในช่วงสงครามพวกเขาเองก็ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปราบจอมมารลงด้วยค่ะ ]
อาจารย์ซิลเวียอธิบาย
ผมรู้จักอัศวินนักล่ามังกรดี เพราะครั้งหนึ่งเคยได้สู้กัน นับเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทีเดียว เนื่องจากเพราะเป็นอัศวินของรัฐอสูร เป็นธรรมดาที่ผู้นำทัพจะเป็นปีศาจชั้นสูง เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าปีศาจชั้นสูงที่ปกป้องหัวใจของจอมมารซะอีก
[ …ก ]
ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มจากแผนกผู้กล้าซิคก็พึมพำบางอย่าง จากนั้นก็กลืนคำพูดตัวเองลงไป
ดูเหมือนอาจารย์ซิลเวียจะไม่ได้ยินและเริ่มบรรยายต่อไป
[ นอกจากราชอาณาจักรเทลาเลียแล้วอัศวินเซย์รินที่เข้าร่วมในสงครามยังได้แสดงผลงานอันน่าทึ่งเอาไว้ …. ด้วยเหตุนี้ทำให้น่าเศร้าใจเพราะระหว่างสงครามท่านกาเลีย แอสเพรันได้ตายในสงคราม ทำให้คนมากมายต่างโศกเศร้า แต่เขาก็ทิ้งความสำเร็จอันงดงามเอาไว้ ]
อาจารย์ซิลเวียพูดอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้น
[ ชั่วโมงแรกพอเท่านี้แล้วกันค่ะ ]
จากนั้นอาจารย์ซิลเวียก็เดินออกจากชั้นเรียน
และเพื่อนร่วมชั้นก็เริ่มเข้าไปคุยกับกันและกัน
[ เฮ้ ]
ขณะที่ผมกำลังเหยียดตัวเล็กน้อย เด็กหนุ่มผมสีทองเครื่องแบบสีขาวก็เดินเข้ามาหาผม
นั่นคือซิคที่มาพร้อมกับชายสามคนจากแผนกผู้กล้า
[ เป็นแค่นักเรียนแผนกสามัญอย่ามาอวดเก่งนักนะเว้ย ]
ซิคพูดออกมา
ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจที่ผมตอบคำถามอาจารย์ไปก่อนหน้านี้ คงรู้สึกเหมือนต้องให้ผมคอยเช็ดก้นให้ ซิคเลยโกรธขึ้นมา
[ ไอ้พวกแผนกสามัญมันก็แค่พวกที่เข้าแผนกผู้กล้าไม่ได้ ถึงจะอยู่ห้องเดียวกันก็อย่าคิดว่าตัวเองเท่าเทียมกันเชียวล่ะ ]
ซิคเชิดดูผมและนักเรียนชายทั้งสามคนด้านหลังของเขาก็หัวเราะน่ารังเกียจออกมา
ในวันที่ผมตัดสินใจเข้าเรียนที่นี่ ผมก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องมีการแบ่งแยกระหว่างแผนกผู้กล้าและแผนกสามัญ ดูเหมือนการคาดการณ์ของผมจะถูกต้อง
ในเวลานั้น จู่ๆ เอลิเซียก็มาปรากฏตัวข้างตัวซิค
[ คุณเอลิเซียเองก็คิดเหมือนกันใช่มั้ยครับ? ]
ซิคถามออกไป เอลิเซียตอบกลับหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
[ อาจจะเป็นอย่างนั้น ]
เมื่อเอลิเซียยืนยันเช่นนั้น ซิคก็ยิ้มแบบมีเลศนัยและเดินจากไป
ผมและเอลิเซียสบตากันเงียบๆ
และเบนสายตาหนีเพราะความอึดอัด
[ ….อะไรล่ะ ก็ฉันเห็นนายไม่มีปฏิกิริยาและไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไงนี่นา ]
[ ….อย่างนั้นเหรอ ขอโทษนะผมจะระวัง ]
[ นอกจากนี้ก็เพื่อไม่ให้มีเรื่องใหญ่ด้วย ]
เอลิเซียพูดพลางถอนหายใจ
[ แล้ว นายคิดจะปกปิดความสามารถเอาไว้จริงเหรอ? ]
[ ไม่หรอก ไม่ได้ตั้งใจไว้อย่างนั้น ผมก็แค่ไม่อยากเปิดเผยความสามารถให้เกินความจำเป็น… ถึงจะมีสิ่งที่ทำได้ แต่ก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้เช่นกัน ]
[ น่า เอาเถอะ ถ้านายคิดจะปกปิดความสามารถไว้ก็อย่าไปชนะอาจารย์ในการสอบเข้าสิ …. ไม่งั้นก็พูดให้ชัดเจนไปเลยว่า 『ผม-ทรูเอทแข็งแกร่งกว่านาย』]
[ …ก็ผมไม่อยากเด่นนี่นา ]
ผมยิ้มรับด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
[ ทรูเอท นายช่วยมาเป็นคู่ฝึกพิเศษให้ฉันได้ไหม? ]
[ ฝึกพิเศษ? ]
ผมถามกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
[ เป้าหมายของการฝึกพิเศษคืออะไรล่ะ? ]
[ แน่นอนว่าเพื่อแข็งแกร่งขึ้น ]
[ จะทำยังไงต่อไปเมื่อแข็งแกร่งขึ้นแล้ว? ]
[ เรื่องนั้น… เอ่อ เพราะหลายๆ เรื่อง ในโลกนี้เราจำเป็นต้องแข็งแกร่งไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้ในห้องเรียนก็พูดถึงมรดกของจอมมารด้วยนี่ หากเราแข็งแกร่งก็จะสามารถรับมือกับพวกมันได้ง่ายดายแม้จะเป็นนักเรียน นักผจญภัยเองก็ต้องแข็งแกร่งกันยิ่งกว่านี้ ]
[ ….ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มันก็มีประโยชน์เฉพาะบางสถานการณ์เท่านั้น ]
[ ฉันอยากแข็งแกร่งขึ้น ฉัน… ที่มาโรงเรียนนี้ก็เพื่อสิ่งนี้ ]
อย่างที่เธอบอกไว้ช่วงสอบเข้าและแนะนำตัวในชั้นเรียน เอลิเซียยึดติดกับการอยากแข็งแกร่งขึ้น ไม่พูดเกินจริงไปเลยว่ามันครอบงำจิตใจของเธอไปถึงก้นบึ้ง
ผมไม่รู้ว่าเรื่องของเอลิเซียมากนัก หากจะให้ผมเป็นคู่ฝึกพิเศษให้อย่างน้อยก็อยากรู้สถานการณ์ของเธอก่อน คำถามคือ…. ผมอยากรู้ว่ามันจะส่งผลยังไงกับ [ ชีวิตประจำวันแสนธรรมดา ] ของผมบ้าง?
บางที…. อาจไม่ส่งผลอะไรล่ะมั้ง
ถึงสถานการณ์ของทางเอลิเซียจะเรียกไม่ได้ว่า [ ธรรมดา ] ก็เถอะ
[ ไม่ได้เหรอ? ขอร้องล่ะนะ ]
[ เหรอ… เข้าใจแล้ว ผมยอมแพ้ ]
[ ยอมแพ้ง่ายกว่าที่คาดนะ ]
[ ผมเองก็คาดการณ์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วที่จะผลักไสเธอไปให้คนอื่น ]
ถ้าให้พูดตรงๆ ก็เพราะเอลิเซียทำหน้าเศร้าแบบเปิดเผยขนาดนั้นออกมานะสิ ระหว่างการสอบผมอวดฝีมือให้เอลิเซียดูไปแค่นิดหน่อย แต่เธอเหมือนจะคิดว่าผมมีฝีมือมาก ถึงจะปฏิเสธการเป็นคู่ฝึกพิเศษไปผมก็ไม่ได้เสียใจหรอกนะ แค่จะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อยแค่นั้นเอง
[ เพื่อนธรรมดาไม่ได้เหรอ? ]
ผมมองไปที่เอลิเซีย
[ ผมคงเป็นคู่ฝึกพิเศษให้ไม่ได้ ดังนั้นให้คิดว่าผมเป็นเพื่อนธรรมดาแทนก็แล้วกัน ]
เอลิเซียรู้สึกประหลาดใจจนอ้าปากค้าง
จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
[ ….นั่นสิ แบบนั้นตามที่นายว่าก็ได้ ]
ผมเอื้อมมือออกไปและจับมือกัน
หลังจากปล่อยมือ เอลิเซียพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า [ ฉันขอโทษนะ ]
[ ชักจะเครื่องร้อนแล้วสิ หลังเลิกเรียนวันนี้มาเริ่มกันได้เลยนะ ]
[ ผมไม่เข้าใจสถานการณ์นักหรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะเก่งได้ในวันพรุ่งนี้หรอกใช่มั้ย? ฝีมือของผมเองก็ใช้วิธีฝึกฝนเรื่อยมาไม่ใช่ว่าจะเก่งได้ในชั่วข้ามคืนหรอก ดังนั้นอย่าใจร้อนไป ]
[ ขอบคุณมาก ฉันจะจำคำแนะนำนั้นไว้ ]
เอลิเซียพูดออกมา
[ ไง กำลังคุยเรื่องสนุกๆ กันงั้นเรอะพรรคพวก ]
ในเวลานั้นชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็ทักขึ้นจากด้านข้าง
[ กุเร็นเองเหรอ ]
[ ฉันจากแผนกสามัญคุณเอลิเซีย ถ้าไม่รังเกียจขอฉันเป็นเพื่อนด้วยสิ… ]
[ ค่ะ ขอฝากตัวด้วย ]
เมื่อเอลิเซียยิ้มออกมา ทำให้กุเร็นถึงกลับหลงไปเลย