ผู้กล้าเงาสุดแกร่ง อยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดา - ตอนที่ 9
Ch.9 – อดีตนักกำจัดขยะ
Translator : Reheikichi / Author
วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีเปิด
ผมตื่นขึ้นมาในหอพักนักเรียน
[ … นาฬิกาปลุกร่างกายยังทำงานได้ดี ]
ผมเปิดม่านและมองทิวทัศน์ข้างนอกที่ยังมืดอยู่
ซึ่งเร็วกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเล็กน้อยประมาณหนึ่งชั่วโมง
โรงเรียนนี้ใจกว้าง นักเรียนหนึ่งคนจึงมีสิทธิ์มีห้องส่วนตัวในหอพักนักเรียนและใช้ห้องได้อิสระ ผมเปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ที่นำมาด้วย หลังดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำ ผมก็เปลี่ยนมาสวมชุดออกกำลังกายเพื่อออกไปข้างนอก
แม้สงครามจะจบลงแล้วและตอนนี้ผมยังเป็นนักเรียน แต่นาฬิกาปลุกชีวิตที่องค์กรฝึกฝนผมมายังทำงานได้ดีมากๆ
ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องตื่นตอนตีสี่และวิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาอาหารเช้า
มันเป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมทำมาตลอดสิบปี เมื่อตอนยังเด็กทำเอาเกลียดวิธีการสอนของครูฝึกเลยล่ะ แต่ตอนนี้มันสงบใจไม่ได้ถ้าไม่ได้วิ่ง จึงกลายเป็นตรงกันข้าม บางสิ่งบางอย่างมันก็เปลี่ยนยากนะ
ผมเริ่มวิ่งหลังจากวอร์มอัพเบาๆ
ก่อนจะเข้าเรียนผมตั้งใจว่าจะวิ่งจากโรงเรียนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้จากนั้นก็วิ่งไปที่กำแพงเมืองและออกจากประตูตะวันออก วิ่งไปตามกำแพงแล้วค่อนเข้ามาจากประตูทางใต้ของกำแพงเมือง เพราะมีเป้าหมายคือการฝึกฝนเพื่อรักษาไม่ให้ร่างกายฝืด โดยปกติแล้วจึงไม่ใช้เวท《เรจ》ที่ช่วยเสริมกำลังกาย
สายลมเย็นๆ ยามเช้ารู้สึกสบาย สดชื่นกว่าวิ่งช่วงกลางวันเยอะ
หลังจากเพลิดเพลินกับความรู้สึกของสายลมที่ตีหน้า จังหวะนั้นดวงอาทิตย์ก็ขึ้นและข้างนอกก็สว่างขึ้น
[ หืม? ]
หลังจากวิ่งออกจากกำแพงไปสักพัก ผมก็รู้สึกตัวว่ามีผู้ชายผมสีแดงกำลังวิ่งอยู่ข้างหน้า รู้สึกจะคุ้นหน้าอยู่ แต่จำไม่ได้แฮะ
ชายคนนั้นมีร่างกายกำยำใช่ย่อย เมื่อผมวิ่งเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงลมหายใจหอบของเขา
[ ฮา… ฮา…!! ต้องยิ่งกว่านี้ ยิ่งกว่า… แฮ่ก!! ]
ผมได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ของเขา
บางทีชายคนนี้คงฝึกหลักสูตรการฝึกคล้ายกันกับผม เมืองไมคูร่ามีกำแพงเมืองอยู่สี่บานจากทั้งสี่ทิศ หากวิ่งอยู่รอบนอกของประตูเมืองไปจรดอีกฝั่งจะได้ว่าไกลมาก
ชายคนนั้นกำลังจะล้มลงแล้ว
ที่จริงแล้ว… ผมก็ไม่ควรเมินเขาไปซะเฉยๆ อยู่แล้ว
[ เฮ้ ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ]
เมื่อผมพูดกับชายคนนั้น เขาก็เหยียดหลังและแสร้งทำท่่าทีสงบ
[ …อา ไม่เป็นไร ]
แน่นอนว่าคงโกหก
[ การหักโหมใช่ว่าจะดี นายชลอความเร็วลงจะดีกว่า ]
[ ไม่ได้… ถ้าทำแบบนั้นฉันจะสาย ]
[ สาย? ]
จากคำพูดนั้น ในที่สุดผมก็นึกออก
ชายคนนี้เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน นักเรียนม.ปลายห้อง D น่าเสียดายแฮะแต่ลืมชื่อไปซะแล้ว จำได้แค่ว่าอยู่แผนกเดียวกัน
[ งั้นเหรอ งั้นก็พยายามเข้าล่ะ ]
พิธีเปิดเรียนจบลงเมื่อวันก่อน แต่การเรียนของจริงจะเริ่มวันนี้
อันที่จริงการสายตั้งแต่วันแรกก็ไม่ดีนักหรอก แต่หากช้าระดับนี้คงได้สายแน่
แม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันแต่ผมไม่คิดจะสายไปด้วยหรอก
ผมจึงวิ่งแซงชายคนนั้นไป
[ …อึก!! ]
เมื่อเห็นผมพยายามแซง ชายคนนั้นจึงเร่งความเร็วขึ้น
อะไรกันชายคนนี้ ไม่จริงน่าคิดว่าผมเป็นคู่แข่งเรอะ
[ …. วิ่งเร็วเกินไป มันไม่ดีกับหัวใจนะ ]
[ มะ ไม่ใช่… ฉันแค่วิ่งตามจังหวะตัวเองตามปกติ ]
ไอ้คนโกหก
กำลังฝืนตัวเองอยู่ชัดๆ แล้วผมก็ไม่ได้ตื่นมาแต่เช้าเพื่อมาหาคนคุยหรอกนะ ผมไม่สนใจชายคนนั้นและตัดสินใจวิ่งไปตามจังหวะของตัวเอง
ชายคนนั้นวิ่งตามผมไปอย่างเงียบๆ
แต่ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้วสินะ ไม่ช้าความเร็วของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ
ผมมาถึงประตูทางใต้ประมาณสองชั่วโมงและกลับมาที่โรงเรียนโดยใช้เวลาอีกยี่สิบนาที
ผมรู้จังหวะก้าวตัวเองดีจึงคำนวณเวลาที่จะกลับมาได้ตามแผน ก่อนถึงเวลาระฆังเรียนดัง ผมไปอาบน้ำขับเหงื่อและทานมื้อเช้าสักหน่อยดีกว่า
หลังจากนั้นสักพัก ผมก็เห็นชายคนหนึ่งนอนปางตายหน้าประตูโรงเรียน
นึกว่าจะยอมแพ้แล้วใช้เวทเสริมกำลังกายไปแล้วซะอีก แต่จากที่มองก็ดูเขาจะไม่ได้ใช้จริงๆ แฮะ ดูเหมือนจะวิ่งด้วยขาเพียวๆ จนจบ แม้ว่าจะหมดแรงปางตายแต่เขากลับสดชื่นเหมือนทำอะไรสำเร็จสักอย่าง
ชายคนนั้นหายใจหอบขณะที่เดินมาทางผม
[ นาย… ก็… เป็น… นักเรียนที่นี่ด้วย… งั้นเหรอ ]
[ ก็นะ ]
[ บ้าเอ้ย… ทั้งที่ฉันเองก็มั่นใจในพลังกาย… นายเป็นคนของแผนกผู้กล้างั้นเหรอ? ]
[ ไม่ใช่หรอก อยู่แผนกสามัญ ]
[ ว่าไงนะ!? จ จริงเรอะ… ทั้งที่มีพลังกายขนาดนั้น…? ]
[ ทางนายเองก็เหมือนกันนี่ อยู่แผนกสามัญทั้งที่มีพลังกายมากกว่าคนทั่วไปใช่มั้ยล่ะ? ]
ระยะทางจากประตูตะวันออกไปถึงประตูทางใต้ไกลมาก ปกติไม่มีใครวิ่งได้ในเวลาสั้นๆ หรอก
ที่ผมวิ่งได้เป็นปกติก็เพราะฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก แต่บางทีชายตรงหน้าก็กำลังฝึกตนเพื่อเพิ่มพลังกาย จะเรียกว่าแปลกก็ได้เพราะพวกที่ฝึกส่วนใหญ่จะอยู่ที่แผนกผู้กล้าแทนที่จะเป็นแผนกสามัญ
[ ก็นะ ทางฉันมันมีหลายๆ เรื่อง… แต่นายน่ะบอกว่าอยู่แผนกสามัญจริงเรอะ? ]
[ ใช่ เราอยู่ห้องเดียวกัน ]
[ เห๊ะ? แย่แฮะ ฉันไม่ได้สังเกตเลย ]
จากนั้นชายคนนั้นก็ยิ้ม
[ นายอาจจะรู้ชื่อฉันอยู่แล้วก็ได้ ฉันชื่อกุเร็น อิบลิริส ]
[ ทรูเอท ]
จำได้แล้ว รู้สึกว่าจะมีคนชื่อนั้น
กุเร็น อิบลิริสมีนักเรียนชื่อนั้นนี่นะ
[ ทรูเอท … อ่อ! นายนั่นเอง! หลังจากโฮมรูมเมื่อวาน นายคนก็ถูกสาวผู้กล้าคนนั้นพาตัวไปสินะ ]
กุเร็นพูดออกมา
แม้จะจริงอย่างที่กุเร็นพูดอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ค่อยอยากจำเลย
[ น่าตกใจจริงๆ แฮะ ไม่นึกเลยว่านายจะสนิทกับเธอคนนั้นได้ ]
[ ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอก ก็แค่รู้จักกันนิดหน่อยตอนสอบเข้าแผนกผู้กล้า ]
[ เรื่องจริงเรอะ? ที่นายไปสอบเข้าแผนกผู้กล้า? ]
[ อา แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ ที่จริงอยากเข้าแผนกสามัญแต่แรกแล้ว แต่ดันไปเข้าสอบโดยไม่ได้ตั้งใจนะ ]
[ อา… จะเรียกว่าหายนะก็ได้เลยนะนั่น ทำเอานึกถึงตัวเองเลย ที่ถูกเข้าใจผิดเพราะรูปร่างบ่อยๆ … ]
กุเร็นพลางถอนหายใจ
กุเร็นดูน่ากลัวนี่นะ กระดูกหนา ตัวสูง ตอนที่เห็นวิ่งอยู่ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นนักเรียนที่อายุเท่ากัน
[ จากที่ผมมองนายเหมือนทหารผ่านศึกมากกว่า ]
เมื่อได้ยินคำพูดของผม กุเร็นก็ยิ้มเล็กน้อย
[ ฉันไม่ชอบสู้ใครนักหรอก ทรูเอทนายนี่ดูดีและเป็นคนนิ่งๆ จังแฮะ ฉันล่ะกลัวคนอย่างนายจริงๆ … ถ้างั้นฉันคงต้องไปล้างเหงื่อออกสักหน่อย ตอนนี้น่าจะใช้ห้องอาบน้ำที่ชั้นหนึ่งของหอพักได้ล่ะมั้ง ]
จากนั้นจู๋ๆ กุเร็นก็ถอดเสื้อออกมาซะงั้น
[ อย่ามาถอดตรงนี้สิเห้ย ]
[ มันดีกว่าให้พื้นเละเหงื่อนี่นา แล้วลมยังเย็นดีด้วยไม่ใช่เหรอ? ]
กุเร็นพูดออกมาพลางเอาเอาเสื้อซับเหงื่อตามตัว
แต่แน่นอน ว่าเหงื่อมันก็หยดจากเสื้อตกลงพื้นอยู่ดี
ผมเองก็ทำามกุเร็น ถอดเสื้อและขับเหงื่อออกจากเสื้อ
จากนั้นกุเร็นก็ลืมตาและมองมาทางผม
[ ทรูเอท …. นายไม่ใช่คนธรรมดาอย่างนั้นสินะ ]
กุเร็นพยักหน้าและมองด้วยสายตาจริงจัง
[ แผลพวกนั้น… ได้มายังไงนะ? คงไม่ใช่แค่มอนสเตอร์แน่ บางทีคงเกี่ยวข้องกับคนด้วย ]
กุเร็นพูดและมองรอยแผลมากมายบนร่างกายของผม
การต่อสู้จากสงครามเมื่อไม่นานนี้ มันยากมากที่ผมจะต่อสู้โดยไร้รอยขีดข่วน
มันไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงให้ใครเห็นได้ คงต้องหาทางปกปิด แต่――
[ ก็แค่รอยแผลน่ะ ถ้าพูดถึงบาดแผลแล้วนายเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกันนี่ ]
เมื่อผมพูดขึ้น กุเร็นหัวเราะ [ หึ ] ออกมา
[ เมื่อไม่นานนี้ ฉันเองก็เคยต่อสู้ในสนามรบ แต่สุดท้ายก็ถอยกลับมาทันทีเลยน่ะ ]
[ เพราะบาดแผลเหรอ? ]
[ … อา มันเป็นบาดแผลทางใจที่ไม่สามารถเผชิญหน้ากับศัตรูได้…. ฉันจึงทำได้แค่ฝึกฝนร่างกายแต่จิตใจก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเลย การฝึกก็ทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ]
กุเร็นพูดพลางมองท้องฟ้า
อาจเพราะว่าผมกับชายคนนี้อยู่ในสถานะเดียวกัน เขามีอดีตที่ค่อนข้างพิเศษและมาเป็นนักเรียนที่นี่เพื่อหนีจากมัน
[ แล้วนายล่ะทรูเอท เจอสถานการณืแบบเดียวกับฉันเหรอ? ]
เพราะคำถามของกุเร็น ทำให้ผมคิดอยู่เล็กน้อย
มันถูกอย่างที่กุเร็นพูดที่ว่าสถานการณ์ของเราคล้ายคลึงกัน ตอนนี้คงไม่ดีหากพูดความจริงออกไปทำให้ผมคิดหนัก เพราะเขาอาจจะเปรียบเทียบผมกับตัวเองก็ได้ ถึงจะไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของสงครามแต่มันก็ยากที่จะทราบถึงตัวตนขององค์กรได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องหาเรื่องโกหกดีๆ บอกออกไปแม้จะยากอยู่ก็เถอะ
[ …. น่าเสียดายนะ บาดแผลของผมไม่ได้เกิดจากคนหรือมอนสเตอร์หรอก เพราะรอยแผลมากมายที่ได้มาจากความบังเอิญน่ะ ]
[ ไม่ นั่นต้องเป็นบาดแผลจากมอนสเตอร์แน่… ]
[ เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่มีประสบการณ์ในสนามรบหรอก ]
[ อ อึก พ พอพูดแบบนี้ยิ่งรู้สึกเสียความมั่นใจ… ]
กุเร็นพึมพำออกมา
[ แล้วบาดแผลนั่นได้มาจากไหนล่ะ? ]
[ บาดแผลจากการทำงานน่ะ ]
[ จากการทำงาน? ]
[ ก่อนที่จะมาเข้าเรียนที่นี่ ผมต้องช่วยงานพ่อแม่ ก็อย่างงาน… กำจัดขยะ ใช่ กำจัดขยะในเมืองให้สะอาดไงล่ะ ]
[ … จะบอกว่าบาดแผลพวกนั้นได้มาจากทำการกำจัดขยะงั้นเหรอ ]
[ มือสมัครเล่นน่ะไม่เข้าใจหรอก การกำจัดขยะเนี่ยมันยากกว่าที่นายคิดนะ เพราะอยู่แต่ในสถานที่ที่คนปกติมองไม่เห็นทั้งนั้น โดยเฉพาะผมที่ต้องขยับไม้ขยับมือไม่หยุด เลยถูกวานให้การกำจัดขยะที่ต่างๆ อยู่ไม่เว้นวันเลยล่ะ นี่ล่ะที่มาของบาดแผล ]
[ หืม ดูท่าจะเป็นงานหนักนะ งั้นเหรอ… การกำจัดขยะในเมืองนี่มันยากเย็นเหมือนกันนะ… ]
กุเร็นพูดด้วยเสียงเบาๆ ขณะที่ทางผมระวังตัวสุดๆ
ผู้ชายคนนี้ดูจะงี่เง่าอยู่นิดหน่อย แต่โดยรวมก็เป็นคนดี
[ พอเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าถ้านายไม่ให้ใครเห็นบาดแผลพวกนั้น เพราะคนอื่นอาจจะไม่คิดเหมือนฉันก็ได้ ]
[ … อา จะระวังไว้ ]
ผมพยักหน้าให้คำพูดของกุเร็น
หลังจากนั้นเราก็อาบน้ำ ทานมื้อเช้าและไปที่ห้องเรียน