ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - ตอนที่ 674 ถ้านายเกิดเป็นผู้หญิงก็ดี
ตอนที่ 674 ถ้านายเกิดเป็นผู้หญิงก็ดี
ก่อนอื่นเลย ฟางจินเป่ารู้สึกโกรธแค้นเหล่าคนร้ายที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ พอได้ยินว่าพวกเขาทั้งหมดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
อีกอย่างหนึ่งก็คือความเกลียดชังที่มีต่อจางเหมย
ผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นพี่สะใภ้ที่พวกเขานับถือ
แต่แล้วหล่อนก็ทำเรื่องแบบนั้น
แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนั้น การเลี้ยงดูทารกคนหนึ่งโดยลำพังนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ ถึงหล่อนจะโยนเด็กให้เป็นภาระเฉินเจียเหอ พวกเขาก็ยังคงเข้าใจและให้อภัยได้
แต่ในตอนนี้ คนอื่นเลี้ยงดูเด็กคนนั้นมาตั้งหกขวบแล้ว ทั้งยังผูกพันกันเหมือนกับลูกแท้ๆ และหู่จือก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หล่อนกลับปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อต้องการให้หู่จือยอมรับตน
พฤติกรรมแบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไป
หล่อนคิดถึงเพียงว่าตัวเองเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ไม่เคยดูแลหู่จือ ไม่แม้แต่จะเหลียวแล ในขณะที่เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยคอยเลี้ยงดูมาด้วยความทะนุถนอม
และที่สำคัญ หล่อนไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของหูจื่อเลย
เมื่อนึกว่าอีกสักครู่จะต้องพบกับจางเหมย ฟางจินเป่าก็แทบจะทนรอไม่ไหว ถ้าจางเหมยไม่รู้จักคิดจริงๆ แล้วมาพบหู่จือเพราะอยากจะแสดงตัวว่าหล่อนคือแม่แท้ๆ เขาคงต้องพูดกับหล่อนให้รู้เรื่องเสียที
เห็นเหล่าสหายพี่น้องมาที่บ้านของตน เซี่ยไห่ก็ต้อนรับขับสู้ด้วยความกระตือรือร้น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“นานๆ ทีกว่าทุกคนจะได้มาเจอกัน วันนี้พวกเราก็มากินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาระหว่างรอให้จางเหมยมาเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงกวาดสายตามองไปทั่วแล้วกล่าวด้วยความเสียดายว่า “แต่พ่อครัวไม่อยู่กันน่ะสิ กินอะไรกันดีล่ะ”
พูดถึงเรื่องอาหารก็ลืมไปว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้กินอาหารฝีมือบุคคลต้นแบบ คิดว่าวันนี้มาแล้วจะได้เจอบุคคลต้นแบบ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายต้องไปดูแลร้านอาหารเสียอย่างนั้น
เซี่ยไห่จึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนมา “ฉันทำเอง”
“นายทำได้เหรอ? เถ้าแก่อย่างนายทำอาหารเป็นด้วยหรือ?” ฟางจินเป่ายังไม่รู้ว่าหลังจากที่เซี่ยไห่มีความรักแล้ว เขาก็ได้กลายร่างเป็นพ่อบ้านหนุ่ม คอยวนเวียนอยู่ที่เตาทำอาหารทุกวันไป
เซี่ยไห่กล่าว “นายรอกินฝีมือฉันได้เลย พูดแล้วจะหาว่าอวด”
“เจิ้งอวี่เด็กคนนี้แต่งตัวดูดีขึ้นเยอะเลยนะ หล่อกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว”
ฟางจิ้นเป่าไม่ค่อยได้กลับมาบ่อยนัก จึงไม่ค่อยรู้ความเคลื่อนไหวของบรรดาพี่น้อง เขาจึงถามเฉินเจียเหอด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เจิ้งอวี่มีความเคลื่อนไหวอะไรไหม? รูปหล่ออย่างนี้ คงจะมีสาวๆ มาชอบเยอะแยะเลยล่ะสิ”
เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนพวกเขาเคยหยอกล้อกันว่าเจิ้งอวี่ชอบน้องสาวของหลินเซี่ย และดูเหมือนว่าทั้งสองจะถูกอกถูกใจกันไม่น้อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้จะมีความคืบหน้าอะไรบ้างหรือไม่
เฉินเจียเหอแสดงท่าทีว่าไม่ขอตอบคำถามนี้ “เรื่องนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน คุณถามเจ้าตัวโดยตรงเลยก็ได้”
ฟางจินเป่าจึงต้องหันไปซักไซ้ถังจวิ้นเฟิงในเรื่องส่วนตัวแทน
ถังจวิ้นเฟิงตอบอย่างเขินอายว่าเขาสละโสดไปแล้ว
ฟางจินเป่าดีใจมาก กระตือรือร้นอยากเห็นหน้าตาของแฟนถังจวิ้นเฟิง
แต่ถังจวิ้นเฟิงก็ปฏิเสธไป
ตอนนี้ไล่เสี่ยวอวิ๋นยังไม่พร้อมจะพบหน้าสหายพี่น้องของเขา
เซี่ยไห่และลู่เจิ้งอวี่ไปเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว ส่วนฟางจิ้นเป่าก็นั่งคุยปัญหาส่วนตัวของพวกสหายพี่น้องอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนหันไปมองเฉินเจียเหอแล้วเริ่มทอดถอนใจอีกครั้ง
“ฉันพูดตามตรงนะ คิดถึงตอนที่หู่จือถูกคนลักพาตัวทีไรก็อดใจหายไม่ได้ นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง? คนสมัยนี้ไม่รู้เป็นอะไรกันไปแล้ว คนไหนก็ดูไม่น่าไว้ใจหมด แถมยังชั่วร้ายขนาดคิดซ้ำเติมคนอื่นเวลาเขาลำบากอีก”
ฟางจิ้นเป่าหันมาพูดกับหลินเซี่ยด้วยความเป็นห่วง “น้องสะใภ้ เดี๋ยวนี้เวลาออกไปข้างนอกก็ระวังตัวให้ดีนะ บางคนเขาไม่ได้ใจดีกับเรามากนักหรอก”
หลินเซี่ยยิ้มและเอ่ยตอบ “ค่ะพี่ใหญ่ฟาง ฉันจะระวังตัวไว้”
ฟางจิ้นเป่าถามนู่นถามนี่สารพัด ถังจวิ้นเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ทนไม่ไหว ติงขึ้นมาว่า “พี่หยุดซักไซ้ไล่เลียงเถอะ พวกคนร้ายได้รับการลงโทษไปแล้ว เรื่องนี้จบไปแล้ว”
ฟางจิ้นเป่าไม่ซักไซ้เรื่องเสิ่นอวี้อิ๋งและคนอื่นๆ อีกแล้ว เขาเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงจางเหมยอีกครั้ง
“แล้วจางเหมยจะจัดการยังไง? ถ้าเธอมาแล้วขอให้หู่จือรับนางเป็นแม่ล่ะ หรือระหว่างที่พวกเราเผลอแล้วเธอพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดล่ะ? เวลาผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว หล่อนกลับเลือกที่จะปรากฏตัวในเวลานี้ แสดงว่าต้องมีแผนอะไรซักอย่าง ดูท่าทางหล่อนคงอยากพาเด็กไป อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้หล่อนหย่าขาดแล้วไม่ใช่เหรอ? ก็เท่ากับว่าหล่อนแต่งงานมาสองครั้งแล้ว ไม่มีทางที่จะมีครั้งที่สามแน่ๆ หู่จือจึงเป็นเหมือนความหวังสุดท้ายและที่พึ่งสุดท้ายของหล่อน หล่อนคงไม่มาดูลูกเฉยๆ หรอก ฉันว่าฉันออกไปรอหล่อนหน้าบ้านดีกว่า พอหล่อนมาถึงก็จัดการส่งหล่อนกลับเลยจะได้ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องให้หล่อนได้เจอหู่จือ”
ฟางจิ้นเป่าพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวไปดักหน้าจางเหมย
เฉินเจียเหอรีบพูดขึ้นว่า
“ก่อนหน้านี้เราได้ตอบตกลงหล่อนไปแล้ว ตอนนี้จะมาเปลี่ยนใจก็ดูจะไม่เหมาะ”
ถังจวิ้นเฟิงรั้งฟางจิ้นเป่าไว้พลางบอกให้ใจเย็นๆ
เฉินเจียเหอมีสีหน้าเคร่งเครียด “ประเด็นคือหล่อนรู้ดีกระทั่งโรงเรียนของหู่จือและที่อยู่ของเรา หล่อนแอบตามหู่จือมาโดยตลอด ถ้าวันนี้ไม่ให้หล่อนเจอ หล่อนจะต้องแอบตามหู่จือต่อไปแน่ๆ เราไม่มีทางอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา ถ้าทำให้หล่อนโกรธจนมาขอรับรองความเป็นพ่อแม่เมื่อไหร่ นั่นจะยิ่งจัดการยาก”
เพราะแบบนั้น พวกเขาถึงได้เสนอให้จางเหมยเจอกับหู่จือในวันที่ 15 ของทุกเดือน
เพื่อบรรเทาความคิดถึงลูกของจางเหมย และก็เพื่อทำให้หล่อนสงบ ไม่ให้มาตามติดชีวิตของหู่จือ
เซี่ยไห่กับลู่เจิ้งอวี่ทำกับข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว
ลู่เจิ้งอวี่ยกอาหารมาเสิร์ฟทั้งหมดหกอย่าง มีอาหารประเภทยำสองอย่าง และยังมีไก่ย่างที่เขานำมาจากบ้านซึ่งกำลังส่วนที่เหลือก็คือผัดต่างๆที่เซี่ยไห่เป็นคนทำ
“ข้าวสวยลู่เจิ้งอวี่หุง ส่วนกับข้าวฉันทำเอง ชิมดูว่าอร่อยไหม”
ช่วงปีใหม่นี้หู่จือได้สวาปามเนื้อเสียเต็มคราบ เมื่อเห็นเนื้อเข้าถึงกับส่ายหัว พลางบอกว่าอยากกินของหวานๆ
เฉินเจียเหอเลยผสมเข้าเปล่ากับน้ำตาลทรายให้หู่จือ ไม่นานเขาก็กินจนเกลี้ยงชาม
ฟางจินเป่าที่ได้ลองชิมอาหารฝีมือของเซี่ยไห่ก็ต้องประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าเซี่ยไห่จะพัฒนาทักษะใหม่อีกอย่าง
“เหล่าเซี่ย เดี๋ยวนี้มีฝีมือไม่เบาเลยนะ งานครัวก็ยังทำได้ดีขนาดนี้”
เขาพูดพลางหัวเราะ “น่าเสียดาย ถ้านายเกิดเป็นผู้หญิงก็ดีน่ะสิ พวกเราจะได้จ่ายค่าตัวถูกๆ หน่อย”
เซี่ยไห่มองผู้ชายทั้งหลายที่นั่งอยู่ แล้วก็มองไปที่ฟางจินเป่า “ไร้สาระ ต่อให้ฉันเป็นผู้หญิง คิดว่าฉันจะเอาพวกนายเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงแย้งอย่างไม่พอใจ “พวกเราแย่ตรงไหน? นอกจากเหล่าฟางที่หน้าตาดูไม่จืดแล้ว พวกเราที่เหลือก็หล่อเหลาไม่มีใครเทียบได้กันหมดไม่ใช่เหรอ?”
“อย่ามัวแต่หลงตัวเอง รับกินให้หมด เดี๋ยวจางเหมยก็มาแล้ว”
เมื่อเซี่ยไห่เอ่ยชื่อของจางเหมย บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายก็พลันอึมครึมลง
“แม่ จางเหมยคือคุณน้าที่วันนี้จะมาเยี่ยมบ้านหรือเปล่า?” หู่จือเอ่ยถามหลินเซี่ยด้วยความอยากรู้
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่จ้ะ”
“แล้วทำไมเราไม่รอให้แขกมาถึงก่อนค่อยกินข้าวล่ะ?” หู่จือจำได้ว่าปกติที่บ้านจะรอให้ญาติมาถึงก่อนถึงจะเริ่มกินข้าวกัน
หลินเซี่ยเหลือบมองอาหารที่เหลือบนโต๊ะพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “คุณน้าท่านนั้นบอกว่าหล่อนกินข้าวมาแล้วจ้ะ”
ทันทีที่พูดจบ เฉินเจียเหอก็ได้ยินเสียงมีคนเคาะที่ประตูบ้าน
ทุกคนต่างก็รีบวางตะเกียบลงด้วยความตกใจ
เฉินเจียเหอลุกขึ้น “เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง”
ฟางจินเป่าก็ลุกขึ้น ยืนหน้าเคร่งเดินตามไป “ฉันไปด้วยดีกว่า”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่จริงๆ หู่จือมาแล้วสินะ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเนี่ย
ไหหม่า(海馬)