ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 1 ยังมีชีวิต
บทที่ 1 ยังมีชีวิต
ภาคที่หนึ่ง ตื่นจากจำศีล
บทที่ 1 ยังมีชีวิต
เดือนสาม ต้นฤดูใบไม้ผลิ
ภาคตะวันออกทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ในมุมหนึ่ง
แรงกดดันอันหนักอึ้งที่กดทับลงมา ท้องฟ้าพยับเมฆครึ้ม ดำทะมึนไปทั้งผืน ราวกับมีคนสาดน้ำหมึกลงไปบนกระดาษ อาบย้อมท้องฟ้าซึมย้อมถึงชั้นเมฆ
ชั้นเมฆตัดสลับทับซ้อนกัน แสงอัสนีสีแดงแปลบปลาบกระจายออกเป็นสายพร้อมเสียงครืนครันตามมา ราวกับเทพเจ้าคำรามเสียงต่ำลั่นก้องไปทั่วทั้งโลกา
น้ำฝนสีเลือดนำพาความโศกเศร้ารินหลั่งลงสู่โลกมนุษย์
บนผืนแผ่นดินที่ดูเลือนราง มีเมืองที่เหมือนซากปรักหักพังแห่งหนึ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนเลือดแดงฉานอย่างเงียบงัน ไร้ชีวิตชีวา
กำแพงในตัวเมืองล้มระเนระนาด ทุกสรรพสิ่งแห้งเหี่ยวแหลกสลาย มองเห็นศพสีดำคล้ำเป็นร่างๆ ได้ทุกหนแห่ง ราวกับใบไม้ร่วงที่โรยราอย่างเงียบงันในฤดูสารท
ถนนหนทางที่เคยคึกคักในอดีต ปัจจุบันเหลือเพียงความเงียบเหงาซึมเซา
ถนนดินลูกรังที่เคยมีผู้คนสัญจรไปมา เวลานี้ไม่เหลือความคึกครื้นอีกต่อไป
เหลืออยู่เพียงกองเลือดที่ปะปนกับเศษเนื้อ ผงฝุ่น และเศษกระดาษผสมกันจนแยกไม่ออก ดูน่าสยดสยองเสียเหลือเกิน
รถม้าที่ผุพังคันหนึ่งจมอยู่ในดินเลนไม่ไกลนัก บนเก๋งรถมีตุ๊กตาผ้ารูปกระต่ายที่ถูกทอดทิ้งแขวนไว้ โยกไหวตามแรงลม
ผ้าป่านเนื้อหยาบสีขาวที่อาบย้อมด้วยเลือดสีแดงไปทั้งผืน ทั้งน่ากลัวน่าขนลุก
ดวงตาที่ขุ่นมัวราวกับมีความโกรธแค้นเหลือทิ้งไว้จดจ้องไปยังก้อนหินสีกระดำกระด่างเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียว
ที่นั่น มีเงาร่างหนึ่งนอนพังพาบอยู่
เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมแมมสกปรก ที่เอวมีถุงหนังขาดๆ คาดอยู่
เด็กหนุ่มหรี่ตา ไม่ขยับเขยื้อน ลมหนาวเสียดแทงกระดูกพัดลอดเสื้อคลุมตัวนอกขาดๆ ของเขาเข้ามาทุกทิศทาง โถมโจมตีทั้งร่าง และค่อยๆ นำพาอุณหภูมิร่างกายของเขาออกไป
แม้ว่าหยาดฝนจะชโลมอยู่บนหน้า แต่ดวงตาของเขาก็ไม่แม้แต่จะกะพริบเลยแม้แต่น้อย จ้องเขม็งเย็นเยียบดั่งเหยี่ยวไปยังจุดที่ห่างไกล
มองตามสายตาเขาไปยังตำแหน่งที่ห่างจากเขาเจ็ดแปดจั้ง[1] นกแร้งผอมซูบกำลังจิกซากศพเน่าของสุนัขป่าตัวหนึ่งอยู่ สายตาของมันกวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ราวกับว่าหากในซากปรักหักพังที่อันตรายนี้มีลมพัดหญ้าไหวเพียงนิด มันก็จะโบยบินขึ้นไปในทันที
กับเด็กหนุ่มที่ราวกับเป็นนักล่า เฝ้ารอโอกาสอย่างอดทน
ผ่านไปเนิ่นนาน โอกาสก็มาถึง ในที่สุดนกแร้งที่ตะกละตะกลามก็หันหัวของมันไปจมจ่อมอยู่กับการกัดกินเนื้อช่วงท้องของสุนัขป่าอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ดวงตาที่หรี่ลงของเด็กหนุ่มก็เฉียบคมเย็นยะเยือก
ร่างกายของเขากระโจนออกไปราวกับคมศรที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ไปหานกแร้งอย่างรวดเร็ว มือขวาชักเหล็กแหลมสีดำออกมาจากถุงหนังคาดเอว
ปลายแหลมคมของเหล็กแหลมส่องประกายเย็นยะเยือก
พริบตาที่เด็กหนุ่มพุ่งตัวออกมา บางทีนกแร้งอาจสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร มันจึงรู้สึกตัวทันที ด้วยความตกใจจึงกางปีกกระพือขึ้นตั้งท่าจะบินหนี
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
เหล็กแหลมสีดำกลายเป็นเส้นสีดำสายหนึ่งตามการออกแรงสะบัดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ของเด็กหนุ่มพุ่งออกไป
พรวด!
เหล็กแหลมแหลมคมแทงเข้าหัวของนกแร้งในพริบตา กะโหลกแตก สิ้นชีพลงทันที
แรงปะทะรุนแรงเสียจนศพของมันลอยคว้างตกลงเสียงดังพลั่ก เสียบอยู่บนรถม้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตุ๊กตาผ้าสีเลือดที่อยู่ข้างๆ ก็คลอนไหวไปมาตามแรงสั่นสะเทือนของตัวรถม้า
สีหน้าเด็กหนุ่มเรียบสงบ ความเร็วตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย พุ่งตรงไปยังจุดนั้นแล้วรวบเหล็กแหลมกับศพของนกแร้งไว้ด้วยกัน
ความรุนแรงของพลังทำให้รถม้าส่วนที่ถูกเหล็กแหลมทะลวงผ่านแยกออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พอเสร็จเรื่อง เขาก็ออกวิ่งไปตามริมฝั่งถนนโดยไม่เหลียวหลังอย่างรวดเร็ว
เหมือนลมจะแรงขึ้นในตอนนี้ ยามที่รถม้าสั่นไหวตุ๊กตาผ้าสีเลือดก็ราวกับกำลังจับจ้องยังเด็กหนุ่มที่ห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนลมจะแรงขึ้นจริงๆ ความหนาวเย็นที่นำเม็ดฝนมาด้วยปัดผ่านเสื้อบางๆ ของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ คิ้วขมวดเล็กน้อย ห่อปกคอเสื้อเข้ามา ในปากมีเสียงสูดอากาศ
เขาเกลียดความหนาวเย็น
วิธีต่อต้านความหนาวเย็นก็คือการหาสถานที่หลบลมหลบฝนเพื่อพักผ่อน แต่เด็กหนุ่มที่วิ่งอยู่ริมถนนเวลานี้ ความเร็วไม่ช้าลงเลยแม้แต่น้อย เศษซากร้านรวงยังผ่านตาเขาไปทีละร้านๆ
เขาเหลือเวลาไม่มากมากแล้ว
เพราะเสียเวลาในการล่านกแร้งนานเกินไป เขายังมีอีกสถานที่หนึ่งต้องไปวันนี้
“น่าจะอีกไม่ไกลแล้ว” เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง วิ่งทะยานไปตามริมถนน
มองเห็นศพร่างดำคล้ำหลายศพอยู่ทุกหนแห่งบนถนนที่มุ่งหน้าไป ใบหน้าไร้ซึ่งความหวังของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยบิดเบี้ยว ราวกับหลอมรวมเป็นกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวัง แทรกซึมเข้ามายังจิตวิญญาณของเด็กหนุ่ม
แต่เด็กหนุ่มก็เหมือนชินชาจนเป็นเรื่องปกติ ไม่แม้แต่จะชายตามอง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปที เด็กหนุ่มมองไปทางท้องฟ้าเป็นระยะสีหน้าร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนการเปลี่ยนสีของท้องฟ้าสำหรับเขา ยังน่ากลัวกว่าศพเหล่านั้นเสียอีก
ดีที่ไม่ผ่านไปนานนัก ตอนที่เขามองเห็นแผงขายยาที่ตั้งห่างออกไปไกลๆ เด็กหนุ่มก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา พุ่งตรงเข้าไปทันที
ร้านยาไม่ใหญ่นัก บนพื้นมีชั้นวางยาล้มคว่ำกระจัดกระจาย ระเกะระกะไปหมดอยู่ มีกลิ่นอับพัดออกมา ราวกับมีคนเคยเปิดห้องสุสาน
ในมุมหนึ่งมีศพของชายชราอยู่ด้วย ทั่วทั้งตัวดำคล้ำพิงอยู่กับกำแพง จ้องมองออกไปยังโลกภายนอกอย่างไร้ประกาย ราวกับยังไม่ทันได้หลับตาลงก็สิ้นชีพไปเสียก่อน
เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปแล้วกวาดตามองและเริ่มรื้อค้น
สมุนไพรที่นี่ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับศพเหล่านั้น กลายเป็นสีดำคล้ำจนหมด มีอยู่ไม่มากนักที่ยังใช้ได้
ในสมุนไพรที่ยังใช้ได้เหล่านี้ เด็กหนุ่มใช้เวลาจำแนกอย่างละเอียดอยู่นาน
จากประสบการณ์ที่มาผ่านมา ในที่สุดเขาก็หยิบหญ้าจินช่วงที่พบเห็นได้ทั่วไปขึ้นมาช่อหนึ่ง ถอดเสื้อตัวบางออก เผยให้เห็นบาดแผลขนาดใหญ่บนหน้าอก
บาดแผลยังไม่สมานกันดี ขอบแผลเริ่มมีสีดำขึ้น กระทั่งมีเลือดบางส่วนไหลออกมาด้วย
เด็กหนุ่มก้มหน้าดูผาดหนึ่ง หลังจากบดสมุนไพรแล้วก็กัดฟันสูดลมหายใจลึก ยกมือทายาลงบนปากแผลทีละน้อย
ชั่วพริบตา ความเจ็บปวดของบาดแผลก็แล่นราวคลื่นโถมกระหน่ำซัดเข้ามาฉับพลันจนเด็กหนุ่มร่างสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่ เขาฝืนทนไว้ ทว่าหยาดเหงื่อบนหน้าผากกลับควบคุมไว้ไม่อยู่ไหลลงมาตามแก้มหยดลงบนพื้นสีทึบทีละหยด จนคล้ายกับคราบน้ำหมึก
ขั้นตอนทั้งหมดดำเนินไปกว่าสิบอึดใจ หลังจากที่เขาใช้สมุนไพรทาบาดแผลจนเสร็จ เด็กหนุ่มก็ราวกับหมดเรี่ยวแรง ยันตัวกับตู้ยาข้างๆ เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาขึ้นมาหน่อย ก็พรูลมหายใจยาวออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ สวมเสื้อผ้า
มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกอีกครั้ง หลังจากขบคิดก็ล้วงเอาแผนที่ขาดๆ ออกมาจากถุงหนังคาดเอว กางออกอย่างระมัดระวัง
แผนที่เขียนอย่างง่าย สิ่งที่บันทึกไว้ก็คือเมืองแห่งนี้
มีการทำสัญลักษณ์ตำแหน่งร้านยาในเมืองไว้ และตำแหน่งตะวันออกเฉียงเหนือของร้าน หลายแห่งก็ถูกคนใช้เล็บกากบาทไว้แล้วเช่นกัน เหลือเพียงอีกสองเขตที่ยังไม่ถูกกา
“หามาหลายวันแล้ว น่าจะอยู่ซักที่ในสองที่นี่” เสียงเด็กหนุ่มแหบพร่า งึมงำแผ่วเบา เก็บแผนที่ลงและตั้งใจจะออกไป
แต่ก่อนที่จะออกไป เขาหันกลับมามองศพชายชราที่อยู่ด้านข้าง สายตามองไปยังเสื้อผ้าบนตัวของศพ
เป็นเสื้อขนสัตว์ตัวหนึ่ง บางทีอาจเพราะลักษณะพิเศษของคุณภาพหนัง เสื้อขนสัตว์ตัวนี้จึงไม่เปื่อยรุนแรงมากนัก
เด็กหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปปลดเสื้อขนสัตว์ของศพชายแก่ออกมาแล้วสวมใส่
แม้เสื้อขนสัตว์ใหญ่ไปสักนิด แต่หลังจากคลุมร่างผอมเล็กของเด็กหนุ่มแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในที่สุด จึงก้มหน้าลงมองไปยังดวงตาที่เบิกโพลงอยู่ของชายชราคนนั้น ยกมือขึ้นลูบปิดเบาๆ ให้เขาได้ตายตาหลับ
“หลับให้สบาย” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา จัดการฉีกผ้าม่านในร้านลงมาคลุมร่างศพชายชราไว้ แล้วหันหลังออกจากร้านยาไป
ขณะเดินออกมา แสงอ่อนวูบหนึ่งสะท้อนวาบออกมาที่ปลายเท้าของเขา เด็กหนุ่มก้มมองไป มีเศษกระจกขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งอยู่ในกองเลือด
ในเศษกระจก เขามองเห็นใบหน้าของตนเอง
ใบหน้าที่สะท้อนในเศษกระจก แม้จะสกปรกมอมแมม แต่ยังคงมองออกว่าเป็นคนที่มีใบหน้าที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
เพียงแต่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ทั่วไป และมีความเย็นชาเข้ามาแทนที่
เด็กหนุ่มจ้องมองตนเองในกระจกที่อยู่บนพื้น จากนั้นจึงยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไป
เสียงแตกดังเปรี๊ยะ
รอยร้าวปรากฏขึ้น
หลังจากเหยียบกระจกจนแตกแล้ว เขาก็วิ่งทะยานออกไป
แม้เศษกระจกแตกบนพื้นดินจะเต็มไปด้วยรอยร้าว แต่ก็ยังสะท้อนภาพบนฟ้าออกมาเป็นเหมือนเสี้ยวใบหน้าอันโหดร้ายขนาดมโหฬารของเทพเจ้า ที่ใหญ่ราวกับปกคลุมโลกและปกคลุมสรรพชีวิตเอาไว้
เสี้ยวใบหน้านั้นหลับตาลงอย่างไม่แยแส บนท้องฟ้าสูงลิบ มีเพียงปอยผมแห้งๆ ที่หงิกงอห้อยลงมาเรื่อยๆ
นั่นเป็นตัวตนธรรมชาติระดับเดียวกับตะวันจันทราของโลกใบนี้
เบื้องล่างขององค์ท่าน สรรพสิ่งราวกับเป็นดั่งมดปลวก และเหมือนเมื่อตื่นจากจากจำศีลมา ปรากฏการณ์การเติบโตของสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมิอาจเลี่ยงด้วยผลกระทบจากตัวขององค์ท่านเอง
เวลานี้ สีท้องฟ้าก็ค่อยๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างเพราะเสี้ยวใบหน้าของเทพเจ้าองค์นี้
เงามืดของอาทิตย์ตกดินคล้ายกับหมอกควันสีดำ แผ่ซ่านเข้าไปในซากปรักหักพังเมือง ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่ราวกับจะกลืนกินมันทั้งหมด
ฝนตกหนักขึ้นแล้ว
ม่านราตรีอันมืดมิดค่อยๆ กลืนกินสรรพสิ่ง สายลมก็ส่งเสียงครืนครันหวีดแหลมออกมาเป็นระยะราวกับเป็นการแผดเสียงคำรามของปีศาจร้ายร้องเรียกตัวตนประหลาดมาในเมืองแห่งนี้เช่นกัน เสียงที่ทำให้รู้สึกขนลุกชูชันสะท้อนก้องต่อเนื่องราวกับดูดเอาจิตวิญญาณของผู้คนไป เด็กหนุ่มที่วิ่งทะยานอยู่ก็เร่งฝีเท้าขึ้น ท่าทางก็ดูเปลี่ยนเป็นร้อนอกร้อนใจ ระหว่างที่ม่านราตรีอันมืดมิดไล่หลังมาใกล้เช่นนี้ เขาก็พุ่งผ่านถนนทีละเส้นอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว
จนกระทั่งเขาผ่านบ้านเรือนหลังหนึ่งที่พังเสียหายไปแล้ว ตอนคิดจะยืมแรงเพื่อกระโจนร่าง ดวงตาของเด็กหนุ่มก็หดเล็กลงฉับพลัน
เขาเห็นว่าท่ามกลางกำแพงที่ถล่มห่างออกไปไม่มากนัก เหมือนจะมีคนอยู่
มองไกลๆ คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บ นั่งพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น
สำคัญที่สุดก็คือส่วนผิวหนังที่เปิดเผยออกมาด้านนอกกลับมีสีปกติ ไม่ใช่สีดำคล้ำ!
เงาร่างในเมืองเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนเป็น ก็ไม่มีทางปรากฏออกมาเด็ดขาด!
แล้วคนเป็น…ในช่วงหลายวันมานี้ นอกจากตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่เห็นใครคนอื่นอีกเลย
ภาพฉากนี้ทำเอาเขาใจสั่น เหมือนจะฉุกคิดอะไรได้กะทันหัน ลมหายใจก็เหมือนจะเร่งถี่ขึ้น
อยากตรงเข้าไปดูเสียเหลือเกิน แต่ม่านราตรีอันมืดมิดที่เหมือนหมอกควันก็ไล่หลังเข้ามา
เด็กหนุ่มลังเล จดจำตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ห้อทะยานมาตลอดทาง ก่อนที่ม่านราตรีอันมืดมิดจะไล่มาทัน เด็กหนุ่มก็กลับมาถึงที่พักชั่วคราวของตนในเมืองแห่งนี้ได้ในที่สุด
เป็นถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านในมีขนาดเล็กและเต็มไปด้วยขนนก
ปากทางเข้าไม่ใหญ่นัก ผู้ใหญ่ไม่สามารถมุดเข้ามาได้ แต่หากเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ยังพอจะฝืนเข้าไปได้
หลังจากเข้ามาแล้ว เขาก็ใช้สิ่งของอย่างพวกหนังสือหรือก้อนหินภายในถ้ำจัดการอุดทางเข้าเสีย
ตอนที่จัดการปิดทางเข้าเสร็จเรียบร้อย ม่านราตรีอันมืดมิดด้านนอกก็คลุมทับเข้ามาในพริบตา
เด็กหนุ่มไม่ได้ผ่อนความระมัดระวังลง ในมือออกแรงกำเหล็กแหลม กลั้นลมหายใจ คุกเข่าอยู่ตรงนั้นตั้งใจฟังอยู่สักพัก
เสียงคำรามของอสูรกลายพันธุ์กับเสียงหวีดแหลมค่อยๆ ลอดเข้ามา บางครั้งมีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดแทรกเข้ามาด้วย
จนกระทั่งมีเสียงคำรามที่ชัดเจนกว่ามากก้องสะท้อน ขณะเด็กหนุ่มกำลังตึงเครียด ก็เหมือนเสียงจะลอยห่างออกไปแล้ว หลังจากเสียงค่อยๆ เบาลงมา เขาจึงผ่อนลมหายใจแล้วนั่งลง
ในถ้ำมืดสนิท ชายหนุ่มนั่งอยู่เงียบๆ ตรงนั้นราวกับเวลาหยุดลงชั่วคราว
เขานิ่งงัน ผ่อนคลายสมาธิที่ตึงมาทั้งวันลงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบกาน้ำข้างๆ ขึ้นมาจิบไปสองสามอึก ไม่สนใจเสียงด้านนอกอีก ล้วงเอานกแร้งออกมาจากในกระเป๋า
จัดการกัดเข้าปากทีละคำในความมืด
ในลำคอมีกลิ่นคาวส่งออกมาเป็นระยะ แต่เขาก็ค่อยๆ กลืนมันลงไปอย่างเงียบๆ ยัดอาหารไล่จากคอลงไปยังกระเพาะ
เวลานี้กระเพาะกำลังเคลื่อนไหว จัดการย่อยสลายเพื่อคลายความหิวโหย
เพียงไม่นานนกแร้งทั้งตัวก็ถูกเขากินจนหมด เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความเหนื่อยล้าแล่นไปทั่วทั้งร่าง ตาทั้งสองค่อยๆ ปิดลง
แต่ในมือเขายังคงจับเหล็กแหลมสีดำเอาไว้แน่น เหมือนหมาป่าเดียวดายแสร้งทำเป็นหลับตัวหนึ่ง
ราวกับว่าถ้าพบความผิดปกติใด เขาก็จะลืมตาขึ้นมาทันที
โลกภายนอกเวลานี้ ราตรีประดุจม่านปกคลุมลงมาทั้งเมือง ปกคลุมแผ่นดินใหญ่ และปกคลุมท้องฟ้าผืนนี้
โลกใต้ท้องฟ้า ขอบเขตกว้างไกลสุดกู่ ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณที่อยู่นอกทะเลเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ส่วนที่ว่าโลกทั้งใบนั้นใหญ่แค่ไหน น้อยคนนักที่จะรู้ มีเพียงเสี้ยวใบหน้าทรงพลานุภาพบนท้องฟ้านั่นเท่านั้นที่นำความสั่นสะเทือนมากล้นมาให้ คนทั้งหมดแหงนหน้าขึ้นก็ล้วนมองเห็นได้
เวลาที่เสี้ยวใบหน้านี้ปรากฏขึ้นด้านนอกก็ไร้ซึ่งหนทางออกสำรวจได้เลย
ผู้คนรู้จักเรื่องราวสมัยก่อนนานแสนนานจากการพรรณนาในบันทึกบางส่วนเท่านั้น โลกผืนนี้ที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณเซียน เจริญรุ่งเรืองเปี่ยมด้วยพลังชีวิต จนกระทั่ง…เสี้ยวใบหน้าขนาดยักษ์นำพลังทำลายล้างมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่าในที่ห่างไกล
ระหว่างที่กำลังนำเข้ามา สรรพชีวิตบนโลกนี้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้น แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด สุดท้ายจึงเหลือเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณอยู่เพียงน้อยนิด นำชนเผ่าส่วนหนึ่งละทิ้งสรรพชีวิตแล้วเลือกโยกย้ายถิ่นฐาน
ไม่นานเสี้ยวใบหน้าก็มาถึง ลอยคว้างอยู่บนฟ้า นับจากนั้นฝันร้ายก็มาเยือน
กลิ่นอายที่มาจากองค์ท่าน แผ่ซ่านไปยังโลกทั้งใบ ภูเขา มหาสมุทร สรรพสิ่งรวมไปถึงสรรพชีวิต กระทั่งพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญใช้ฝึกบำเพ็ญก็ล้วนถูกปนเปื้อนไปด้วย
สรรพสิ่งแห้งเหี่ยว สรรพชีวิตล้มตายจนหมดสิ้น
นับจากนั้นเป็นต้นมา คนที่มีชีวิตรอดมาจากภัยพิบัติครั้งนี้ก็เรียกเสี้ยวใบหน้านี้ว่า…เทพเจ้า
เรียกโลกใบนี้ว่าแผ่นดินผืนสุดท้าย และสถานที่ที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณอยู่อาศัยถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์
คำเรียกเหล่านี้ผ่านไปหลายยุคสมัย สืบทอดเล่าต่อกันมารุ่นต่อรุ่น
ภัยพิบัติที่เทพเจ้านำมามิได้มีเพียงเท่านี้ พลานุภาพขององค์ท่านไม่มีเวลาใดที่ไม่สะกดสรรพชีวิตเอาไว้ เพราะว่า…
การที่องค์ท่านลืมตาขึ้นมาทุกๆ กี่ปีหรือกี่สิบปีกระทั่งร้อยปีซักครั้ง หนึ่งในนั้นจะไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน อาจยาวนานถึงหลายช่วงอึดใจ
และในทุกครั้งพื้นที่ที่พระเจ้าลืมตาจ้องมองนั้นจะถูกกลิ่นอายขององค์ท่านปนเปื้อนอย่างรุนแรงในพริบตา
สิ่งมีชีวิตตกระกำลำบาก กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปชั่วกัปชั่วกัลป์
หลายยุคสมัย พื้นที่ต้องห้ามบนโลกนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยได้น้อยลงทุกที
และเมื่อเก้าวันก่อน เทพเจ้าลืมตาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสถานที่ที่มองลงไปคือเขตที่เด็กหนุ่มคนนี้อาศัยอยู่นั่นเอง
ทุกสิ่งอย่างในพื้นที่นั้นรวมไปถึงเมืองของเผ่ามนุษย์อีกสิบกว่าเมือง ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใด จะในเมืองหรือว่าถ้ำยาจกนอกเมือง ก็ล้วนถูกปนเปื้อนไปในพริบตากลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสิ่งชีวิตไป
สรรพชีวิตบ้างก็สลายกลายเป็นหมอกเลือดทันทีเพราะการปนเปื้อนที่น่ากลัวนี้ บ้างก็เกิดการกลายพันธุ์เป็นอสูรกลายพันธุ์ที่ไม่มีสติปัญญา บ้างก็วิญญาณสูญสลายเหลือทิ้งไว้เพียงศพที่ดำคล้ำ
มีคนและสัตว์เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
ซึ่งเด็กหนุ่มก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้ ด้านนอกถ้ำมืดสนิท เด็กหนุ่มที่หลับลึกตาเบิกโพลงขึ้นอย่างกะทันหันตามเสียงกรีดแหลมไม่ใกล้ไม่ไกลที่แล่นเข้ามา
เหล็กแหลมในมือยกขึ้นตามสัญชาตญาณ จ้องมองไปยังช่องปากทางที่ถูกปิดเอาไว้อย่างระแวดระวัง
จนกระทั่งเสียงกรีดแหลมนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ ห่างออกไป เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจโล่งอก
เขาที่หายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้ว ลูบๆ ถุงหนังคาดเอวล้วงเอาตำราไม้ไผ่ออกมา
เขาลูบอักษรบนตำราไม้ไผ่ในความมืด ดวงตาก็เหมือนเกิดประกายขึ้น จากนั้นจึงนั่งตัวตรง หลับตาลง ปรับลมหายใจ
เด็กหนุ่มมีชื่อว่าสวี่ชิง ใช้ชีวิตที่ยากลำบากเพียงลำพังตั้งแต่เด็กในถ้ำยาจกนอกเมืองแห่งนี้
ในภัยพิบัติขนานใหญ่ที่เข้ามาอย่างกะทันหันเมื่อเก้าวันก่อน เขาเลือกที่จะหลบอยู่ในร่องหินแตกต่างจากผู้อื่นที่กำลังหวาดกลัวอย่างบ้าคลั่ง จ้องมองเทพเจ้าที่ลืมตาอยู่บนฟากฟ้าอย่างใจเย็น มองเข้าไปในตาของเทพเจ้าที่สุดขอบฟ้า นัยน์ตาลักษณะพิเศษรูปกางเขน ราวกับว่าสูญเสียอารมณ์หวาดกลัวไปทั้งหมดแล้ว
จนกระทั่งเขามองเห็นแสงสีม่วงสายหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้ามายังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง
พริบตาต่อมา เขาก็สลบไป
หลังจากตื่น เขาก็กลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากทั้งในเมืองและนอกเมือง
แต่เขาก็ไม่ได้จากมาทันที
เพราะเขารู้ว่าในตอนแรกสุดพื้นที่ต้องห้ามที่เทพเจ้าลืมตาสร้างขึ้นจะมีฝนเลือดปกคลุมจนกลายเป็นม่านพลัง
คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า นอกเสียจากพื้นที่ต้องห้ามจะก่อตัวเสร็จสิ้นแล้ว
สัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่าก่อตัวเสร็จสิ้นก็คือฝนเลือดหยุดตก
สำหรับสวี่ชิงที่เติบโตมาในถ้ำยาจก ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
เพราะในถ้ำยาจก ไม่ว่าจะพวกอันธพาล สุนัขป่า โรคระบาด หรือกระทั่งค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ล้วนทำให้ผู้คนเสียชีวิตได้ตลอดเวลา จำเป็นต้องผ่านความทุกข์ทรมานมามากจึงมีชีวิตรอดมาได้
ขอแค่รอดชีวิต เรื่องอื่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ในเรื่องราวโหดร้ายถ้ำยาจก แน่นอนว่าบางครั้งก็เจอเข้ากับความอบอุ่นอยู่บ้าง
ยกตัวอย่างเช่นพวกปัญญาชนที่ตกอับ จะสอนหนังสือให้กับเด็กกลุ่มหนึ่งของพวกเขาแลกกับการอยู่รอด บางครั้งก็จะวาดรูปพวกสิ่งมีชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่พวกเขา มีทั้งบนบกและในทะเล นอกจากนี้ก็คือความทรงจำเกี่ยวกับญาติพี่น้องแล้ว
เพียงแต่ในความทรงจำของสวี่ชิง ญาติพี่น้องได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แม้เขาจะพยายามนึกย้อนเพราะกลัวว่าตนเองจะลืม แต่ก็ยังค่อยๆ เลือนลางหายไปอยู่ดี
เขารู้ว่าตนเองไม่ได้กำพร้า เขายังมีญาติพี่น้องอยู่ เพียงแต่แยกจากกันไปนานแล้วเท่านั้น
ดังนั้นความฝันของเขาคือการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ถ้าหากได้มีชีวิตที่ดีเสียหน่อย ถ้าหากมีโอกาสได้พบญาติพี่น้องอีกสักครั้งก็คงจะดี
ดังนั้นเขาที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ จึงเลือกเข้าไปในเมือง คิดจะไปยังสถานที่ที่พวกผู้อาวุโสระดับสูงอยู่กัน ค้นหาสิ่งที่เล่าลือกันในถ้ำยาจก วิธีที่จะทำให้ร่างกายตนเองแข็งแกร่งขึ้น และจะออกไปค้นหาแสงม่วงที่ตกอยู่ในเขตเมืองนั้นด้วย
วิธีที่จะทำให้ร่างกายตนเองแข็งแกร่งขึ้นก็เล่าลือในถ้ำยาจกและเป็นสิ่งผู้คนล้วนปรารถนามาโดยตลอด พวกเขาเรียกมันว่าการฝึกบำเพ็ญ และคนที่รู้วิธีการฝึกบำเพ็ญ ก็ถูกเรียกว่าผู้บำเพ็ญ
ดังนั้นการกลายเป็นผู้บำเพ็ญ จึงเป็นความปรารถนาสูงสุดนอกเหนือจากความทรงจำต่อญาติพี่น้องของสวี่ชิง
ผู้บำเพ็ญไม่ได้พบเจอยาก สวี่ชิงอยู่ในถ้ำยาจกนี้มาหลายปี เคยพบเห็นคนเหล่านี้เข้าไปในเมืองมาบ้างแล้ว
ลักษณะทั่วไปของพวกเขาก็คือร่างกายจะเกิดอาการสั่นระริกขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณเมื่อจ้องมองไปยังพวกเขา
กระทั่งสวี่ชิงยังได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเมืองก็เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง องครักษ์ข้างกายเขาก็มีผู้บำเพ็ญอยู่ด้วย
ดังนั้นเมื่อห้าวันก่อน หลังจากที่ค้นหาในเมืองอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พบกับตำราไม้ไผ่ม้วนหนึ่งในมือของศพในจวนเจ้าเมือง
ที่นั่นอันตรายมาก บาดแผลบนหน้าอกของเขาก็ได้รับมาในตอนนั้น
สิ่งที่ตำราไม้ไผ่บันทึกก็คือวิธีการฝึกบำเพ็ญที่เขาเฝ้าปรารถนา
เขาจดจำเนื้อหาทั้งหมดนั้นไว้ในใจได้นานแล้ว กระทั่งหลายวันนี้มานี้ เขาก็เริ่มลองฝึกบำเพ็ญไปแล้วด้วย
สวี่ชิงไม่เคยเห็นวิชาฝึกบำเพ็ญอื่น ตำราไม้ไผ่นี้เป็นสิ่งเดียวที่ได้มา และเขาก็ไม่รู้ว่าจะฝึกให้ถูกต้องได้อย่างไร
ยังดีที่สิ่งที่บรรยายไว้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอักษรที่เข้าใจง่าย มีเรื่องนิมิตกับการหายใจเป็นหลัก
ดังนั้นเมื่อทำตาม เขาจึงได้รับประโยชน์มาบ้างแล้วส่วนหนึ่ง
วิชานี้ชื่อว่าเคล็ดคีรีสมุทร
วิธีฝึกบำเพ็ญคือในหัวจะปรากฏรูปสักการะที่สลักอยู่บนตำราไม้ไผ่ ประสานเข้ากับการกำหนดลมหายใจเข้าออก
รูปภาพนี้เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดมาก หัวใหญ่ตัวเล็ก มีขาข้างเดียว ทั้งตัวสีดำสนิท ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนผีร้าย
บนตำราไม้ไผ่เรียกมันว่าเซียว[2] ซึ่งสวี่ชิงไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบนี้มาก่อน
ขณะฝึกบำเพ็ญ หลังจากภาพปรากฏขึ้นในหัวได้ไม่นาน การหายใจของสวี่ชิงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป อากาศรอบข้าง ค่อยๆ มีคลื่นกระแสแผ่ซ่าน
พลังวิญญาณจากรอบข้างค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาช้าๆ หมุนวนไปทั้งร่าง กระพือความเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกเป็นระลอก ทุกตำแหน่งที่แล่นผ่านราวกับร่างกายแช่อยู่ในน้ำเย็นก็มิปาน
สวี่ชิงกลัวความหนาวเย็น แต่เขาก็ยังฝืนทนยืนหยัดไม่ยอมถอย
ผ่านไปเนิ่นนาน ขณะที่เขาทำตามเงื่อนไขของตำราไม้ไผ่ เสร็จสิ้นการฝึกบำเพ็ญครั้งนี้ในที่สุด เหงื่อก็ชโลมร่างกายจนชุ่ม
ท้องที่เพิ่งจะกินนกแร้งไป ก็เริ่มรู้สึกหิววูบวาบมาเป็นระยะ
สวี่ชิงปาดเหงื่อเย็นออกและลูบไปที่ท้อง สายตาเผยความเด็ดเดี่ยวออกมา
นับตั้งแต่ที่ฝึกวิชานี้ความอยากอาหารของเขาก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายเองก็ปราดเปรียวขึ้นกว่าในอดีต
ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เขาอดทนต่อความหนาวเย็นได้มากขึ้นขณะฝึกบำเพ็ญ
เวลานี้สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองจากช่องทางออกไปด้านนอก
โลกภายนอกมืดสนิท มีเพียงเสียงคำรามน่ากลัวที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวแผ่ว ดังก้องอยู่ข้างหู
เขาไม่รู้สาเหตุแท้จริงที่ตนเองกลายเป็นผู้รอดชีวิต บางทีอาจจะเพราะโชค หรือบางที…อาจจะเพราะว่าเขามองเห็นแสงม่วงสายนั้น
ดังนั้นขณะที่ค้นหาวิชานี้ เขาก็ไปยังพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อค้นหาจุดที่แสงม่วงตกอยู่เสมอ น่าเสียดายที่หาไม่พบเสียที
สวี่ชิงฟังเสียงคำรามจากด้านนอก ในหัวก็อดคิดไปถึงศพที่พิงกำแพงอยู่ช่วงตะวันตกดินเห็นในขณะที่ตนกำลังรีบกลับมาศพนั้นขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาจึงหรี่ลง
สถานที่ที่อีกฝ่ายอยู่ก็คือเขตพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ ยิ่งไปกว่านั้น…เหมือนจะยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย
“หรือจะเกี่ยวข้องกับแสงสีม่วงกัน”
[1] จั้ง คือหน่วยมาตราวัดของจีน จั้ง 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ (ประมาณ 2.5 เมตร)
[2] 魈 เซียว ผีภูเขาขาเดียวในตำนานของจีน