ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 10 เสื้อผ้าใหม่
บทที่ 10 เสื้อผ้าใหม่
ฤดูกาลของเดือนสาม ถึงแม้ผืนดินจะกลับสู่ความอบอุ่น แต่ยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง
ถ้าหากเพิ่งเดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามก็คงไม่รู้สึกอะไรกับความหนาวเย็นเช่นนี้ แต่ถ้าหากออกมาด้านนอกเป็นเวลานานแล้ว ร่างกายก็ยังคงสัมผัสกับลมหนาวเสียดกระดูกอยู่
โดยเฉพาะยามค่ำคืน ความหนาวเย็นจะหนักหนาขึ้นไปอีก
ร่างของสวี่ชิงยังคงไม่หยุดนิ่งเพราะสายลมหนาวที่พัดมา เพียงแค่กระชับเสื้อขนสัตว์ให้แนบตัวขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้น
เขายังมีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ ดังนั้นจึงยังเดินไปเดินมาอยู่ในฐานที่มั่นยามค่ำคืนอย่างระมัดระวัง
ระหว่างทางเห็นสุนัขป่าบางตัวแยกเขี้ยวมา หลังจากที่ประสานสายตากับเขา ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนตัว จึงทยอยๆ กันหุบปากแล้วหดหางหนีไป
สายตาของสวี่ชิงย้ายออกจากตัวสุนัขป่า เดินหน้าต่อ
จนมาถึงบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่วงกลาง เขาคุกเข่าลงในความมืดไม่ขยับเขยื้อน จ้องเขม็งไปยังบ้านใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลังหนึ่ง
ที่นั่นมีกองไฟที่มอดดับไปแล้ว
สวี่ชิงจำได้ว่าเจ้าอ้วนที่แยกตัวกับเจ้าม้าตรงมายังที่นี่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะรอดู ว่าอีกฝ่ายจะออกไปไหนตอนกลางคืนหรือไม่
ความหนาวเย็นรุกรานเข้ามาทั่วทั้งกาย แต่ร่างเงาของสวี่ชิงก็ราวกับกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว นิ่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ารออย่างอดทน
ด้านหลังของเขา บนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง นายท่านเจ็ดกับคนติดตามเองก็ตามมาเช่นกัน มองสวี่ชิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ทางนั้น นายท่านเจ็ดจึงยกยิ้ม
“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เจ้าหมาป่าน้อยคนนี้คิดจะเดินจังหวะสังหารเรียบจนหมด
“ข้าตอนนี้คาดหวังมากว่าถ้าเด็กคนนี้เข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามข้างๆ จะแสดงฝีมือเช่นไรออกมา” นายท่านเจ็ดก็คุกเข่าลง จับตามองอย่างสนใจไปด้วย เอ่ยคุยกับคนติดตามข้างกายไปด้วย
คนติดตามเองก็อมยิ้ม คุกเข่าอยู่ข้างๆ นายท่านเจ็ด พิจารณาตัวสวี่ชิงอยู่ห่างๆ
เวลาไหลผ่านไป จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หลังจากคิดแล้วคิดอีก เขาก็หมุนตัวออกห่างจากความมืด ร่างกายราวกับเป็นผีวิญญาณ มาถึงและจากไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ไม่ได้ตรงกลับไปยังที่พักของหัวหน้าเหลยทันที แต่วนรอบอยู่ใกล้ๆ ก่อนเสียรอบหนึ่ง
หลังจากยืนยันว่าไม่มีคนสะกดรอยแล้ว สวี่ชิงจึงโยกตัวมุดเข้าไปในเรือนของหัวหน้าเหลย กลับไปห้องเล็กของตนเองอย่างไร้ซุ่มเสียง
หลังจากเข้ามา เขาก็สูดลมหายใจลึก ถูๆ ฝ่ามือ ราวกับจะหยิบยืมการกระทำนี้ขับไล่ความหนาวเย็นในร่างกายตนเองออกไป
จากนั้นเขาก็เช็ดคราบเลือดบนตัวออก จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ดวงตาเผยความครุ่นคิด
‘คนเก็บกวาดเหล่านี้มักจะรับงานแล้วออกไปข้างนอกไม่เป็นเวลา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าม้ายังเป็นพวกมักในกามอีก ดังนั้นถ้ายังผ่านไปไม่นานก็น่าจะไม่มีใครสังเกตถึงการตายของเขา เจ้าอ้วนเองก็ไม่น่าจะระมัดระวังขึ้นมาเพราะเรื่องนี้
‘แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ยังต้องกำจัดเจ้าอ้วนทิ้งจึงจะถูก’ สวี่ชิงหรี่ตาลง
เหมือนกับกระทิงโฉดตอนนั้น เขาที่เติบโตในถ้ำยาจก จะไม่ยอมให้รอบตัวมีอันตรายแฝงเร้นมาคอยคุกคามตนเองเด็ดขาด
ที่สังหารเจ้าม้าเป็นเพราะอีกฝ่ายแย่งชิงของของตนไปแล้วยังทำการคุกคาม ที่เตรียมจะรับมือกับเจ้าอ้วนก็มาจากสาเหตุนี้เช่นกัน
หลังจากครุ่นคิดสวี่ชิงก็ล้วงเอาสิ่งของของเจ้าม้าออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ส่วนใหญ่จะเป็นของสัพเพเหระ และยังมีก้อนเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ราวกับเป็นเพียงแค่วัตถุดิบประเภทหนึ่ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีเหรียญวิญญาณอีกเจ็ดสิบกว่าเหรียญ สิ่งนี้สำหรับสวี่ชิงถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว
เขานับอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบลูกกลอนขาวออกมา หลังจากหยิบลูกกลอนขาวของตนเองมาเทียบกับของเจ้าม้าแล้ว ก็พบว่าคุณภาพของลูกกลอนขาวเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของสดใหม่ทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงเชื่อในสิ่งที่เจ้าของร้านพูดไปแล้วถึงเจ็ดส่วน
ขบคิดไปครั้งหนึ่ง สวี่ชิงก็กลืนลงคอไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงมัน
เพียงไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นวูบหนึ่งลุกโชนขึ้นในร่างกาย สุดท้ายก็ไปรวมอยู่บนจุดกลายพันธุ์บนแขนซ้าย แผ่ความรู้สึกสบายออกมา
ไม่นาน ขณะที่ความรู้สึกนี้หายไป สวี่ชิงก็เบิกตาโพลงมองไปที่แขนซ้ายทันที จุดกลายพันธุ์สองจุดตรงนั้นจางลงไปเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปพอสมควร
“ใช้งานได้” สวี่ชิงดวงตาเผยความยินดี หยิบเม็ดที่สองกลืนตามลงไป
ความรู้สึกเดียวกันปรากฏขึ้นต่อเนื่อง จนมันหายไปอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บปวดของเขาก็หายตามไปด้วย
ความรู้สึกสะอาดสดชื่นผุดขึ้นมาทั่วทั้งร่างกาย ราวกับว่าเลือดเนื้อถูกชำระล้างใหม่ จนทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าความเร็วและพละกำลังของตนเองเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
เขาไม่ได้กินลูกกลอนขาวที่เหลือต่อ แต่เก็บกลับเข้าไปในถุงหนัง หลับตาลงเริ่มฝึกบำเพ็ญ
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบงัน
รุ่งเช้าวันต่อมา สวี่ชิงลืมตาลุกขึ้นเดินไปด้านนอก
ตอนที่เพิ่งผลักประตูออกไป เขาก็เห็นหัวหน้าเหลยนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือน เหมือนกำลังกำหนดลมหายใจ
สวี่ชิงไม่เข้าไปรบกวน เปิดประตูเรือนเบาๆ จากนั้นจึงปิดลงอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยสาวเท้าเดินออกไป
สายลมวันนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน พัดมาโดนตัวไม่เพียงแต่ทำให้คนสั่นสะท้านเท่านั้น กระทั่งสุนัขป่าเหล่านั้นก็ยังต้องขดตัวอยู่แต่ในถ้ำไม่ออกไปไหน
ตอนที่สวี่ชิงหายใจจนมองเห็นถึงไอเย็น ทำให้ในหัวสมองเขาเกิดภาพความทรงจำไม่ค่อยดีบางส่วนสมัยอยู่ที่ถ้ำยาจก
เขาเกลียดความหนาวเย็น
เพราะความหนาวเย็นสำหรับคนพเนจรที่ไร้ที่พักไร้อาหารแล้ว มันคือภัยพิบัติฉากหนึ่ง จำเป็นต้องดิ้นรนอย่างหนักจึงจะมีชีวิตรอด
ดังนั้นสวี่ชิงที่เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งท่ามกลางความหนาวเย็น เท้าจึงหยุดลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ มองตรงไปยังเสื้อผ้าหนาและสะอาดที่แขวนอยู่ในร้าน
เขาลูบถุงหนังที่ปูดโปน หมุนตัวเดินเข้าไป
คนในร้านมีไม่มาก สวี่ชิงที่เข้ามามองไปยังเสื้อผ้าที่แขวนอยู่เหล่านั้นอย่างตั้งใจ
เจ้าของร้านกวาดตามองที่ตู้ข้างๆ สวี่ชิง ผาดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกำชับกับพนักงานที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าไปจัดการด้านหลังเสียหน่อย หยิบเอาเสื้อผ้าสั่งตัดที่ไม่มีคนมารับแล้วหนึ่งเดือนออกมาขายทิ้งให้หมด”
“แล้วถ้าคนที่สั่งตัดกลับมาเอาจะทำอย่างไรกัน” พนักงานเหมือนเข้ามาไม่นาน จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“กลับมาหรือ ฐานที่มั่นมีคนหายไปอยู่ตลอดเวลา บ้างก็ตายอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม บ้างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่จะกลับมาก็มีแต่ผีเท่านั้น รีบไปเอามาเร็ว”
เจ้าของร้านโบกมืออย่างหมดความอดทน พนักงานก็รีบวิ่งออกไปด้านหลัง
เพียงไม่นาน ตอนที่สวี่ชิงยังเลือกเสื้อผ้าไม่เสร็จ พนักงานก็หอบเอาเสื้อผ้ากองใหญ่ออกมา แขวนไว้ทีละตัวด้านหลัง สวี่ชิงก็ต้องตาเข้ากับเสื้อขนสัตว์กลับสีเข้มตัวหนึ่ง
นั่นเป็นเสื้อที่คนอื่นจองไว้ แต่กลับมารับไม่ได้อีกแล้ว
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ตอนที่สวี่ชิงเดินออกมาจากในร้าน ที่เขาสวมอยู่บนตัวก็คือเสื้อขนสัตว์กลับสีเข้มตัวนั้น
เสื้อตัวนี้กันความหนาวได้ ไม่หนาและหนักนัก แต่ระดับความอบอุ่นตอนที่สวมก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าของสวี่ชิงก่อนหน้าอยู่มากโข
ที่สำคัญก็คือตัวเขาผอมเล็ก ดังนั้นตอนที่สวมขึ้นไปจึงเหมือนกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ไม่เข้ากันสุดๆ
แต่สวี่ชิงก็ยังเบิกบานนัก ตอนเดินไปบนถนนเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่สกปรก
ตอนที่จะไปหาตัวเจ้าอ้วน เขาสังเกตเห็นว่าด้านนอกฐานที่มั่นเวลานี้มีเสียงวุ่นวายลอดเข้ามา และกลุ่มคนเก็บกวาดในฐานที่มั่นหลายคนก็เดินออกมาด้วย ตั้งหน้าตั้งตาเข้าใกล้ไปยังทิศทางของเสียง
สวี่ชิงเองก็เงยหน้ามองไปเช่นกัน
และเขาก็ค่อยๆ เห็นคาราวานรถม้าสิบกว่าคัน ขับแล่นตรงมาทางนี้อย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง
คนที่นั่งบนนั้น ต่อให้เป็นแค่องครักษ์ก็ยังสวมเสื้อผ้าดูดี ใบหน้าแดงระเรื่อ สายตาคมกริบ ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวก็ล้วนมีคลื่นพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึงกันหมด
ส่วนด้านในรถ สวี่ชิงมองไม่เห็น แต่เขาก็เดาได้ว่าจะต้องเป็นตัวตนที่น่าเคารพมากแน่ๆ
สวี่ชิงเคยได้ยินหัวหน้าเหลยเล่าไว้ ขบวนรถเช่นนี้เหมือนจะเข้ามาในฐานที่มั่นเป็นประจำ บ้างก็เป็นกลุ่มพ่อค้า บ้างก็เพื่อมาซื้อหญ้าเจ็ดใบที่เป็นวัตถุดิบหลอมลูกกลอนขาว
และแล้วร่างของเจ้าอ้วนก็ปรากฏขึ้นในกลุ่มคนดึงดูดสายตาของสวี่ชิง เขาจึงไม่สนใจขบวนรถอีก แต่หรี่ตาลงจับจ้องไปที่เจ้าอ้วนและเริ่มสะกดรอย
บางทีอาจเพราะการมาถึงของขบวนรถ ในฐานที่มั่นนี้จึงคึกคักจนกลายเป็นตลาดสด สวี่ชิงจึงหาโอกาสไม่ได้เลย
จนถึงกลางดึก เขาเห็นพ่างซ่านกลับเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่นั้นอีกครั้ง เขาเลยเก็บมีดในแขนเสื้อลง หันหลังจากไป
แม้วันนี้จะไม่มีโอกาสลงมือ แต่สวี่ชิงก็มีความอดทนสูง หลังจากกลับมาถึงเรือนเล็ก เขาก็สวมเสื้อผ้าตัวใหม่นั่งฝึกบำเพ็ญ ต่อให้หลับไปก็ยังไม่ถอดออก
หลังจากที่ฟ้าสางอีกครั้ง เขาที่เตรียมไปหาโอกาสต่อถอดเสื้อขนสัตว์กลับตัวใหญ่ตัวนั้นลงอย่างหวงแหน แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวเก่าของตนเองอีกครั้ง
มองเสื้อตัวใหม่ สวี่ชิงรู้สึกว่าเมื่อวานตนเองบุ่มบ่ามไปหน่อยเสียแล้ว
สวี่ชิงเวลานี้สวมเสื้อตัวเก่าเดินอยู่ในฐานที่มั่นผ่านตลาดที่มีคนมากมายพลุกพล่าน สายตาเองก็เหมือนจะพิจารณาถึงจุดที่ขบวนรถปักหลักกันอยู่ แต่อันที่จริงคือกำลังหาเงาของเจ้าอ้วน
ห่างออกไป นายท่านเจ็ดถอนหายใจ นั่งอยู่บนหลังคาแห่งหนึ่งกับคนติดตาม สายตากวาดมองไปยังกลุ่มรถ จากนั้นก็มองไปยังสวี่ชิง ถามกับคนติดตามข้างๆ ขึ้นมาไม่กี่คำ
“จดหมายเทียบส่งไปให้ปรมาจารย์ไป่แล้วใช่หรือไม่”
“ส่งไปเรียบร้อยแล้วขอรับ นายท่านเจ็ด แต่ปรมาจารย์ไป่ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยสบาย…”
“ไม่สบาย เขาเป็นถึงหมอ เขานี่…เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้เมื่อวานเหมือนจะใส่เสื้อใหม่แล้วนี่นา ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนกลับมาอีกแล้ว” นายท่านเจ็ดกำลังพูด แต่พอสังเกตเห็นเสื้อผ้าของสวี่ชิง ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
ขณะที่นายท่านเจ็ดกำลังไม่เข้าใจ หางตาของสวี่ชิงก็เล็งไปยังเจ้าอ้วนที่อยู่ในกลุ่มคนแล้ว
เช่นนี้ ผ่านไปหนึ่งวันเต็มกับการจับจ้องของสวี่ชิง
เจ้าอ้วนที่เดิมทีจะเดินกลับไปที่เรือนเพราะการคืบคลานมาของค่ำคืน ไม่รู้เพราะอะไรจึงเปลี่ยนทิศทาง และเดินตรงไปพื้นที่วงนอกในค่ำคืนเช่นนี้
ที่นั่นค่อนข้างจะห่างไกลผู้คน
“พบตัวข้าแล้วหรือ” สวี่ชิงขมวดคิ้ว ดวงตาหรี่ลง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขาไม่ได้ตามไป แต่พิจารณาถึงรอบด้าน หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายเดินไปคนเดียว จึงอ้อมไปอีกทิศหนึ่ง แล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ไปถึงพื้นที่วงนอกก่อนเจ้าอ้วน
เมื่อแน่ใจได้ว่าที่นี่ไม่มีการซุ่มโจมตี ความเย็นชาในดวงตาเขาเข้มข้นขึ้น ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
และตอนนี้เอง เจ้าอ้วนก็เดินมาถึงพื้นที่นี้ หยุดเท้าลงกะทันหัน
“เจ้าหนูน้อย ข้ารู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ามีคนสะกดรอย ออกมาเถอะ ที่นี่ห่างไกลผู้คน เหมาะที่จะฝังศพของเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่กล้าออกมา ครั้งต่อไปจะไม่ใช่ข้าแค่คนเดียวแล้วนะ ต่อให้หัวหน้าเหลยมาปกป้องเจ้า กลุ่มเงาโลหิตของพวกเราก็จะต้องให้เจ้าชดใช้”
สวี่ชิงหรี่ตาลง อีกฝ่ายพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะซ่อนตัวอีกต่อไป ก็เลยเดินออกมาจากมุมมืด
“เจ้าม้าไม่ได้แอบรับงานแล้วออกไป เจ้าคงสังหารเขาไปสินะ ดูถูกเจ้าเกินไปจริงๆ” พ่างซ่านยิ้มเหี้ยม มองสวี่ชิงที่กำลังเดินออกมา
“แต่ไม่เป็นไร เดิมทีข้าก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขามานานแล้ว เจ้าไม่สังหารเขา ข้าก็คิดไว้แล้วว่าออกไปรอบหน้าจะสังหารเขาให้ตาย ดังนั้นก็ยังต้องขอบคุณเจ้าอยู่ดี เขาจะเป็นจะตายข้าก็ไม่สน แต่ของบางอย่างในถุงหนังของเขา น่าจะอยู่กับเจ้าสินะ”
เจ้าอ้วนมองถุงหนังที่เอวสวี่ชิง ในดวงตามีความละโมบ ไม่รอให้สวี่ชิงตอบ ร่างกายก็ไหววูบ รูปร่างอ้วนกลมกลับระเบิดความเร็วที่สูงกว่าระดับรวมปราณขั้นสองออกมา
คลื่นพลังวิญญาณบนตัวเองตอนนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย กระทั่งก่อตัวเป็นกระแสปราณวิชาออกมาชั้นหนึ่ง มีลมหนาวเข้ามาด้วย ร่างทั้งร่างราวกลับกลายเป็นน้ำแข็งทรงกลม พุ่งตรงมาทางสวี่ชิง
เขาไม่ใช่ระดับรวมปราณขั้นสอง คลื่นพลังวิญญาณเวลานี้ไปถึงขั้นที่สามแล้ว
และเพราะเช่นนี้ เมื่อรวมกับความต้องการของสิ่งหนึ่งในถุงหนังของเจ้าม้า เขาถึงออกมาข้างนอกเพียงลำพัง
สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับผู้บำเพ็ญเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสปราณภายนอกร่างกายของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าแปรผันมาจากพลังวิญญาณ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในพลังและความเร็วของตนเอง
ดังนั้นพริบตาที่อีกฝ่ายมาถึง สวี่ชิงก็พุ่งตัวออกไปฉับพลัน ความเร็วจากการระเบิดพลังทั้งหมด ทำให้ร่างกายของเขาที่เห็นแทบจะทิ้งภาพค้างเอาไว้
เพียงพริบตาก็ฉีกหลบร่างกายของเจ้าอ้วนได้ ในขณะที่เจ้าอ้วนยังตกตะลึงอยู่ สวี่ชิงก็ไปถึงด้านหลังของเขา ยกมือขวาขึ้นระเบิดชกออกไปหนึ่งหมัดสุดแรง
คือเป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงใช้พลังต่อสู้ทั้งหมดออกมา หมัดนี้ซัดออกมาจนเกิดเสียงพั่บๆ ขณะที่อัดเข้าไปด้านหลังของเจ้าอ้วนก็ส่งเสียงปังออกมา
เจ้าอ้วนสั่นระริกไปทั้งตัว เกราะกระแสปราณนอกร่างกายปริแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อวัยวะภายในทั้งห้าสั่นกระเพื่อม ขณะที่เลือดสดพ่นพรวดออกมา จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงก็เข้มข้นจนสุด
ขณะที่มือขวายกขึ้นเหล็กแหลมก็ปรากฏ ร่างกายไหววูบผ่านร่างที่ซวนเซถอยหลัง เหล็กแหลมก็เสียบแทงเข้าไปที่หัวของเจ้าอ้วน
แต่พริบตาต่อมา สวี่ชิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รีบถอยออกมา
พริบตาที่เขาถอย สายตาเจ้าอ้วนก็เผยความโหดเหี้ยม
เส้นสีดำสองเส้นมุดออกมาจากหูของเขา พุ่งตรงเข้าหาใบหน้าของสวี่ชิงด้วยเสียงหวีดหวิวคมกริบตามลำดับ
เส้นสีดำสองเส้นนั้นคือตะขาบมีปีกสีดำ ความเร็วถึงขีดสุด เมื่อเห็นว่าเข้ามาใกล้ก็ถูกกริชที่สวี่ชิงใช้มือซ้ายชักออกมา ฟันขาดทิ้งเป็นท่อน
ขณะที่ตัวสุดท้ายถูกฟันขาด อยู่ห่างจากดวงตาสวี่ชิงไม่ถึงเจ็ดชุ่น
สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ ทำให้จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงเข้มข้นขึ้น พุ่งตัวออกไปอีกครั้ง
คว้าโอกาสที่สวี่ชิงถอยออกไปก่อนหน้า อวัยวะภายในทั้งห้าที่สั่นกระเพื่อมของเจ้าอ้วนก็ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว
ร่างกายกลมอ้วนของเขาตอนนี้ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมือทำปางประทับ ใบหน้าเขาแดงก่ำในพริบตา พ่นหมอกพิษพุ่งไปทางสวี่ชิงทีหนึ่ง
หมอกฟุ้งตลบกินอาณาเขตกว้างมาก พัดม้วนไปหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว พื้นดินที่มันแล่นผ่านมีเสียงชี่ๆ ดังขึ้น เห็นได้ถึงความเข้มข้นของพิษเลยทีเดียว
เมื่อจัดการเสร็จ สีหน้าของเจ้าอ้วนก็ขาวซีด ท้องยุบลงไปวงหนึ่ง ถอยหลังอีกครั้ง สายตายังคงเหี้ยมเกรียมและมีความหวาดผวาอยู่ด้วย
ความกล้าหาญของสวี่ชิง มากเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เขาไม่ได้ใช้ระดับรวมปราณขั้นสามของตนเอง แต่ใช้การโจมตีพิษ กลับเกือบถูกอีกฝ่ายสังหารลงในพริบตา
และหมอกพิษนี้ ก็เป็นวิชาสังหารไม้ตายของเขาแล้ว ถ้าหากยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ตนเองคงต้องร้องเรียก เพื่อให้อีกฝ่ายหวาดหวั่นขึ้นมาเสียแล้ว
เพียงแต่ถ้าร้องเรียกขึ้นมา ของชิ้นนั้นของเจ้าม้า ตนเองก็คงจะเอามาได้ยาก
และเขาทางนี้ก็ยังมีของต้องห้ามบางอย่างที่ยังไม่ได้ใช้ สิ่งนี้มีผลข้างเคียงที่หนักหนา แต่เขาก็ยังล้วงออกมา เป็นอำพันชิ้นหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจ เขาก็มองไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกพิษที่สวี่ชิงอยู่
และพริบตาตอนที่เขามองไป ปราณหมอกก็พัดออกทั้งสี่ทิศอย่างฉับพลัน ร่างของสวี่ชิงพุ่งออกมาในพริบตานั้น
ความเร็วขีดสุดทำเอาเบื้องหน้าของเจ้าอ้วนเลือนราง ในใจเต้นตึก มือขวากำลังจะบีบอำพันจนแตก ปากกำลังจะร้องตะโกน แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
เหล็กแหลมสีดำสนิทแท่งหนึ่ง นำความคมกริบไร้เทียมทานพุ่งเข้ามาในพริบตา แทงทะลุเข้าไปยังส่วนศีรษะอย่างราบรื่น เลือดสดพุ่งกระจาย สาดลงมาบนตัวของสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ
เจ้าอ้วนร่างแข็งทื่อ คิดจะหันหลังกลับแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างไร้วิญญาณค่อยๆ ล้มลง ไม่ขยับเขยื้อน
สวี่ชิงไม่มองศพของเจ้าอ้วน หอบแฮ่กสังเกตไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ที่นี่ค่อนข้างห่างไกล หลังจากแน่ใจว่าไม่ได้เป็นจุดเรียกความสนใจแล้ว เขาก็ประชิดตัวศพของเจ้าอ้วนอย่างรวดเร็ว หยิบเอาถุงหนังของอีกฝ่ายออกมา
ตอนที่กำลังจะใช้เขี้ยวพิษแทงลงไป สวี่ชิงก็สังเกตเห็นว่ามือขวาของเจ้าอ้วนกำอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยแกะนิ้วของเขาออก จากนั้นจึงมองเห็นอำพันที่แตกไปแล้วกว่าครึ่ง
ของสิ่งนี้ดูแล้วเหมือนสิ่งของปกติ ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ข้างในผนึกหางแมงป่องชิ้นหนึ่งเอาไว้
สวี่ชิงหยิบออกมาอย่างระมัดระวัง จัดการศพอย่างที่เคยทำ หลังจากรอจนร่างศพละลายเป็นกองเลือด ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เขาเดินไปพลางเช็ดคราบเลือดบนตัวออกไปด้วย หายไปในฉากม่านยามค่ำคืน
นายท่านเจ็ดกับคนติดตามเขา จึงเดินออกมาจากเงามืด
มองไปยังจุดที่สวี่ชิงหายตัวไป นายท่านเจ็ดดูไม่ค่อยใส่ใจมากนักกับการต่อสู้ของสวี่ชิงกับเจ้าอ้วนเมื่อครู่ แต่ว่ากำลังพิจารณาอยู่ เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างแจ่มชัดออกมา
“ข้ารู้แล้ว ที่เจ้าเด็กคนนั้นไม่สวมเสื้อใหม่เพราะกลัวจะเปื้อนเลือดนี่เอง เขาเป็นพวกยากจนข้นแค้น คงหวงแหนเสื้อตัวเองมาก”
คนติดตามข้างๆ ก็ผ่อนลมหายใจ
ทั้งวันนี้ นายท่านเจ็ดเอาแต่คิดว่าทำไมเด็กคนนี้ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าใหม่ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้คำตอบเสียที หรือก็คือตนเองจะไม่ได้ยินการพิจารณาถึงสาเหตุต่อเรื่องนี้อีกแล้ว