ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 103 เกิดใหม่เมื่อสิ้นหวัง
บทที่ 103 เกิดใหม่เมื่อสิ้นหวัง
สวี่ชิงไม่มีนิสัยฟังคำสั่งเสียของคนอื่น และไม่มีความคิดที่จะรับทาส ใจคนยากคาดเดา เทียบกับอนาคตที่ต้องมากังวลว่าจะถูกแว้งกัด มิสู้ตัดสินใจเด็ดขาดจัดการให้เรียบร้อย
สำหรับศัตรู เขามีเพียงความคิดเดียวมาตลอด…ศัตรูที่ตายไปแล้วปลอดภัยที่สุด
และยิ่งฆ่าได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น
โดยเฉพาะตอนนี้เขาอยู่ในทุ่งสีชาดที่ไม่คุ้นเคย แม้จะดักซุ่มมาหนึ่งเดือนแล้ว สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงรู้ว่าที่นี่ยากจนค้นแค้นมากๆ รวมกับความเลวร้ายของสภาพแวดล้อม ดังนั้นต่อให้เป็นลัทธินอกวิถีเอง ก็มาหาสาวกเพิ่มที่นี่แค่บางครั้งเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในละแวกรอบๆ ก็อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ นี่ทำให้การต่อสู้ของสวี่ชิงกับสำนักวัชระถูกกลบไปในลมหิมะได้มิดในระดับสูงสุด คงไม่มีใครมาเห็น
อีกทั้งตลอดทางมานี้ยังใช้รูปร่างหน้าตาที่แปลงมาจากของวิเศษอักขระตลอดทาง ส่วนเรือเวทของเขาก็เปิดรูปแบบปลอมแปลงในสำนักมาโดยตลอด ดังนั้นคนที่เห็นเรือเวทที่แท้จริงของเขามีแค่จางซานเท่านั้น
ทุกอย่างฃนี้เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่สวี่ชิงทำได้ในเวลาสั้นๆ แล้ว แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ ยังมีจุดบกพร่อง แต่สวี่ชิงก็รู้ว่า เหตุที่การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นก็เพราะบรรพจารย์สำนักวัชระคำนวณเวลาที่ตนจะบุกสังหารมาผิดพลาด
และประเมินความเร็วในการเติบโตของตนต่ำไป
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อีกฝ่ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางคาดเดาว่าตนจะมีการโจมตีคุณสมบัติเทพที่เป็นภัยคุกคามอย่างแสนสาหัสสำหรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานได้!
ในเมื่อสิ่งมีชีวิตประเภทเทพเดิมก็มีน้อยมากอยู่แล้ว ราคาแพงระยับ และเพื่อสร้างเรือลำนี้ สวี่ชิงไม่ใช่แค่ใช้คราบกิ้งก่าคุณสมบัติเทพเท่านั้น แต่ยิ่งใช้หินวิญญาณถึงหลายหมื่นก้อน
เตรียมการขนาดนี้จะไม่ราบรื่นได้อย่างไร!
ตอนนี้ลมหิมะพัดกรีดหวีดหวิว ความหนาวเหน็บพัดกวาดไปทั่วทุกหนแห่ง
พลังคุณสมบัติเทพที่มาจากเรือเวทก็หลอมรวมกันถึงขีดสูงสุดในเสี้ยวเวลานี้แล้ว หอกแหลมที่อยู่ข้างหน้าสุดของเรือเวทก็สาดแสงเจิดจ้าแสบตาวูบวาบตามมือขวาที่กดลงมาของสวี่ชิง เอ่อล้นไปด้วยแสงสีทอง
จากพื้นดินมองขึ้นไปบนฟ้า จะเห็นปุยหิมะหนาแม้จะเหมือนฝาครอบครอบปลายขอบฟ้า แต่ก็ไม่อาจปกปิดความศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ในแสงสีทองนี้ได้
ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนสามารถสะกดวิญญาณ สะกดสรรพชีวิตทั้งหลาย ทำให้ใจของบรรพจารย์สำนักวัชระเต้นดังโครมคราม ความหวาดกลัวในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงหลอมเข้าไปในใจกลายเป็นหมอกคลุมเครือ ปกคลุมไปทั่วทุกส่วนของร่างกายและจิตใจเขา
เห็นว่าการโจมตีคุณสมบัติเทพจะระเบิดออกมาแล้ว เห็นว่าตัวเองจะแหลกสลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแตกดับไปในโลกนี้ เห็นว่าสวี่ชิงไม่ให้โอกาสตัวเองพูดแม้แต่น้อย แววตาบรรพจารย์สำนักวัชระก็ฉายความเด็ดเดี่ยว พลันคำรามเสียงดัง ทำเรื่องที่สวี่ชิงคิดไม่ถึงออกมา
เขากลับ…ชิงลงมือกับตัวเองก่อนที่การโจมตีคุณสมบัติเทพของสวี่ชิงจะปะทุระเบิดออกมา!
เสี้ยวพริบตาต่อมา มือขวาของบรรพจารย์สำนักวัชระยกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วซัดไปยังหน้าผากของตัวเองต่อหน้าสวี่ชิง
เสียงดังบึ้ม จากการระเบิดของพลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานของเขา อีกทั้งเหมือนกลัวว่าฝ่ามือนี้จะซัดตัวเองไม่ตาย มือซ้ายก็หยิบเอาดาบเล่มหนึ่งออกมาแล้วแทงเข้าไปที่หัวใจของตัวเองทันทีในเวลาเดียวกัน
ลงมือเต็มกำลังทำให้ดาบที่แทงเข้าหัวใจแหลกละเอียดแตกสลาย
เศษคมนับไม่ถ้วนระเบิดบ้าคลั่งนอกกายของเขาพร้อมด้วยพลังเวทระดับสร้างฐาน
ส่วนศีรษะก็แหลกละเอียดไปในเสี้ยวขณะนี้ แตกสลายไปในทันทีตั้งแต่ส่วนคอขึ้นไปไม่มีอะไรเหลือ
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยวพริบตา ชั่วขณะต่อไป ศพของบรรพจารย์สำนักวัชระที่ไม่มีหัวทั้งร่างกายครึ่งหนึ่งที่แหว่งวิ่นก็ร่วงจากท้องฟ้าลงมาทันที…
สวี่ชิงดวงตาเบิกกว้าง อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ต่างเผ่าหรือ แกล้งตายอย่างนั้นหรือ”
เขามองศพที่ร่วงลงพื้น สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หมดสิ้นไปแล้วบนร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระและสภาพแหว่งวิ่นนั่นไม่มีพลังชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น
สวี่ชิงไม่เคยเห็นต่างเผ่าหลังจากที่ตายแล้ว อีกทั้งร่างยังเหลือแค่ครึ่งเดียวจะยังแกล้งตายได้
อีกทั้งสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ต่างเผ่า
นี่ทำให้สวี่ชิงลังเลเวลาที่ฆ่าคนเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่ายังต้องเปลืองคุณสมบัติเทพที่มีจำกัดอีกทั้งล้ำค่าไปยิงศพศพนั้นต่อดีหรือไม่…
ต่อให้เขาเห็นการฆ่าสังหารมามากมายตั้งแต่เด็กๆ แต่การกระทำที่เห็นข้างหน้านี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอในชีวิต ทำให้การโจมตีคุณสมบัติเทพของเรือเวทในตอนนี้ส่ายไปเล็กน้อย แต่ก็ถูกเขาควบคุมเอาไว้ได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังสะบัดมือ หยดฝนปรากฏขึ้น แล้วพุ่งไปที่ซากร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระ เพียงพริบตาก็พุ่งไปแทงซ้ำอีกครั้ง
ซากร่างบรรพจารย์สำนักวัชระแหลกเละไปอีกครั้งท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
และในตอนนี้เอง บนซากร่างที่ร่วงลงพื้นมีเงาวิญญาณมายากลุ่มหนึ่งมุดออกมาจากในนั้น เงาวิญญาณไม่ได้ชัดมาก ตัวสั่นงันงกอยู่ในลมหิมะคล้ายว่าจะดับสลายไปได้ทุกเมื่อ
และเมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ต่อให้มันรางเลือนมาก แต่ก็ยังพอเห็นเป็นรูปร่างหน้าตาของบรรพจารย์สำนักวัชระอยู่เลาๆ เพียงแต่เงาวิญญาณดวงนี้ไม่มีลักษณะอย่างวิญญาณที่ตายไปแล้ว กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังชีวิตอยู่นิดๆ
นี่ขัดแย้งมาก ทั้งๆ ที่รางเลือน แต่ในความรู้สึกของสวี่ชิงพลังชีวิตกลับชัดเจนมาก
สวี่ชิงจ้องตาเขม็ง ในเสี้ยวพริบตาที่จิตสังหารปรากฏในดวงตาอีกครั้ง เงาวิญญาณของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไหววูบรุนแรง เร็วสุดฤทธิ์ พุ่งตรงไปยัง…เหล็กแหลมสีดำที่ร่วงอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่ไกล
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนพุ่งทะลุมิติ มาปรากฏอยู่ข้างเหล็กแหลม สีหน้าแฝงด้วยความร้อนรน เหมือนวิ่งแข่งกับชีวิต มุดเข้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าหากตัวเองยังไม่ได้เข้าไปใกล้ก็จะถูกสวี่ชิงจัดการเสียก่อน
เพียงพริบตา เงาวิญญาณของเขาก็ผสานไปในเหล็กแหลมโดยสมบูรณ์ และในเสี้ยวขณะนี้เหล็กแหลมสีดำก็สั่นสะเทือนรุนแรง ประกายสีดำบนนั้นยิ่งเข้มข้นขึ้น ความหนาวยะเยือกที่รุนแรงกว่าเดิมปะทุออกมาจากในเหล็กแหลม
กระทั่งว่ามีแสงไหลวนสาดประกายออกมาเป็นระลอกรางๆ เหมือนเปลี่ยนจากของธรรมดาเป็นของวิเศษ!!
สวี่ชิงที่สู้มาจนถึงตอนนี้ก็อึ้งเป็นครั้งที่สองแล้ว
หลังจากที่เขาฝากตัวเป็นศิษย์เข้าสำนัก ก็ไม่ได้เหมือนกับตอนแรกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญอีกแล้ว ตอนนี้เขามองเหล็กแหลมสีดำของตัวเอง ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย เขาแค่มองก็มองออกว่าการเปลี่ยนแปลงของเหล็กแหลมคืออะไร
“มีวิญญาณศัสตรา”
โลกใบนี้ ความแตกต่างของวิเศษล้ำค่ากับของวิเศษเวทมีมากมาย และข้อแตกต่างหนึ่งในนั้นคือ…ของวิเศษล้ำค่าไม่มีวิญญาณ แต่ของวิเศษเวทมีวิญญาณ
แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าหลังจากของวิเศษล้ำค่ามีวิญญาณแล้วก็จะเป็นของวิเศษเวท แต่เมื่อมันมีวิญญาณศัตรา ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นของวิเศษเวท!
สวี่ชิงเงียบนิ่ง มือขวาพลันคว้าไปกลางอากาศ ทันใดนั้นเหล็กแหลมสีดำก็พุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว เขาจับมันเอาไว้ มองอย่างเย็นชาอยู่นาน มือขวาของเขาประเดี๋ยวก็ออกแรง ประเดี๋ยวก็คลายออก หลังจากที่ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งก็ยิ่งนิ่งเงียบไปอีก
เขาสัมผัสได้ว่าเหล็กแหลมสีดำของตัวเองมีวิญญาณศัตราแล้วจริงๆ และวิญญาณศัตรานี้…ก็คือบรรพจารย์สำนักวัชระ
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไร ทำการฆ่าตัวเองให้ตายก่อน แล้วยังเป็นฝ่ายกระตือรือร้นเปลี่ยนกายวิญญาณเป็นวิญญาณศัตรา จากนั้นก็ยังเป็นฝ่ายที่จะเลือกเข้าไปอยู่ในเหล็กแหลม…
“ไสหัวออกมา!” สวี่ชิงค่อนข้างหงุดหงิด คำรามเสียงต่ำ
เหล็กแหลมสั่นสะท้านไปทันควัน เงารางเลือนของบรรพจารย์สำนักวัชระลอยออกมา มองหน้าสวี่ชิง กายสั่นสะท้าน รีบยิ้มประจบ
“นายท่านเรียกข้าน้อยด้วยเรื่องอันใดหรือ”
พูดจาไหลลื่น สีหน้าประจบประแจง ไม่มีความงกเงิ่นใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนว่าฝึกจนชำนาญมานานแล้ว ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…บรรพจารย์สำนักวัชระตลอดทั้งชีวิตระมัดระวังรอบคอบ ทำอะไรรู้ขอบเขต ทั้งยังชอบอ่านตำราโบราณ ความคิดในใจปกติคนทั่วไปมองว่าแปลกประหลาด
แต่ตัวเขาไม่คิดแบบนั้น เขารู้ดีว่าในโลกาวินาศใบนี้ พลังบำเพ็ญเพียงเล็กน้อยเท่านี้ของตัวเองที่แม้แต่จะโอ้อวดยังทำไม่ได้ ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น อีกทั้งสำนักยังเล็กจ้อยเหลือเกิน ดังนั้นจึงมักจะกลายเป็นหินลับมีดก้อนแรกของคนที่มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ในตำราโบราณที่กล่าวเอาไว้ได้ง่ายมาก
อีกทั้งหินลับมีดเช่นนี้ ในตำราโบราณมากมายที่เขาอ่านก็ล้วนแต่ตายอย่างอเนจอนาถโดยไม่มีข้อยกเว้นสักคน ไม่มีใครที่รอดมาได้เลย ดังนั้นแล้ว นอกจากจะหวาดกลัวขวัญผวาแล้วก็กังวลอนาคตของตัวเอง
แต่จะละทิ้งทุกอย่างเหล่านี้แล้วปลีกวิเวก เขาก็ตัดใจไม่ได้อีก
ดังนั้นแม้เมื่อหลายปีก่อนเขาจะรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ดวงกุดขนาดนั้น แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เขาก็ได้เตรียมการเพื่อเวลานั้นไว้ด้วย กระนั้นแล้วจึงแอบฝึกฝนเศษเสี้ยววิชาที่ได้มาจากในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งเมื่อตอนยังหนุ่มยังแน่น
คนปกติไม่มีทางฝึกฝนเศษเสี้ยวนี้เด็ดขาด
เพราะประโยชน์ของมันมีเพียงแค่อย่างเดียวคือสังเวยตัวเองให้กลายเป็นเหมือนวิญญาณศัตรา
อีกทั้งอัตราการล้มเหลวสูงมาก หากล้มเหลววิญญาณก็จะดับสลาย
แต่ว่าบรรพจารย์สำนักวัชระให้ความสำคัญกับวิชานี้มากๆ เขาคิดว่านี่จะเป็นอีกชีวิตหนึ่งของตัวเอง
ดังนั้นจึงไม่เคยหยุดฝึกฝน อีกทั้งเขาเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้อยู่นิดหน่อย…
เขารู้สึกว่าในอนาคตหากมีวันหนึ่งที่ตัวเองจะถูกฆ่าตายจริงๆ เช่นนั้น ต่อให้ตัวเองต้องยอมรับเจ้านาย อีกทั้งต้องทำการสาบานทั้งหลายทั้งปวงด้วยปากตัวเองก็ยากจะทำให้ใครเชื่อได้
ต่อให้ถูกฝังในของประเภทยันต์เป็นตายบางประเภทก็ไม่ค่อยเหมาะอยู่ดี ง่ายต่อการถูกใช้เป็นหน่วยกล้าตาย เมื่อใช้เสร็จก็ถูกโยนทิ้ง
และวิธีที่เหมาะที่สุดก็คือกลายเป็นวิญญาณศัตราของอีกฝ่าย
จะอย่างไรผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยก็ยังสนใจวิญญาณศัตราเป็นอย่างมาก
ความคิดนี้ก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นมากขึ้นตามตำราโบราณที่อ่านมากขึ้น…
จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดวิชาวิญญาณศัตราที่เขาฝึกมาทั้งชีวิตก็ได้ใช้ ทำให้ตัวเองได้รับฟางเส้นสุดท้ายจากสถานการณ์ที่ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้
ตอนนี้ในใจสวี่ชิงหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นจากการประจบประแจงของเขา สวี่ชิงเพิ่งเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ค่อนข้างลังเลว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าดี แต่วิญญาณศัตราก็ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง…
“เจ้ากลายเป็นวิญญาณศัตราได้อย่างไร” สวี่ชิงถามเสียงเย็นชา
บรรพจารย์สำนักวัชระรีบแสดงสีหน้าประจบประแจง เอ่ยเสียงดัง
“เมื่อหลายปีก่อนข้าน้อยเคยฝันว่ามองเห็นตัวเองในอนาคตจะได้เจอเจ้าแห่งชะตาสวรรค์ เขามอบพิธีชำระล้างอย่างอบอุ่นให้กับโลกที่โหดร้ายเย็นชาใบนี้ ตอนนั้นข้าซาบซึ้งมาก สาบานว่าจะติดตามเขา ดังนั้นแล้วจึงใช้เงินทองซื้อเศษเสี้ยววิชามาได้ส่วนหนึ่ง วิถีฝึกฝนให้เป็นวิญญาณศัตรา
“เพื่อการนี้ข้าเตรียมตัวอยู่ทุกชั่วขณะ!”
“พูดภาษาคน” แววตาสวี่ชิงเปลี่ยนมาเย็นชา จิตสังหารในดวงตาเดือดพล่าน บรรพจารย์สำนักวัชวะเมื่อเห็นก็ตัวสั่นงันงก แอบพูดว่ายังดีที่ตัวเองฉลาดอีกทั้งยังเด็ดเดี่ยว ชิงฆ่าตัวเองให้ตายอย่างรวดเร็วก่อนหน้าที่เจ้าเด็กเจ้าคิดเจ้าแค้นคนนี้จะลงมือ
จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายรู้สึกแปลกประหลาด แปลงเป็นวิญญาณศัตรา นี่จึงนับว่าเป็นการเกิดใหม่เมื่อสิ้นหวัง
เพราะเขาไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เจ้าลูกหมาป่าข้างหน้าคนนี้ไม่มีความคิดจะรับทาสเลย นั่นคือการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะฆ่าตนให้ได้ และเมื่อครู่นี้หากตนลังเลไปเพียงแค่นิดเดียวตอนนี้ก็คงตายสนิทไปแล้วจริงๆ
หาทางรอดได้จากสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนั้น บรรพจารย์สำนักวัชระรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ง่ายเลย
คิดถึงตรงนี้เขาก็รีบขานตอบเสียงต่ำ เอ่ยออกไปตามจริง พูดจบยังใช้วิชาเวทแบ่งแก่นวิญญาณกลุ่มหนึ่งของตัวเองออกมา แล้วส่งไปข้างหน้าสวี่ชิง นี่คือสัญลักษณ์ของการยอมรับเจ้านาย
สวี่ชิงฟังจบก็กวาดตามองแก่นวิญญาณของบรรพจารย์สำนักวัชระ แล้วมองไปทางเหล็กแหลมสีดำ จิตสังหารในแววตาประเดี๋ยวพวยพุ่ง ประเดี๋ยวลดลง บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ มองอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบส่งกระแสจิตแสดงความจงรักภักดีออกมา
“นายท่าน ชีวิตของข้าไม่มีค่าแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นวิญญาณศัตรา แม้ข้าจะสามารถช่วยให้อาวุธเวทของนายท่านคมกริบยิ่งขึ้นอีกทั้งยังมีการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด แม้จะเป็นเพราะข้าเป็นวิญญาณศัตราระดับสร้างฐาน ของวิเศษล้ำค่าเมื่ออยู่ภายใต้การเพิ่มพลังจะยิ่งมีความล้ำค่าหายากและความดุดัน แม้ว่าในอนาคตประโยชน์ของข้าจะมีอีกเยอะแยะมากมาย แต่ขอเพียงแค่นายท่านเอ่ยเพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็สามารถฆ่าข้าได้ทุกเมื่อ
“หากนายท่านจะฆ่าข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน ในศพข้ายังมีลูกกลอนที่ใกล้จะสมบูรณ์แล้วเม็ดหนึ่ง นั่นเป็นของดีเชียวนะ นายท่านกินแล้วพลังบำเพ็ญจะยกระดับขึ้นได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว
“แล้วก็นายท่าน ใต้สำนักข้ายังมีคลังสมบัติ ในนั้นมีหน้าไม้กลไกที่ใช้กับเรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ ข้าไม่มีเรือเวทจึงไม่อาจใช้มันได้ เดิมทีเตรียมจะมอบเป็นของกำนัล…
“แล้วก็นะนายท่าน พวกเราต้องรีบไป เมื่อหลายวันก่อนข้าเชิญสหายคนหนึ่ง พรุ่งนี้ก็คงจะมาถึงแล้ว นอกจากนั้นทางลัทธินอกวิถี เร็วๆ นี้ก็จะมีทูตเดินทางมาเช่นกัน”
บรรพจารย์สำนักวัชระรู้ดี ในเมื่อเลือกที่จะคุกเข่าก็จะต้องสวามิภักดิ์โดยสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะรอดชีวิต
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ สะบัดมือเก็บแก่นวิญญาณของอีกฝ่าย คว้าไปกลางอากาศก็เอาถุงเก็บของที่อยู่บนศพของบรรพจารย์สำนักวัชระมาด้วย จากนั้นกำลังจะทำลายศพเพื่อกลบร่องรอย บรรพจารย์สำนักวัชระก็รีบร้องห้ามขึ้นมา
“นายท่าน นายท่าน…ถุงเก็บของนั่นเป็นของตบตา ไม่ใช่ของจริง ในตัวข้ายังมีอีกอันหนึ่งที่ข้าใช้ของวิเศษอักขระปกปิดเอาไว้”
สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง