ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 107 ศิษย์น้องสวี่ชิงอยู่หรือไม่
บทที่ 107 ศิษย์น้องสวี่ชิงอยู่หรือไม่
นอกห้อง
เด็กหนุ่มใบ้ตัวสั่นงันงก ใบหน้านายกองเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
สวี่ชิงหรี่ตาไม่พูดอะไร แต่เขาสังเกตได้ว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวคือเงาตัวเอง
ตอนนี้เด็กหนุ่มใบ้ตัวสั่นหนักยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการจับตามองของสวี่ชิง มือทั้งสองกำแน่น เหงื่อท่วมตัวราวน้ำฝนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ใครที่อยู่ที่นี่ล้วนได้ยินขาเสียงกร๊อบๆ จากขาทั้งสองข้างของเขาทั้งนั้น
นั่นเป็นเสียงของกระดูกกับกล้ามเนื้อต่อต้านกัน
เหมือนว่าสัญชาตญาณของเขากำลังทำการต่อสู้กับจิตใจอย่างรุนแรง
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การไหลผ่านไปของเวลาทุกอึดใจสำหรับเขาก็เป็นการทรมานที่ไม่อาจจินตนาการได้อย่างหนึ่ง
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง เก็บแววตาลงเล็กน้อย ลุกขึ้น ประสานมือโค้งคารวะนายกองแล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตู
ความหวาดกลัวในดวงตาของเด็กหนุ่มใบ้คนนั้นก็ยิ่งเข้มข้นจากการที่เข้ามาใกล้ แต่เหมือนเขาไม่กล้าถอยหลัง เหมือนสภาพสวี่ชิงตอนได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดในเขตพื้นที่ต้องห้าม
จนเมื่อสวี่ชิงเดินมาถึงข้างกายเขา ความหวาดกลัวไร้ขีดจำกัดในใจของเด็กหนุ่มใบ้ก็พุ่งถึงขีดจำกัดสูงสุด มุมปากของเขามีฟองขาวฟอดออกมาตามเสียงระเบิดในหัว ร่างกายกระตุกเกร็งรุนแรง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้แผ่พลังกดดันอะไรออกมาทั้งนั้น และตั้งใจไม่แผ่จิตสังหารออกมา ดังนั้น หลังจากที่มองเด็กหนุ่มคนนี้อย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่งก็เดินออกไปจากห้อง ไปจากที่นี่
และความหวาดกลัวของเด็กหนุ่มใบ้ก็หายไปเหมือนคลื่นที่ซัดกลับลงทะเลตามการจากไปของเขา ไม่นานร่างของเขาก็ไม่สั่น สีหน้าก็กลับคืนมาเหมือนเดิมไปมากกว่าครึ่ง เพียงแต่เศษความกลัวที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาก็ยังทำให้เขาไม่กล้าหันกลับไปมองเงาแผ่นหลังของสวี่ชิงเลยแม้แต่น้อย
นายกองมองภาพฉากนี้ด้วยดวงตาที่ฉายประกายแปลกใจ จึงกัดผลผิงกั่วแล้วเดินมาหยุดที่ข้างกายของเด็กหนุ่มใบ้เสียเลย วนรอบตัวเขารอบหนึ่ง เอาผลผิงกั่วมาถือไว้ในมือ แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เจ้ารู้จักเขาหรือ”
เด็กหนุ่มใบ้ส่ายหน้า
“ไม่รู้จักหรือ แล้วทำไมเจ้ากลัวเขา”
สีหน้าของนายกองยิ่งฉายความสงสัยใคร่รู้มากขึ้นไปอีก เพราะเด็กหนุ่มใบ้ที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้มาอยู่กรมปราบพิฆาตได้ครึ่งเดือนแล้ว ในครึ่งเดือนนี้ก็เหมือนกับสวี่ชิงในตอนนั้น ฆ่าคนร้ายประกาศจับมากมาย
อีกทั้งตัวเขาก็เหมือนหมาป่า ดุร้ายเป็นอย่างมาก แววตาที่มองใครก็ตามล้วนแฝงไว้ด้วยความเป็นศัตรูและความระแวงระวัง
แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายกองเห็นเด็กหนุ่มใบ้คนนี้กลัวถึงเพียงนั้น
สำหรับคำถามของนายกอง เด็กหนุ่มใบ้ได้ยินแล้ว แต่กลับปิดปากสนิท ไม่พูดอะไร
ยิ่งเขาไม่พูด นายกองก็ยิ่งอยากรู้คำตอบ เหมือนว่าแม้แต่ผิงกั่วยังลืมกิน หลังจากที่มองเด็กหนุ่มใบ้อยู่หลายครั้ง จู่ๆ ประกายในดวงตาของเขาก็ฉายวาบ ในกายมีรัศมีอำมหิตน่าหวาดกลัวปะทุออกมาทันที
ไม่แผ่ออกแต่จับเป้าหมายไปที่ร่างของเด็กหนุ่มใบ้
ความแข็งแกร่งของรัศมีอำมหิตนี้ทำให้หวาดกลัว ทำให้เด็กหนุ่มใบ้คนนี้ทั่วทั้งร่างเกร็งขึงจนถึงขีดจำกัดสูงสุด สีหน้าขาวซีด ตัวสั่นสะท้าน แต่ว่า…ในดวงตาของเขาไม่มีความหวาดกลัวอย่างเมื่อครู่ มีเพียงความดื้อดึงที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่นานนักนายกองก็ดึงจิตสังหารกลับ ถอนหายใจออกมา
“เจ้าบอกข้ามาว่าเหตุใดเจ้าถึงกลัวเขา ข้าจะไปหาเจ้ากรมเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นอย่างไร”
เด็กหนุ่มใบ้ก็ยังคงเงียบนิ่งไม่พูดจา
“ข้าลืมไปว่าเจ้าพูดไม่ได้ เจ้าเขียนสิ เขียนบอกข้า”
เด็กหนุ่มใบ้นิ่งเงียบ ส่ายหน้าด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว เหมือนว่าต่อให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูด
นายกองจนปัญญา ทำได้แค่โบกมือให้เด็กหนุ่มใบ้ออกไป ส่วนตัวเองนั่งยองบนเก้าอี้พลางกินผิงกั่ว ขบคิดไม่หยุด
ในขณะเดียวกัน สวี่ชิงที่เดินออกไปจากกรมปราบพิฆาตหันกลับมาทางหน่วยปราบนิลกาฬแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ากวาดสายตามองเงาของตัวเอง
ความรู้สึกของเขาก่อนหน้านี้คือ สิ่งที่เด็กหนุ่มใบ้กลัวคือเงานี่เอง
“เขาสัมผัสเงาของข้าได้อย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงพึมพำ แววตาเย็นเยียบ
ดึงสายตากลับมาพลางนึกถึงเรื่องที่นายกองบอกว่าตนค้างหินวิญญาณ ว่าแล้วก็หยิบเอาแผ่นไม้ไผ่ออกมา ขีดเครื่องหมายคำถามที่อยู่ท้ายชื่อของนายกองทิ้งอีกครั้ง
ตอนนี้บนแผ่นไม้ไผ่จะเห็นว่าบรรพจารย์สำนักวัชระถูกขีดทิ้งแล้ว เด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็ถูกขีดทิ้งแล้ว ตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ข้างหลังอักษรที่เขียนว่านายกองสองตัวอักษรนั้นเป็นเครื่องหมายคำถามที่ถูกขีดทิ้งอยู่หลายครั้ง
มองเครื่องหมายคำถามที่ถูกสลักลงไปแล้วก็ถูกขีดทิ้งพวกนั้น สวี่ชิงก็นิ่งเงียบ จากนั้นก็เพิ่มชื่อขององค์ชายสามลงไป ข้างหลังมีเครื่องหมายคำถามเช่นกัน
หลังจากสลักลงไปแล้ว เขาก็เก็บแผ่นไม้ไผ่ แล้วไปที่ร้านยาในเขตเมือง
ไม่ใช่ร้านที่ไปบ่อยร้านนั้น แต่เป็นร้านที่ใหญ่กว่าร้านนั้น ที่นี่เขาเคยเห็นลูกกลอนสร้างฐาน
ราคาเกินสมควรนัก ต่อให้สวี่ชิงในตอนนี้ก็นับว่าร่ำรวยเหมือนกัน แต่ก็ยังอดสูดลมหายใจไม่ได้
“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณ…” สวี่ชิงกลับมายังท่าจอดเรือเงียบๆ
ถึงพลังบำเพ็ญและกำลังรบจะถึงระดับที่น่าตื่นตะลึง แต่ความรอบคอบและความระมัดระวังของสวี่ชิงไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย ก่อนจะหยิบเอาเรือเวทออกมา เขาก็สำรวจรอบๆ ก่อนเหมือนอย่างเคย
มั่นใจว่าไม่มีปัญหาถึงจะได้วางเรือเวทแล้วก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดเกราะป้องกัน สวี่ชิงเดินเข้าไปในห้องสมุนไพรในตัวเรือ ทันทีที่นั่งลงขัดสมาธิ แสงสีม่วงก็สาดแสงกะพริบวูบวาบที่หน้าอก
เขาเหนี่ยวนำพลังสะกดของผลึกแก้วสีม่วงออกมา แล้วสะกดไปยังเงาที่ทุกอย่างปกติเหมือนเดิมใต้ร่าง
สะกดอยู่สามวันติดๆ สวี่ชิงถึงจะหยุด นี่เป็นกิจวัตรประจำของเขา
สวี่ชิงไม่รู้ว่าเงานี้คืออะไร แต่นี่ไม่สำคัญ สะกดป้องกันมันบ่อยๆ ก็ได้แล้ว
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็เริ่มหลอมยาพิษ
“การแข่งขันครั้งใหญ่ยอดเขาที่เจ็ด…” สวี่ชิงหลอมยาพิษพลางขบคิดเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่
ตอนนี้พลังบำเพ็ญของเขาถึงระดับรวมปราณบริบูรณ์แล้ว แม้จะรู้สึกว่าคัมภีร์แปรสมุทรยังสามารถขยายต่อไปได้ แต่สวี่ชิงรู้ดีว่าตัวเองต้องรีบเตรียมของที่ระดับสร้างฐานต้องการใช้
เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับระดับสร้างฐานนัก เพียงแต่รู้ว่าต้องใช้ลูกกลอนสร้างฐานเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงขั้น อีกทั้งเม็ดเดียวไม่ได้รับประกันผลอะไรนัก
ส่วนทฤษฎีระดับสร้างฐาน ความรู้ด้านนี้สำนักก็มีเก็บรักษาเอาไว้ แต่ต้องจ่ายแต้มอุทิศที่ราคาเกินสมควรมากถึงจะอ่านได้
หากไม่อยากจ่าย จะไปซื้อจากคนอื่นก็ได้
หลังจากที่สวี่ชิงขบคิดก็เตรียมหาเวลาปลุกบรรพจารย์สำนักวัชระขึ้นมาถามทำความเข้าใจเสียหน่อย
“ลูกกลอนสร้างฐานแพงเกินไป ข้าซื้อไม่ไหว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่การแข่งขันครั้งใหญ่เข้าแย่งชิงแล้ว” สวี่ชิงเก็บสายตา หลังจากที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว การหลอมพิษของเขาก็เสร็จสิ้นตามปลายขอบฟ้าที่เริ่มมืดมิด เริ่มนั่งขัดสมาธิฝึกฝน
ในขณะเดียวกันนี้ แสงรุ้งพรายยามอาทิตย์อัสดงที่โลกภายนอกสาดส่องไปทั่วท่าเรือ คลุมเหมือนเป็นผ้าโปร่งบางไปทั้งอ่าว สิ่งก่อสร้างทุกอย่างมองแล้วเหมือนถูกมันอาบย้อม แม้แต่ชั้นเมฆบนท้องฟ้ายังแดงฉานไปทั่ว
ในแสงพรายรุ้งยามเย็นนี้ หญิงงามสวมชุดนักพรตม่วงอ่อน แบกกระบี่สัมฤทธิ์โบราณ มัดผมหางม้าคนหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาที่ท่าเรือเจ็ดสิบเก้า
นางรูปร่างสูงโปร่งอรชร หน้าตาสวยสะ โดยเฉพาะผมที่มัดหางม้าและกระบี่โบราณที่แบกอยู่ข้างหลังทำให้ในตัวนางมีความองอาจสง่างาม รวมกับตำแหน่งลูกศิษย์หลักแล้ว ทำให้นางดูแล้วมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
ลูกศิษย์ที่เห็นภาพนี้ในทุกที่ที่ผ่านมาตลอดทาง ไม่มีใครไม่ก้มหัวคารวะ ยิ่งมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ในใจเกิดความรู้สึกแปลกๆ
ส่วนนางก็เหมือนจะอารมณ์ดีมาก ตลอดทางที่เจอลูกศิษย์ที่ทำความเคารพก็พยักหน้ารับรู้ จนเมื่อเข้ามาในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกับที่ใบหน้างดงามแดงเล็กน้อย หัวใจก็เหมือนจะเต้นเร็วขึ้น
ยืนอยู่ตรงนั้น นางสูดลมหายใจลึกสามสี่ที แล้วจึงก้าวเดินอีกครั้ง พุ่งตรงอย่างรวดเร็วไปที่…ท่าจอดเรือของสวี่ชิง
ไม่นานก็มาถึงหน้าท่าจอดเรือ นางมองเรือเวทที่ค่อนข้างคุ้นตาลำนั้น สีหน้าแสดงความทรงจำที่มีความสุขออกมาบางๆ เอ่ยเสียงสูง
“ศิษย์น้องสวี่ชิงอยู่หรือไม่”
ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าแม้ปกติจะไม่คึกคักอะไรเป็นพิเศษ แต่คนที่สัญจรไปมาก็มีไม่น้อย ดังนั้นชุดนักพรตสีม่วงอ่อนทั้งร่างนั้นอยู่ที่นี่จึงเตะตาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแทบจะพริบตาที่หญิงสาวคนนี้เข้ามาก็ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย
และในตอนนี้ เมื่อเห็นนางตะโกนไปทางเรือเวทของสวี่ชิง ลูกศิษย์ที่อยู่ที่นี่ต่างตาเบิกโพลงกันทุกคน
หญิงสาวที่ยืนอยู่ริมฝั่งเส้นผมดำปลิวพริ้ว ชุดนักพรตทรงหลวมปลิวไปข้างหลัง วาดเป็นเค้าโครงโค้งเว้างดงามน่าหลงใหลบนร่างของนางท่ามกลางแสงพรายรุ้งยามอาทิตย์อัสดง
แสงรุ้งพรายส่องมายังบนใบหน้างดงามไร้ตำหนิของนาง ไม่รู้ว่าแดงเองหรือเป็นเพราะแสงพรายรุ้งอาบย้อม มองแล้วดูเลือดฝาดอวบอิ่มนัก แม้แต่ดวงตาทั้งสองข้างในเสี้ยวขณะนี้ก็เหมือนแฝงไว้ด้วยความปราดเปรียวและชีวิตชีวา
“เป็นศิษย์หลักศิษย์พี่ติงเสวี่ย!”
“นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…มาหาศิษย์พี่สวี่ชิงอย่างนั้นหรือ เฮ้อ ถ้ามาหาข้าก็ดีน่ะสิ”
ท่ามกลางความอิจฉาเล็กๆ ไม่มากก็น้อยจากคนทั้งหลายรอบๆ สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือเวทก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงข้างนอก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินออกมา มองไปทางหญิงสวที่อยู่บนฝั่ง
“ศิษย์พี่ติง” สวี่ชิงเอ่ยปากเสียงราบเรียบ ในใจไม่ชอบถูกคนรบกวนเวลาฝึกบำเพ็ญ
“ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้ากลับมาเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ เคยมาหาเจ้าที่นี่แต่เจ้าไม่อยู่ ข้ารู้ว่ามารบกวนค่อนข้างกะทันหัน แต่ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรมากมาย อยากให้ศิษย์น้องช่วยไขข้อสงสัย”
ติงเสวี่ยมองสวี่ชิงพลางพูด ขณะพูดก็ยกมือขวาขึ้น ตั๋ววิญญาณใบหนึ่งก็ปรากฏที่มือทันที
“รบกวนศิษย์น้องแล้ว”
เดิมทีสวี่ชิงอยากปฏิเสธ แต่หลังจากเห็นตั๋ววิญญาณก็ขบคิดเล็กน้อย แม้ตอนนี้ในกระเป๋าของเขาจะมีเพียงพอแล้ว แต่สิ่งของที่ต้องใช้สำหรับระดับสร้างฐานมีเยอะมาก ราคาก็น่าตกใจเหลือเกิน อีกทั้งหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณก็นับว่าไม่น้อยแล้ว
ดังนั้นจึงพยักหน้า ถอยหลังไปสามสี่ก้าว เปิดเกราะป้องกันออก
นอกเรือเวทสวี่ชิงไม่วางใจ แต่อยู่ในเรือเวทของเขามีการเพิ่มพลังจากคุณสมบัติเทพ มีพิษหลากชนิดลอยอวล สำหรับเขาแล้วปลอดภัยที่สุด
เห็นสวี่ชิงเปิดเกราะป้องกันเรือเวท ติงเสวี่ยดีใจมาก ในขณะที่ก้าวเท้าร่างงดงามอรชรก็ทะยานตัวขึ้นมาถึงเรือเวท แล้วมายืนหน้าสวี่ชิง
“ศิษย์น้องสวี่ ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าไปที่ใดมาหรือ ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาตั้งนานแล้ว” ติงเสวี่ยมองสวี่ชิงพลางยิ้มเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่ติงมีข้อสงสัยเรื่องใดเกี่ยวกับสมุนไพรเชิญถาม” สวี่ชิงไม่ตอบคำถามนี้ เขาไม่ได้เกลียดติงเสวี่ย ในเมื่อตอนอยู่บนทะเลอีกฝ่ายก็ขยันตั้งใจเรียนมาก แต่เขาก็ยังคงรักษาระยะห่างกับนางในระดับหนึ่งเอาไว้ตามสัญชาตญาณ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงต่ำทุ้ม
เห็นสวี่ชิงยังค่อนข้างระแวงระวังตัวนาง แต่ศิษย์พี่ติงก็ไม่ได้สนใจ รีบถามคำถามเกี่ยวกับสมุนไพรที่ตัวเองเตรียมไว้แล้วบางข้อ
สวี่ชิงเมื่อได้ฟัง หลังจากที่ขบคิดก็ตอบไปอย่างจริงจัง
ร้อยก้อนหินวิญญาณเขาคิดว่าควรค่าที่เขาจะอธิบายให้ละเอียดสักหน่อย
ตอนนี้ลมทะเลพัดมา แสงพรายรุ้งยามเย็นที่เหมือนกับชาดทาแก้มและสายลมลอยอวลบนเรือเวท ทำให้ชายหญิงที่อยู่ในนั้นเหมือนอาบอยู่ในแสงพราย งดงามเป็นอย่างยิ่ง
ภาพนี้ทำเอาลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ และผู้บำเพ็ญที่ลาดตระเวนริมฝั่งทุกคนอิจฉาขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน บนถนนในเมืองหลัก เด็กหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงคนหนึ่งก็ไม่สนใจภาพลักษณ์ศิษย์หลักของตัวเอง กำลังพุ่งตรงไปยังท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าร้อนรน
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงได้เลอะเลือนถึงขนาดนี้ เมื่อหลายวันก่อนพวกเรายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ ท่านๆๆ…ท่านทำไมถึงไปหาเขาอีกแล้วเล่า”
คนคนนี้ก็คือเจ้าจงเหิง
ตอนนี้ใจของเขาร้อนรนจนถึงขีดสูงสุด โดยเฉพาะตอนนึกถึงสายตาที่มองสวี่ชิงของศิษย์พี่ในทะเลเมื่อหลายวันก่อน ทั้งยังมีตอนสุดท้ายที่สวี่ชิงไม่เอาเงินนั่นอีก ในใจเขาก็หล่นวูบ
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นจังหวะที่จะลงมือแล้ว ทำให้เขาร้อนรนเหลือประมาณ
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบไปให้เร็วกว่านี้!!”