ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 125 คุ้มแล้ว!
บทที่ 125 คุ้มแล้ว!
ความหนักหนาของอาการบาดเจ็บครั้งนี้ เป็นครั้งแรกแบบที่สวี่ชิงไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
และนี่เขายังใช้เกราะคุ้มกันสองชั้นของเรือเวท ประกอบกับความเป็นเทพเข้าต่อต้าน ใช้หัวเรือเข้าสกัด กระทั่งยังสิ้นเปลืองของวิเศษอักขระไปอีกหลายใบ และยังมีพลังกายเนื้อขั้นบริบูรณ์ของตนเองอีก ก็ยังทัดทานฝืนๆ ได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว
แม้จะมีการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ หากคิดจะรักษาให้หายดีคงต้องใช้เวลาสักระยะ ขณะเดียวกันความหวาดกลัวคงค้างก็ยังปรากฏขึ้นในก้นบึ้งหัวใจเขาอย่างรุนแรง
สวี่ชิงรู้สึกว่าถ้าหากเป็นเมื่อครู่ตนเองป้องกันน้อยไปสักอย่างหนึ่ง คงจะดับดิ้นไปแล้ว
‘แต่ก็คุ้มแล้ว!’
สวี่ชิงกัดฟันแบกรับความเจ็บปวดรุนแรงของร่างกาย
ของวิเศษอักขระเป็นแค่หนึ่งในนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเรือเวทที่เขาเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก เวลานี้ความเป็นเทพก็น้อยลงไปมากแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเรือก็พังเป็นชิ้นๆ ไปครึ่งลำ คิดๆ แล้วเงินค่าซ่อมให้เหมือนเดิมคงจะมหาศาลน่าตกตะลึงด้วยเช่นกัน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในใจสวี่ชิงยังคงฮึกเหิมอย่างมาก รู้สึกว่าคุ้มมาก ตนเองได้กำไรมามหาศาล!
‘ยิ่งไปกว่านั้นตะเกียงดับวิญญาณตัวเลียนแบบก็ยังอยู่!
‘มิน่านายกองถึงได้เอาเป็นเอาตาย ที่แท้พอสำเร็จแล้วจะได้รับของน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้…’ สวี่ชิงคิดถึงนายกอง แต่เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่นิสัยที่ดีนัก จะทำตัวเองตายเข้าสักวัน
เวลานี้สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สะกดความยินดีกับตื่นเต้นในใจลงไป ฝืนกระตุ้นพลังบำเพ็ญ คิดจะเร่งการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงให้เร็วขึ้น
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ การจะอยู่ที่นี่นานไปต้องอันตรายแน่
เวลาก็ไหลผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามเช่นนี้
เวลานี้ พื้นที่ที่ห่างจากสวี่ชิง แต่ยังคงอยู่ในบริเวณหมู่ศาลเจ้า ที่นั่นมีคนขุดถ้ำไว้แห่งหนึ่ง ในถ้ำซ่อนชิ้นเนื้อเทวรูปเอาไว้ จางซานเองก็นั่งอยู่ข้างๆ จ้องมองไปยังทางออกอย่างระมัดระวัง
เขาวางวัตถุระเบิดแบบใช้แล้วทิ้งไว้มากมายที่ทางออกด้านนอก และยังมีพิษที่เข้มข้นยิ่งกว่าแผ่กำจายอยู่รอบๆ จนทำให้ที่นี่อันตรายทุกย่างก้าว หากคิดจะฝ่าเข้ามาคือยากเอามากๆ
ตอนออกไปก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ต้องเดินออกไปในเส้นทางพิเศษที่เขาเว้นไว้ก่อนหน้านี้ถึงจะปลอดภัย
แต่จางซานไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือว่าไม่ค่อยวางใจสิ่งเหล่านี้ เขายังแผ่ใยของตนเองออกมาทุกทิศทางในถ้ำอีก ขณะที่ระมัดระวัง เขาเองก็คอยหันหน้ากลับไปมองชิ้นเนื้อเทวรูปเป็นพักๆ ถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง
“นายกองเอ๋ย เจ้าคงไม่ได้เอาตัวเองไปตายอยู่ในนั้นแล้วหรอกนะ
“เจ้าว่ามันจำเป็นหรือไม่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็จะเอาชีวิตตัวเองไปเล่นเสียอย่างนั้น เจ้าไปเล่นกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักไม่ดีหรืออย่างไรกัน…
“นั่นมันจวีอิงเลยนะ แม้จะไม่ใช่เทพเจ้าที่แท้จริงแต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ ทั้งเผ่าเงือกยังมีใครใหญ่กว่าเขาหรือไม่เล่า นอกจากหมีเอ้อที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ คงไม่มีคนอื่นอีกแล้วกระมัง”
“เจ้าอย่าเพิ่งตายนะ ถ้าเจ้าตายแล้วการลงทุนหลายปีของข้าล่ะ…คงจะสูญเปล่าแน่”
จางซานถอนใจยาว เขาปกป้องที่นี่มากว่าสองชั่วยามแล้ว ในใจก็รู้สึกว่านายกองน่าจะตายไปแล้ว
เวลานี้ก็ส่ายหัวอย่างจำใจ เขาตัดสินใจว่าจะรออีกหนึ่งชั่วก้านธูป ถ้าหากนายกองยังไม่ออกมา เช่นนั้นตนเองก็คงจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงชำเลืองมองไปรอบๆ กำลังขบคิดว่าก่อนจะไปควรเฉือนชิ้นเนื้อนี้ไว้เป็นที่ระลึกดีหรือไม่ จู่ๆ ชิ้นเนื้อเทวรูปนั่นก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ด้านในมีเสียงคำรามที่ทำให้จิตวิญญาณจางซานสั่นสะท้านดังออกมา
จางซานหน้าเปลี่ยนสีถอยกรูดทันที ดึงเส้นใยรอบๆ กลับมาห่อชิ้นเนื้อเทวรูปนี้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ร่องบนชิ้นเนื้อก็หดลงอย่างรวดเร็วจากการสั่นสะเทือน ประเดี๋ยวใหญ่ประเดี๋ยวเล็กเหมือนกำลังหายใจอย่างไรอย่างนั้น เสียงคำรามที่ลอดมาจากด้านในตอนที่มันเปิดปิดก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเช่นกัน
ราวกับว่ามีตัวตนที่น่ากลัวกำลังเข้ามาใกล้อุโมงค์เลือดเนื้อนี้อย่างบ้าคลั่ง ฉากนี้ทำเอาจางซานพรั่นพรึง ถอยกรูดไปอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงทางออก เตรียมตัวที่จะหนีทันทีถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
ผ่านไปไม่นาน ตอนที่จางซานกำลังตึงเครียด จู่ๆ ก็มีมือที่เต็มไปด้วยเลือดสดข้างหนึ่งยื่นออกมาจากร่องเนื้อก้อนนั้นที่กำลังสั่นไหว บนมือข้างนี้มีนิ้วสามนิ้วที่เหลือเนื้ออยู่น้อยนิดจนกระดูกโผล่ออกมาอย่างชัดเจน อีกทั้งเนื้อที่เหลืออยู่ยังเป็นเนื้อยุ่ยๆ อีกด้วย
ตอนนี้หลังจากยื่นออกมาก็คว้าเนื้อด้านนอก ยืมแรงจากการค้ำจุนนี้ปีนออกมาได้อย่างต่อเนื่อง จนนายกองมุดออกมาจากร่องชิ้นเนื้อนั่นได้ครึ่งตัว
ผมของเขาหายไปหมดแล้ว ทั้งหัวเต็มไปด้วยเลือด บนใบหน้าเองก็มีเลือดเนื้อไม่น้อยที่ถูกกัดกร่อน ส่วนที่เผยออกมาส่วนใหญ่ล้วนเหวอะหวะจนดูไม่ได้ ดูแล้วไม่เหมือนร่างมนุษย์เลย
และบาดแผลที่มีมากมายก็ยิ่งน่าสยดสยอง หลายบาดแผลที่ลึกที่สุดเหมือนจะทะลุร่างของเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
แต่มือขวาของเขา กลับกำเนื้อสีทองที่กำลังขยับอยู่ก้อนหนึ่ง ความเป็นเทพที่น่าตกตะลึงมาพร้อมกับคลื่นพลังที่น่ากลัว แผ่ซ่านออกมาจากในชิ้นเนื้อ นั่นเป็น….ชิ้นเนื้อของจวีอิง!
การปรากฏตัวของมัน ทำให้โดยรอบบิดเบี้ยวทันที ราวกับว่ามีเสียงคำรามดุดันนับไม่ถ้วนสะท้อนก้อง จนทำให้หัวสมองจางซานอื้ออึง ทวารทั้งเจ็ดเลือดไหล ร่างกายไม่มั่นคง
“ดึงข้าหน่อยสิ!”
นายกองเหมือนใช้กำลังทั้งหมดไปกับการปีน สีหน้าเวลานี้ก็ร้อนรน รีบเอ่ยปากกับจางซานอย่างรวดเร็ว
จางซานฝืนฮึด โบกมือนำใยที่อยู่รอบๆ ไปพันตัวนายกอง ครึ่งตัวของนายกองจึงร่วงแหมะลงมาจากช่องเนื้อนั่น
เขาไม่เหลือครึ่งท่อนล่างแล้ว
มีแค่ครึ่งตัวบนที่เนื้อตัวเละเทะยับเยิน ดูแล้วน่าเวทนามาก
“รีบมาช่วยกันลงมือ จัดการตีประตูเนื้อนี้ให้พัง ด้านหลังมีอะไรไล่ตามมาอยู่!!” หลังจากออกมา นายกองก็ตะโกนขึ้นดังลั่นทันที ประกบปางชี้ไปยังประตูเนื้อด้านหลัง
จางซานรู้สึกถึงวิกฤติ กัดฟันลงมือ คลื่นวิชาเวทรอบด้านรุนแรงขึ้นฉับพลัน เมื่อรวมกับแรงคนทั้งสองอัดกระแทกเข้าไปบนประตูเนื้อนั่น ทำให้ประตูเนื้อนี้พังทลายลงแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที ด้านในมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเสียงหนึ่งรางๆ ลอดออกมาวูบหนึ่ง
เพียงแค่วูบเดียว ก็ทำเอาจางซานสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งไปทั้งร่าง กระอักเลือดสดออกมาหลายครั้ง ตอนที่ร่างกายถอยกรูดมีเสียงแกร๊กๆ ดังขึ้น มีแผ่นหยกกว่าสี่สิบชิ้นที่พังลงเพื่อปลดเปลื้องให้เขา แต่ก็ยังทำเขาเจ็บหนักล้มลงพื้น
หลังจากที่กระเสือกกระสนหยิบเอายาลูกกลอนออกมากิน สีหน้าเขาถึงมีเลือดฝาดขึ้นมาจากอาการขาวซีด
นายกองก็กระอักเลือดสดเช่นกัน ร่างกายครึ่งตัวบิดม้วนร่วงอยู่ข้างๆ แต่มือขวาของเขายังคงกำชิ้นเนื้อจวีอิงไว้แน่น สีหน้าเผยความยินดี หัวเราะร่าออกมา
“ใครจะมาเทียบข้าได้ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าต้องมาสู้ที่เกาะเงือก ข้าก็เริ่มวางแผน ในที่สุดข้าก็ได้ชิ้นเนื้อสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมา รวยแล้วเรา ครั้งนี้รวยแล้วจริงๆ!” นายกองดีใจสุดขีด ตอนหัวเราะร่าก็กระเทือนถึงบาดแผล เจ็บจนเข็ดฟัน รีบร้อนเก็บชิ้นเนื้อจวีอิงลงมา
“คุ้มหรือไม่ ตัวเจ้าหายไปครึ่งนึงเลยนะ” จางซานยิ้มขืนมองนายกอง
“คุ้มแล้ว!! ก็แค่ครึ่งตัวเท่านั้น ข้าฝึกวิชาลับงอกอวัยวะมาโดยเฉพาะ รวมเข้ากับโอสถบางส่วนในสำนัก จะงอกใหม่ก็แค่ใช้เวลาไม่กี่เดือน ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีชิ้นเนื้อของจวีอิง ผสานความเป็นเทพหลอมรวมในร่างกาย ก็จะยิ่งฟื้นฟูได้เร็วขึ้นอีก”
พูดถึงจุดนี้ นายกองก็มองไปรอบๆ อย่างดีอกดีใจ
“รองนายกองข้าล่ะ”
“ก็เจ้าเข้าไปแค่ชั่วก้านธูปเดียวเสียเมื่อไร เกือบจะสองชั่วยามอยู่แล้ว ศิษย์น้องสวี่คุ้มกันอยู่ที่นี่สองชั่วก้านธูป เมื่อเห็นว่าเจ้ายังไม่ออกมา เขายังมีเรื่องต้องทำเลยออกไป ก่อนไปยังทิ้งผงพิษไว้ให้ข้าตั้งมากมาย” จางซานกินยาลูกกลอนพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้ เกือบจะกลับมาไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ” นายกองพูดพลางล้วงผลผิงกั่วออกมาผลหนึ่ง อ้าปากกัดกร้วม กำลังจะพูดต่อ แต่ตอนนี้เอง…
ผืนแผ่นดินจู่ๆ ก็ส่งเสียงครืนครัน
ทั่วทั้งเกาะจวีอิงสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นในพริบตา ราวกับพื้นลั่นเขาเขย่าอย่างไรอย่างนั้น สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่มองเห็นล้วนพังทลายลงในพริบตา ปราณดำหลายกลุ่มหลั่งทะลักออกมาจากด้านในสิ่งปลูกสร้างที่พังทลาย ลอยขึ้นมาจากหญ้าทะเล มุดออกมาจากดอกไม้ทะเล
ทั่วทั้งโลกใต้ทะเลตอนนี้ ปราณดำจำนวนมหาศาลที่ลอยขึ้นมาจากสรรพสิ่งทั้งหมดรวมตัวกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหมอกดำแผ่กระจายครืนครันไปทั้งแปดทิศ คิดจะปกคลุมไปทั้งโลกใต้ทะเล
ด้านในแฝงไว้ด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น ขณะที่สามารถรุกรานกัดกร่อนได้ทุกสรรพสิ่ง ก็เหมือนจะมีสิ่งประหลาดแฝงอยู่ด้วย จนทำให้ศพทั้งหมดที่ตายไปในโลกต้นทะเลขยับขึ้นมาในตอนนี้ราวกับถูกชุบชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นอาณาเขตของปราณดำก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ปราณดำก่อตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังตีเกลียวก็ปกคลุมไปทุกทิศทาง จนทำให้ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมดในโลกใต้ทะเลของเกาะจวีอิงหน้าเปลี่ยนสีกันหมด เวลานี้ต่างทะยานตรงไปยังทางออกนั่นทันที
การสั่นสะเทือนของผืนดิน เหมือนว่ามังกรพสุธากำลังพลิกตัวจนทำให้นายกองที่เหลือครึ่งตัวล้ม ผลผิงกั่วในปากเกือบจะคาบไว้ไม่อยู่ สีหน้าเขาก็เปลี่ยน รีบร้อนปีนขึ้นไปบนหลังจางซาน
“นี่คือไม้ตายที่เผ่าเงือกคิดจะตายตกตามกันกับพวกเรา ข้าออกมาช้าไปหน่อย เร็ว พวกเราต้องรีบวิ่งไปที่ทางออกแล้ว”
จางซานหน้าเปลี่ยนสี รีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังทางออกท่ามกลางการหลั่งทะลักของปราณหมอกรอบๆ
ขณะเดียวกัน อีกฝั่งหนึ่งของกลุ่มศาลเจ้า สวี่ชิงที่ใช้ผลึกวารีสีม่วงทำให้ร่างกายตนเองฟื้นฟูมาบางส่วนก็ลืมตาขึ้นมาอย่ารวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดิน เขาเห็นปราณดำที่กำลังตีเกลียวหลั่งทะลักอยู่ไกลๆ ม่านตาหดลง
สวี่ชิงไม่ลังเล กระเสือกกระสนกระเด้งตัวขึ้นมาเก็บเรือเวทที่บินไม่ได้อีกแล้ว กัดฟันทะยานไปด้านหน้า และตอนที่เขาจากไปไม่นาน หมอกดำรอบๆ ก็ปกคลุมเข้ามา ตอนที่แผ่ซ่านมายังจุดที่เขาฝึกบำเพ็ญไปก่อนหน้า ก็ปกคลุมศาลเจ้าที่พังราบเอาไว้ด้านใน
เพียงแต่ในปราณหมอกนี้ ไม่มีใครมองเห็นว่าภาพบนฝาผนังที่ว่างเปล่าของศาลเจ้าที่พังราบกำลังส่องสว่างไม่หยุดราวกับจะก่อตัวขึ้นใหม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
ในช่วงหนึ่งที่เผยออกมา รูปสลักราชาแห่งเผ่าเงือก ค่อยๆ สลายกลายเป็นลมไปทั้งหมด
ตอนนี้ ขณะผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมดใต้ทะเ ทะยานไปที่ทางออก โลกภายนอกเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย
ไม่เพียงแต่เกาะจวีอิงเท่านั้นที่มีหมอกดำ เกาะอีเหม่ยฉีและเกาะครองมรดก รวมถึงยังเกาะหมีเอ้อ ก็ระเบิดปราณหมอกที่เหมือนจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งขึ้นพร้อมกัน
มองไกลๆ หมอกดำมหาศาลลอยขึ้นมาด้านบนเกาะทั้งสี่ แผ่ซ่านออกไปรอบด้านราวกับว่านี่คือวิธีการสุดท้ายของเผ่าเงือกแล้ว
บนท้องฟ้า ผู้อาวุโสเจ็ดบนเรือศึกบรรพกาลก้มหน้าลงมองเกาะเผ่าเงือกที่ถูกปกคลุมด้วยค่ายกล แม้จะมีค่ายกลบดบังสายตา แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านใน
เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้สีหน้าเขาเคร่งขรึม แต่กลับยังส่งยิ้มให้บรรพชนเผ่าเงือกที่อยู่ข้างๆ
“ไม่เลว ในที่สุดก็มีวิธีการที่ได้เรื่องได้ราว ก่อนหน้านี้ข้าก็กำลังคิดว่าการทดสอบครั้งนี้สำหรับเจ้าพวกหมาป่าเหล่านั้น มันง่ายเหลือเกิน
“นี่คือการทดสอบเสียที่ไหน นี่มันส่งมอบทรัพยากรชัดๆ ยังดีที่พวกเจ้าใจสู้ เพิ่มระดับความยากให้กับพวกเขาได้บ้าง ให้เจ้าพวกหมาป่าหน้าเนื้อใจเสือกลุ่มนี้ไม่ได้สบายเกินไปนัก”
……