ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 127 ศิษย์พี่ ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์
บทที่ 127 ศิษย์พี่ ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์
เกาะเงือกทั้งสี่เกาะวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด
ไอพลังประหลาดรุกรานอยู่ทุกชั่วขณะ พิษศพแผ่ลามตลอดเวลา
สีหน้าของผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกที่เหลือรอดทุกคนต่างเหี้ยมเกรียม ดุดันกว่าปกติ เหมือนคิดจะให้ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตายตกตามไปด้วย
แต่…ไม่นานนักผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกที่เหลือรอดก็ค้นพบสิ่งผิดปกติ
แม้พลังของงูยักษ์เก้าหัวแปดตัวบนเกาะจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งไอพลังประหลาดบนพื้นกับพิษศพ และศพที่ฟื้นคืนชีพจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่วนมากกลับเตรียมพร้อมตั้งนานแล้ว
ในบรรดาพวกเขามีคนที่เอาลูกกลอนสีขาวกำเบอเร่อออกมาแล้วกินลงไปเหมือนกินถั่วเคลือบน้ำตาล
แล้วก็มีบางคนที่เอาของวิเศษอักขระที่สามารถสกัดกั้นไอพลังประหลาดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ออกมา ใช้อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดใจเลยแม้แต่น้อย
แล้วก็มีบางส่วนที่เริ่มขุดหลุม เหมือนจะใช้วิธีซ่อนตัวเพื่อต้านทานกับคลื่นศพ คนที่ฝืนปะทะกับไอพลังประหลาดและพิษศพก็มี แต่ว่าคนที่ทำเช่นนั้นส่วนมากล้วนมีพลังบำเพ็ญที่ไม่ธรรมดา
ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรบางส่วนก็เอาเรือเวทของตัวเองออกมา แอบอยู่ข้างในคอยมองโลกภายนอก
แล้วก็ยังมีบางคนที่เอาจานค่ายกลออกมาวางค่ายกลเวท แล้วยังร้องเรียกลูกศิษย์คนอื่นๆ ให้เข้ามาได้โดยต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง
ที่เกินสมควรที่สุดคือบนเกาะอีเหม่ยฉี มีคนไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไร ควบคุมศพหลายสิบศพให้วนล้อมรอบ คอยกัดกินไอพลังประหลาดและพิษศพจากทั่วทุกทิศ ทำให้ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ในนั้น นอกจากจะอยู่อย่างสบายๆ ในนั้นแล้วยังเรียกร้องเชิญชวนให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ เข้ามาโดยมีเงื่อนไขชัดเจนได้อีกด้วย
วิธีต่างๆ นานา มากมายก่ายกอง…
กระทั่งว่ามีลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตบางคนมุดเข้าไปในคลื่นศพ ล้วงเอาถุงหนังบนศพมา ยิ่งใช้เป็นกับดักล่อซุ่มโจมตี มีให้เห็นไปทั่วทุกที่
เหมือนจะไม่สนใจงูยักษ์เก้าหัวแปดตัวนั้นเลย หรือจะบอกว่า ต่อให้มีงูยักษ์เก้าหัวแปดตัวนี้ แต่ก็ไม่อาจหยุดความคิดอยากรวยของพวกเขาได้เลย
เห็นได้ชัดว่ายากจนจนน่ากลัวแล้ว ส่วนใหญ่มีท่าทางอย่างถ้าไม่ฆ่าข้าให้ตาย ก็อย่ามาขวางทางหาทรัพยากรของข้ากันทุกคน
ภาพนี้ทำให้ในใจของผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทุกคนเกิดความรู้สึกไร้แรงในใจขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้แล้วว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะกลางท้องฟ้า นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่บนเรือรบบรรพกาลเดิมยังยืนดูเรื่องสนุก รู้สึกมีความสุขเพราะการฝึกฝนมีความยาก
แต่เสี้ยวพริบตาต่อมาเมื่อเขาเห็นงูยักษ์เก้าหัวแปดตัวนี้ ตาของเขาก็วาววาบขึ้นมาทันที เขาพลันยกมือขึ้นแล้วกดลงมาเต็มแรง ทันใดนั้นงูยักษ์เก้าหัวแปดตัวก็มีสามตัวส่งเสียงโหยหวนออกมาทันที ร่างระเบิดแหลกละเอียดกลายเป็นปราณหมอกดำพุ่งมายังค่ายกล แล้วถูกนายท่านเจ็ดดูดมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่รวมอยู่ที่มือ สีหน้าของเขาก็ค่อนข้างยินดี
“นี่เป็นของดี”
ในขณะเดียวกัน ขั้นผสานตันเถียนทั้งสิบสามคนที่อยู่รอบๆ ก็ใจหวั่นไหวเช่นกัน ต่างลงมือกันอย่างไม่สนใจอะไร เพียงแต่ยังมีค่ายกลอยู่ การลงมือของพวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่
แต่ตอนนี้ปราณหมอกดำแต่ละกลุ่มๆ ที่แทรกซึมมาบนค่ายกลก็ถูกพวกเขาดูดซับไปภายใต้ความสามัคคี
ผู้บำเพ็ญสร้างฐานกว่าร้อยคนที่อยู่ข้างๆ จะดูดายเฉยๆ ได้อย่างไร แต่ละคนต่างสำแดงฝีมือออกมา บางคนกระทั่งว่าบินเข้าไปใกล้ชายขอบค่ายกล ดูดซับอย่างบ้าคลั่ง
และภายใต้ความขยันขันแข็งของพวกเขา งูยักษ์ห้าตัวที่เหลืออยู่นอกค่ายกลก็เหมือนขาดสารอาหาร กลิ่นอายลดลงอย่างรวดเร็ว มีตัวหนึ่งกระทั่งว่าถูกดูดจนแห้งไปแล้ว เสียงกรีดร้องหายไป
สี่ตัวที่เหลือก็พลังลดฮวบจากระดับผสานตันเถียนที่รักษาไว้ได้ ไม่นานก็เหมือนอยู่ในระดับสร้างฐานขั้นต้น
อีกทั้งไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงลดลงอีก เพียงแต่ความเร็วลดลงเล็กน้อย
บรรพจารย์เผ่าเงือกมองภาพนี้ มองความปิติยินดีบนใบหน้าของผู้บำเพ็ญสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแต่ละคนๆ แล้ว ในใจของเขาก็สิ้นหวังโดยสมบูรณ์
“เป็นถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ตอนนี้สำนักนับตั้งแต่ที่เจิ้งข่ายอี้เป็นเจ้ายอดเขาที่เจ็ดก็เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว…”
ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่บนเกาะเงือกทั้งสี่เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ก็ใจหวั่นไหวนิดๆ พุ่งตัวออกไปร่วมมือกับสำนักตัวเอง ล้อมสังหารงูยักษ์
บนเกาะจวีอิง เสื้อผ้าของติงเซียวไห่โทรมขาดวิ่นแต่พลังรัศมีอำนาจท่วมท้น พุ่งออกไปหางูยักษ์ที่อยู่นอกเมืองกระดูกปลาเป็นคนแรก แล้วยังมีคนในสำนักอีกสามคนพุ่งออกมาจากทั้งสี่ทิศ ร่วมมือกับเขา
เพียงแต่สามคนนั้นลงมือเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แต่ติงเซียวไห่ทำไปเพื่อฆ่า
เสียงระเบิดดังสะท้อนก้อง สวี่ชิงมองภาพนี้ และมองคนทั้งสามที่ร่วมลงมือกับติงเซียวไห่ พวกเขาทุกคนล้วนไม่ธรรมดา ในนั้นมีเด็กสาวชุดนักพรตสีเทาคนหนึ่งดึงดูดสายตาเป็นที่สุด
เด็กสาวรูปร่างเล็กอรชร แต่โฉมงามสคราญดุจดอกพุดตาน คิ้วดุจใบหลิว ดวงตาที่งดงามเสียยิ่งกว่าดอกท้อช่างมีเสน่ห์ชวนลุ่มหลง เรือนผมงานปลิวพริ้วไปตามลม ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย งดงามโดดเด่น
ชุดนักพรตบนร่างของนางใหญ่หลวม แต่ในขณะที่ร่างขยับก็จะเห็นถึงความอวบอิ่มของทรวงอกและบั้นท้ายดุจลูกท้อของนางได้ โดยเฉพาะเอวที่คอดกิ่วนั่น ทำให้ร่างกายของนางเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนอื่นมาก
จางซานกลืนน้ำลาย แต่พลังกดดันที่มาจากงูยักษ์ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าพลังของตัวเองน่ากลัวว่าแค่ถูกหัวงูหัวหนึ่งฟาดมา ไม่ตายก็พิการ
สวี่ชิงสายตาเพียงกวาดไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์อะไร จุดที่เขาสนใจมองไปคือหัวงูยักษ์เก้าหัวตัวนั้น ตอนนี้ในสมองมีภาพของงูตัวนี้กับภาพวาดฝาผนังซ้อนทับกัน ทำให้ในขณะที่ตื่นตะลึง ก็เกิดความระแวดระวังอย่างมาก
เขากังวลว่างูตัวนี้ในเมื่อมีตัวตนอยู่ เช่นนั้นยักษ์ที่แบกโลกสองใบไว้บนบ่าตนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่
ส่วนทางนายกองตรงนั้น ตอนนี้ไม่ถามสวี่ชิงเรื่องขนนกแล้ว ร่างกายครึ่งเดียวของเขาเกาะอยู่บนหลังจางซาน ดวงตาที่จ้องงูยักษ์เขม็งฉายประกายแรงกล้า
“นี่มันของดีนี่นา ไอพลังประหลาดปลุกเร้าเข้มข้นขนาดนี้ ของสิ่งนี้เป็นอาวุธร้ายที่สามารถแอบเล่นงานคนได้เชียวนะ!
“ตอนนี้มันถูกค่ายกลควบคุมไว้ สะดวกไปจัดการ หากเอามาได้แล้วขายก็จะรวย คนบนเขาแย่งกันซื้อ คิดไม่ถึงเลย ติงเซียวไห่เจ้าเด็กนี่ปกติดูแล้วเป็นคนซื่อตรง แต่กลับเจ้าแผนการเหมือนกัน รู้ว่าเจ้านี่เป็นของดีก็เลยไปแย่งอย่างนั้นหรือ
“ไม่ได้ ของสิ่งนี้ข้าจะเอา
“จางซาน พวกเราลุย!!”
จางซานใบหน้ากระตุก หมุนตัววิ่งไปทางทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา ท่าทางเหมือนไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางไปรนหาที่ตายเด็ดขาด
“จางซานเจ้าอย่าปอดแหกสิ บุกเลย นั่นมันของดีมีราคาเชียวนะ”
“ให้ข้าจะวางเจ้าลง แล้วเจ้าคลานไปเองดีหรือไม่” จางซานย้อนถาม
นายกองถอนหายใจ หันไปมองสวี่ชิง
“สวี่ชิงเจ้าลุยเลยสิ เจ้านั่นมันของดีจริงๆ นะ”
สวี่ชิงไม่สนใจเขา หลังจากที่ตัวเองได้ของล้ำค่าสุดยอดมาแล้วก็ไม่อยากไปเสี่ยงภัยอะไรอีก ตอนนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในใจคือจะต้องอยู่ไปจนถึงการแข่งขันครั้งใหญ่สิ้นสุดลง รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กลับไปก็จะสร้างรากฐานทันที
เห็นสวี่ชิงก็ไม่ไปเหมือนกัน นายกองก็ถอนหายใจ เอาผิงกั่วที่กินเหลือเมื่อก่อนหน้า ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำไปแล้วออกมา มองไปทางงูยักษ์แล้วกัดไปคำหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายฉายความเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่งออกมา เหมือนรู้สึกว่าคนอื่นกำลังแย่งของของเขาอยู่
ในตอนนี้ พวกติงเซียวไห่สี่คนที่กำลังสู้กับงูยักษ์อยู่ที่ไกลๆ เด็กสาวสวยคราญคนนั้นในขณะที่เคลื่อนไปรอบตัวงูอย่างปราดเปรียวก็เหมือนสัมผัสได้ จู่ๆ หันหน้ามามองทางบริเวณที่พวกสวี่ชิงสามคนนั้นอยู่
ดวงตางดงามเมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา รีบพยักหน้าให้สวี่ชิงอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังทักทาย
เห็นสวี่ชิงทางนั้นไม่มองตัวเอง ยันต์บินทะยานของเด็กสาวกะพริบวูบวาบก็ทิ้งงูยักษ์บินมาทางสวี่ชิงทางนี้
เสียงแหวกอากาศรวดเร็วดังมา สวี่ชิงเงยหน้าอย่างระแวดระวังทันที เหล็กแหลมสีดำปรากฏขึ้นในมือ จ้องเด็กสาวที่บินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันพิษก็เตรียมพร้อมโปรยออกไป
เพิ่งเคยพบกัน อีกทั้งยังไม่รู้จักกัน อีกฝ่ายมาหาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ สวี่ชิงจำเป็นต้องป้องกัน
จางซานก็คิดเช่นกัน แต่เมื่อสังเกตเห็นท่าทางเตรียมโปรยพิษของสวี่ชิงก็ตกใจจนถอยหนีทิ้งระยะห่าง ขณะเดียวกันก็มองไปทางผู้มาเยือน
นายกองหรี่ตา สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“คารวะศิษย์พี่” เหมือนจะไม่สังเกตเห็นความระแวดระวังของสวี่ชิง เด็กสาวคนนี้วิ่งมาหาอย่างดีใจ มือขวายกขึ้นก็หยิบเอาปราณหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งออกมา
ของสิ่งนี้คือเนื้องูนั่นเอง เด็กสาวเก็บมันไว้ในขวดโปร่งแสงใบหนึ่ง
“ศิษย์พี่ ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์จากกรมข่าวกรอง ข้าอยากถามคำถามท่านคำถามหนึ่ง ถ้าท่านบอกข้า ข้าจะยกเนื้อชิ้นนี้ให้ท่านเป็นอย่างไร”
การมาเยือนของเด็กสาว เสียงไพเราะดุจนกกระจาบฝน แต่เหมือนนางจะไม่ค่อยเข้าใจสีหน้าสังเกตตรวจสอบสักเท่าไร ไม่รอสวี่ชิงตอบก็ถามคำถามของตัวเองออกไปทันที
“ศิษย์พี่ ท่านชอบงูหรือชอบดีงู”
เด็กสาวใบหน้าวาดหวัง เหมือนคำถามนี้ติดอยู่ในใจมานานมากๆ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้โอกาสจึงมาถาม ถามจบก็จ้องสวี่ชิงเขม็ง เมินนายกองกับจางซานโดยสิ้นเชิง
จางซานมองเด็กสาวที่แม้จะตัวเล็กแต่รูปร่างเย้ายวนจนเกินสมควร แล้วก็มองสวี่ชิง ก็ทอดถอนใจ
คิ้วสวี่ชิงขมวด ถอยหลังไปสามสี่ก้าวตามสัญชาตญาณ ในขณะเดียวกับที่ใจระแวดระวังก็แปลกใจกับคำถามของอีกฝ่ายมาก ดังนั้นจึงเอ่ยตอบกลับไปช้าๆ
“ดีงูขมเกินไป”
“เช่นนั้นก็ชอบงูสินะ!”
เด็กสาวได้ยินประโยคนี้ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย และนางก็เหมือนจะไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ ความดีใจ มีความสุขล้วนแปะไว้ที่หน้า ตื่นเต้นจนหมุนตัวรอบหนึ่งด้วย
จากนั้นนางก็โยนขวดเล็กในมือให้สวี่ชิง วิ่งจากไปอย่างพึงพอใจ เหมือนจะไปสู้กับงูเก้าหัวต่อ
นายกองที่อยู่บนหลังจางซานมองขวดเล็กในมือสวี่ชิง จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงสูงไปหาเด็กสาวที่วิ่งจากไปไกล
“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ เจ้าถามคำถามข้าคำถามหนึ่งได้ สามคำถามก็ได้ ไม่อย่างนั้นสิบคำถามก็ได้!”
หลิงเอ๋อร์หันหน้ามา แลบลิ้นให้นายกองแล้ววิ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
นายกองใบหน้าโกรธเคือง ตบหัวจางซาน เสียงแฝงด้วยความไม่พอใจนิดๆ
“อาศัยอะไร ข้าเองก็หน้าตาไม่เลวเช่นกัน สิบคำถามคุ้มไม่เท่าคำถามเดียวที่ถามสวี่ชิงหรือ”
“เจ้าบอกว่าอาศัยอะไร ท่อนล่างเจ้าไม่มีแล้ว เจ้าอาศัยอะไร” จางซานเอ่ยเสียงเย็น
นายกองอึ้งไปเล็กน้อย คิดอยากจะโต้เถียง แต่มองท่าทางที่เหมือนจะปล่อยมือโยนตัวเองทิ้ง กระนั้นแล้วจึงอดทนเอาไว้
เวลาก็ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้ งูยักษ์สี่ตัวที่เหลืออ่อนแรงลงจากการดูดซับไม่หยุดของผู้บำเพ็ญบนเขายอดเขาที่เจ็ดที่อยู่นอกค่ายกล
รวมกับเหล่าลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดในค่ายกลที่ต่างคาดเดามูลค่าได้ ก็บุกรุมไปเหมือนลูกหมาป่า ดังนั้นงูยักษ์แต่ละตัวๆ ก็ค่อยๆ ทยอยแตกสลายไป
การแข็งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้สิ้นสุดลงตามเศษชิ้นส่วนของงูใหญ่ตัวสุดท้าย
ค่ายกลบนท้องฟ้าเปิดออกเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในขณะนี้เอง โลกภายนอกสดใส แสงอาทิตย์ที่มืดไปนานสาดแสงลงมา กระทบต้องไปในเผ่าเงือกที่บอบช้ำแสนสาหัส และกระทบต้องร่างของลูกศิษย์ที่กระเป๋าตุงกันไปทุกคน
แม้จำนวนลูกศิษย์ที่ตายไปจะมากกว่าครึ่ง แต่ทุกคนที่เหลือรอดเหล่านี้ดวงตาล้วนฉายประกายเจิดจ้าท่ามกลางแสงอรุณรุ่ง
สวี่ชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเงยหน้ามองผู้บำเพ็ญบนท้องฟ้า สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่เงาร่างที่ยืนอยู่บนหัวเรือศึกบรรพกาล
“พวกเจ้าทำได้ไม่เลว ต่อไปยอดเขาเจ็ดเราน่าจะมีระดับสร้างฐานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งแล้ว ข้ายินดีกับพวกเจ้าล่วงหน้า”
เสียงแก่ชราแฝงด้วยความพอใจดังสะท้อนก้องฟ้าดิน