ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 138 นี่ก็คือสภาวะแสงนภา!
บทที่ 138 นี่ก็คือสภาวะแสงนภา!
บนถนนที่มุ่งหน้าสู่กรมขนส่ง สวี่ชิงผ่านร้านยอดเขาที่หกที่วันนั้นพยายามจะวางแผนทำร้ายตน เมื่ออยู่ที่หน้าร้านนี้ ฝีเท้าของสวี่ชิงก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวกับที่เขาหยุด จากความเคารพยำเกรงของผู้คนที่อยู่รอบๆ ผู้ดูแลและลูกจ้างในร้านสีหน้าเปลี่ยนไปมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว หมอบคารวะอยู่ตรงนั้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
“คารวะผู้อาวุโส”
สวี่ชิงมองผู้ดูแลที่อยู่ข้างหน้าคนนี้อย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
เหงื่อเย็นชื้นไหลจากหน้าผากผู้ดูแลหยดลงพื้น หลังของเขาเปียกชุ่ม ในตอนนี้จิตใจหวาดกลัวสุดขีดแล้ว
ความรู้สึกวิกฤตเป็นตายรุนแรงมหาศาล
เขาไม่แม้แต่จะฝันว่าสวี่ชิงคนนี้จะเป็นระดับสร้างฐานแล้ว…ก่อนหน้านี้คนที่เขากลัวคือองค์หญิงสองแห่งยอดเขาที่เจ็ด ไม่ได้สนใจสวี่ชิงสักเท่าไร
จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ดูแล เป็นผู้ติดตามของผู้ดูแลเมฆาอิสระแห่งยอดเขาที่หก ลูกศิษย์ล่างเขาไม่มีใครกล้าแตะเขา แต่หากอีกฝ่ายก็เป็นระดับสร้างฐานเหมือนกัน…เขาไม่คิดว่าเจ้านายของตัวเองจะยอมแตกหักกับผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันเพื่อตน
ตอนนี้เขากำลังตัวสั่นสะท้าน สวี่ชิงดึงสายตากลับมา ไม่พูดอะไร ไปจากที่นี่
จวบจนเขาจากไปแล้ว ผู้ดูแลคนนี้ก็เข่าอ่อนไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าตัวเองเดินวนรอบระหว่างความเป็นตายไปรอบหนึ่ง
สวี่ชิงไม่ฆ่าเขาเพราะค่อนข้างแพง
นอกจากนั้นเขาก็ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จะอย่างไรนักพรตเมฆาอิสระที่อยู่ข้างหลังอีกฝ่าย สวี่ชิงเค้นจากบรรพจารย์สำนักวัชระทางนั้นตั้งนานแล้ว กระทั่งว่าสลักชื่อของอีกฝ่ายไว้บนแผ่นไม้ไผ่ของตัวเองแล้วด้วย
แต่เขายังไม่มีโอกาส
ตอนนี้วางเรื่องนี้ไว้ก่อน ในที่สุดสวี่ชิงก็รู้ถึงสาเหตุแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ตนจึงพบผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานข้างล่างเขาไม่มากนัก เพราะระลอกคลื่นที่เกิดจากการปรากฏตัวขึ้นของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานยิ่งใหญ่มาก
เดินไปที่ใดล้วนเป็นจุดรวมของสายตานับไม่ถ้วน
นอกเสียจากจะเป็นคนที่เดิมทีก็ชอบโอ้อวดอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วจะทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากในสภาวะเช่นนี้ โดยเฉพาะสวี่ชิงชอบเดินในเงามืด ถูกคนมากมายจับจ้องทำให้เขาไม่สามารถและไม่คิดจะปรับตัวเลย
ความจริงแล้วระดับสร้างฐานของยอดเขาที่เจ็ดล้วนเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการที่สังหารฟันฝ่าจากล่างเขามาทั้งนั้น ย่อมไม่ชอบแบบนี้อยู่แล้ว
“คนอื่นๆ ทำอย่างไร” สวี่ชิงพึมพำ ในใจเดาคร่าวๆ
ในขณะที่ขบคิด สวี่ชิงเร่งความเร็วตลอดทาง มุ่งตรงไปที่กรมขนส่ง ระหว่างเดินทางเขาก็ได้ใช้แผ่นหยกถามจางซาน และอีกฝ่ายก็ได้ตอบมาแล้วว่าอยู่ที่กรมขนส่ง
ดังนั้นเมื่อสวี่ชิงเห็นกรมขนส่ง เขาก็เห็นเงาร่างจางซานที่อยู่ในชุดนักพรตสีเทาทั้งชุด และเห็นนายกองที่ครึ่งท่อนล่างตอนนี้งอกออกมาแล้ว สวมชุดนักพรตสีเทาเหมือนกันอยู่ข้างเขา
คนงานที่ทำงานในกรมขนส่งสัมผัสไม่ได้ว่าทั้งสองคนมีอะไรที่แตกต่างออกไป แต่สวี่ชิงหลังจากที่ทะลวงขั้นสร้างฐานได้แล้วสัมผัสรับรู้แข็งแกร่งขึ้นกว่าอดีตมาก มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสองคนนี้ทะลวงระดับสร้างฐานได้แล้วเช่นกัน เพียงแต่เก็บกลิ่นอายเอาไว้อยู่
ตอนนี้พวกเขานั่งยองๆ อยู่บนกระสอบทราย คนหนึ่งสูบบ้องยาสูบ คนหนึ่งกินผิงกั่ว แสงอาทิตย์ส่องบนร่างของพวกเขา สะท้อนให้ชุดนักพรตบนร่างของทั้งสองเกิดเป็นแสงพราวพร่างระยิบระยับเล็กน้อย
การมาถึงของสวี่ชิงดึงดูดสายตาของพวกเขา โดยเฉพาะหลังจากที่สังเกตเห็นชุดนักพรตสีม่วงของสวี่ชิง นายกองก็เผยสีหน้าได้ใจออกมา ส่วนจางซานนั้นกลับถอนหายใจ
“เจ้าแพ้แล้ว” นายกองเอ่ยพลางมองไปทางจางซานอย่างดีใจ
จางซานเอาหินวิญญาณออกมาก้อนหนึ่งให้นายกอง
สวี่ชิงมองภาพนี้แวบหนึ่ง มั่นใจในการคาดเดาเรื่องผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานล่างเขาของตัวเอง
“สวี่ชิงไยเจ้าจึงสวมชุดนักพรตสีม่วงเล่า พวกเราผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของยอดเขาที่เจ็ดนอกเสียจากว่าจะมีงานใหญ่ มิฉะนั้นแล้วจะไม่สวมชุดนักพรตม่วงกัน มันเป็นจุดสนใจมากเกินไป”
จางซานยิ้มซื่อๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนิทสนม ต่อให้ตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจลืมความเหี้ยมโหดของสวี่ชิงในการแข่งขันครั้งใหญ่ ดังนั้น ท่าทีจึงกระตือรือร้นมาก และบอกถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเขากับนายกองจึงไม่ใส่ชุดนักพรตสีม่วง
“พอเจ้ากลับไปก็รีบๆ เปลี่ยนเสียเถอะ นอกจากนั้นแล้วก็อย่าไปอยู่บนเขาบ่อยๆ บนเขาเหงาจะตาย เจ้าค้นพบแล้วหรือไม่ ความจริงแล้วผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานบนเขามีไม่กี่คนหรอก ข้าจะบอกเจ้าให้ พวกเขาคนเจ้าเล่ห์พวกนั้นแต่ละคนล้วนสวมชุดนักพรตเทาซ่อนอยู่ล่างเขา เก็บซ่อนกลิ่นอายกันทั้งนั้น เมืองหลักที่นี่เจริญรุ่งเรือง คึกคัก สะดวกจะตาย”
สวี่ชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
ส่วนนายกองตอนนี้เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มองสวี่ชิงแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยขึ้นว่า
“สวี่ชิง ก่อนหน้านี้ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเคยเจอผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่สวมชุดเทามาแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่เจ้าไม่รู้เองก็เท่านั้น พวกเรายอดเขาที่เจ็ดมีไม่กี่คนที่สวมชุดม่วงอยู่ตลอด บินไปบินมาเหมือนอย่างผู้ดูแลหลี่หรอก แต่เขาติดตามผู้อาวุโสเจ้าถึงได้มาเป็นแบบนี้ ส่วนจางอวิ๋นซื่อนั่นคือความจำเป็นของการทำงาน ได้ยินมาว่าเขาชอบต้อนรับสมาชิกใหม่”
“นอกจากนั้น…” นายกองพูดถึงตรงนี้ก็กัดผิงกั่วคำโต ก่อนจะกระแอมออกมา
“รองเจ้ากรมสวี่ หินวิญญาณหมื่นก้อนที่เจ้าติดข้าเจ้ากรมคนนี้เมื่อไรจึงจะคืนเล่า”
สวี่ชิงเมื่อได้ยินก็มองนายกองแวบหนึ่ง ระลอกคลื่นในตัวอีกฝ่ายมองด้วยพลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานของตัวเขาเองในวันนี้ ก็เหมือนกับในอดีต ล้วนมองไม่ทะลุ
“เจ้ากรมหรือ” สวี่ชิงถามขึ้น
“ใช่แล้ว พอข้ากลับมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมของกรมปราบพิฆาต รองเจ้ากรมสวี่ เจ้าต้องรีบหาหินวิญญาณนะ ข้าเจ้ากรมคนนี้ช่วงนี้ค่อนข้างจะตึงมือ”
บนใบหน้าของนายกองเผยแววได้ใจเล็กน้อยพลางมองสวี่ชิง เหมือนอยากเห็นความอิจฉาของสวี่ชิง
“ขอแสดงความยินดีกับนายกองด้วย” สวี่ชิงกวาดตามองร่างที่สมบูรณ์ของนายกอง ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเตือน ก็เอ่ยปากขานรับ
“ฮ่าๆ รองเจ้ากรมสวี่คุยเล่นแบบนี้ ข้าเจ้ากรมคนนี้มีความสุขนัก แต่ว่าข้าต้องแก้เจ้าสักหน่อย ต้องเรียกข้าว่าเจ้ากรม”
“ได้ขอรับนายกอง” สวี่ชิงพยักหน้า
“เจ้ากรม!” นายกองกัดผิงกั่วคำหนึ่งอย่างแน่วแน่ เอ่ยแก้
“อืม” สวี่ชิงพยักหน้า หยิบผิงกั่วออกมาจากกระเป๋าเสื้อสามลูก ให้นายกองและจางซานคนละลูก
จางซานยิ้มพลางเอ่ย
“เจ้าสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว สวี่ชิง เรือเวทของเจ้าข้าหลอมเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวจะพาเจ้าไปดู เฮ้อ ครั้งนี้พวกเราสามคนสามารถทะลวงระดับสร้างฐานสำเร็จกลับมาได้อย่างราบรื่น คิดแล้วอย่างกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย
“คิดไม่ถึงว่าข้าจางซานคนนี้ก็จะมีวันที่กลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานได้เหมือนกัน ได้ยินว่าหลังจากการแข่งขันครั้งใหญ่จบลง หลายคนก็ล้วนสร้างฐานกัน ติงเซียวไห่ก่อนหน้านี้ก็ทะลวงระดับสร้างฐานในสำนักสำเร็จแล้วเช่นกัน” จางซานเอ่ยทอดถอนใจ
“เจ้าว่าเขาโง่หรือไม่ คนอื่นสู้สุดตัวเพื่อความร่ำรวย เขาทุ่มสุดตัวเพื่อตำแหน่งศิษย์หลักบ้าบอ สุดท้ายเพิ่งได้มาก็ทะลวงระดับสร้างฐานแล้ว ตำแหน่งศิษย์หลักได้มาเสียเปล่า” นายกองกินผิงกั่วที่สวี่ชิงให้ด้วยใบหน้าไม่อยากเชื่อ
“พวกเจ้าสองคนอย่าทำแบบนั้นนะ รองเจ้ากรมสวี่ยังดี เจ้านี่ใจมุ่งแต่จะร่ำรวย ไม่บุ่มบ่ามวู่วาม จางซาน เจ้าต้องระวังให้ดีนะ
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ช่วงนี้ข้าขบคิดแผนการใหญ่ขึ้นมาแผนหนึ่ง ตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูล หากข้ารวบรวมเรียบร้อยแล้ว จะพาพวกเจ้าไปทำการยิ่งใหญ่ ครั้งนี้สุดยอดกว่าเลือดเนื้อจวีอิงอีก”
นายกองพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าก็ฉายความลึกลับออกมา ในดวงตาเต้นระริกด้วยความบ้าคลั่ง
จางซานระแวดระวังขึ้นมาทันที สวี่ชิงก็หวาดระวังขึ้นมาเช่นกัน
“สีหน้าของพวกเจ้าสองคนหมายความว่าอย่างไรกัน” นายกองถลึงตาใส่
“ไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว ข้ายังต้องไปรวบรวมข้อมูลอีก รอข้ารวบรวมให้ดีก่อน แต่พลังบำเพ็ญของพวกเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน ต้องรีบก่อไฟชีวิตให้ได้ มีความสามารถในการเปิดสภาวะแสงนภา ไม่อย่างนั้นร่วมแผนการของข้าไม่ได้” นายกองพูดพลางลุกขึ้น 艾琳小說
“สภาวะแสงนภาคืออะไรกันแน่” สวี่ชิงถาม หลังจากที่เขาสำเร็จระดับสร้างฐานสำเร็จสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดก็คือสภาวะแสงนภาคำนี้ เข้าใจทฤษฎีของมัน แต่ไม่เคยพบเห็น
จางซานก็มองนายกองอย่างสงสัยใคร่รู้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้เพียงตื้นๆ เช่นกัน ในเมื่อก่อนหน้านี้ที่เป็นระดับรวมปราณ เขาได้สัมผัสกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานน้อยยิ่ง
“อยากรู้หรือ” นายกองกวาดตามองสวี่ชิงกับจางซาน ก่อนจะหัวเราะ
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าสองคนจะมาเป็นสหายร่วมกลุ่มกับข้าในอนาคต ข้าจะพูดให้พวกเจ้าฟังสักหน่อย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจึงต้องไปเอาเนื้อจวีอิงมา เพราะสิ่งมีชีวิตประเภทเทพระดับนั้น หลังจากที่กลืนกินเลือดเนื้อของมันไปในปริมาณที่มากพอ จะทำให้ช่องเวทของผู้บำเพ็ญถูกทะลวงเยอะมากในเสี้ยวพริบตา ทำให้ข้าก่อไฟชีวิตกองแรกสำเร็จ”
“ดังนั้น อะไรคือสภาวะแสงนภา ข้าไม่อธิบายแล้ว ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดู”
นายกองพูดพลาง จู่ๆ ในร่างเขาก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังออกมา เสียงนี้ระเบิดดังขึ้นปานอัสนีสวรรค์ ในขณะที่ดังคำรามลั่นไปทั่วทุกทิศ ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวกลุ่มหนึ่งก็พลันปะทุออกมาจากร่างเขา
สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ร่างถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ดวงตาต้องนายกองที่อยู่ข้างหน้าเขม็ง ความรู้สึกตื่นตะลึงปรากฏในดวงตาเขาอย่างรวดเร็ว
นายกองตอนนี้ ในร่างเหมือนมีเตาไฟขนาดมหึมาจุดติดขึ้น ในขณะที่พลังร้อนแต่ละกลุ่มๆ ปะทุออกมาจากในร่างของเขาแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศสนั่นหวั่นไหว ความแข็งแกร่งของระลอกคลื่นพลังในตัวก็เหมือนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหลายเท่า
ร่างของเขายิ่งเหมือนกลายเป็นมนุษย์เพลิง เงาข้างหลังน่าครั่นคร้าม ทำให้คนแค่มองไปดวงตาทั้งสองก็แสบร้อนเลาๆ กระทั่งว่ารอบๆ ล้วนบิดเบี้ยว แล้วร่างของเขาก็พลันขยับขึ้นมาในเสี้ยวขณะนี้
สวี่ชิงเห็นเพียงแค่รอยเงากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าสมองส่งเสียงดังวิ้งลั่น วิกฤตเป็นตายรุนแรงทำให้เขาถอยไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี
ร่างของนายกองก็มาอยู่ข้างเขาทันที มือขวาจ่ออยู่ข้างหน้าเขา
ในมือมีเส้นผมของสวี่ชิงเส้นหนึ่ง ตอนนี้ภายใต้อุณหภูมิสูงมันกำลังบิดม้วนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นเศษเถ้า
สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก เตาไฟในร่างของนายกองที่อยู่ข้างๆ ดับลงทันที ทั้งคนกลับสู่สภาวะปกติ ยิ้มให้สวี่ชิง
“รองเจ้ากรมสวี่ หากเมื่อครู่ข้าจะฆ่าเจ้า ตอนนี้…เจ้าได้ตายไปแล้ว”
สวี่ชิงลมหายใจถี่กระชั้น ไม่พูดอะไร แต่ในใจมีคลื่นยักษ์ท่วมฟ้าซัดถาโถม ความเข้าใจต่อสภาวะแสงนภาก่อนหน้านี้ของเขาล้วนแต่เป็นคำบอกเล่าและคำบรรยายจากแผ่นหยกทั้งนั้น ตอนนี้ได้เห็นของจริงแล้ว ความรู้สึกรุนแรงมาก
เสี้ยวพริบตาเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกที่เขามีต่อนายกองคือไม่สามารถต่อกรได้เลย
“แน่นอนข้ามันอัจฉริยะ คนอื่นๆ เปิดสภาวะแสงนภาจะไม่ร้ายกาจขนาดข้าแบบนี้ แต่เจ้าก็สู้ไม่ได้หรอก เพราะสภาวะแสงนภาคือการปะทุระดับสุดยอดของช่องเวทในร่าง ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานในเสี้ยวพริบตานั้น วิชาเวทและกายเนื้อจะถึงระดับขีดจำกัดสูงสุด แม้จะไม่นานแต่ฆ่าคนหรือหนีเอาชีวิตรอดก็แข็งแกร่งเพียงพอแล้ว”
นายกองเอ่ยอย่างได้ใจ
“สภาวะแสงนภา มีเพียงฝึกฝนสภาวะแสงนภาเหมือนกันเท่านั้นจึงจะสามารถต่อกรได้”
“และผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ไม่ได้เปิดสภาวะแสงนภาก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญไก่ๆ เท่านั้น”
“ดังนั้น อาชิงน้อย เจ้าอย่าได้เข้าใจระดับสร้างฐานผิดเพราะผู้บำเพ็ญไก่ๆ ที่เคยเห็นพวกนั้นเชียวล่ะ”
“เจ้าต้องสู้ๆ เข้านะ หินวิญญาณสองหมื่นก้อนที่ติดข้าอยู่ จำไว้ว่ารีบเอามาคืนข้า”
นายกองพูดพลางยิ้มตาหยี กินผิงกั่ว เดินออกไปข้างนอก ไม่กี่ก้าวก็เหยียบไปกลางอากาศแปลงเป็นสายรุ้ง จุดมุ่งหมายไม่ใช่ยอดเขา แต่ยังคงเป็นกรมปราบพิฆาตเช่นเดิม
สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองเงาร่างของนายกองที่จากไปไกล ตอนนี้ความรู้สึกถึงวิกฤตเป็นตายรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เขาจะต้องรีบเปิดช่องเวท เขาจะต้องรีบเปิดให้ได้สามสิบช่องโดยเร็วที่สุด ก่อไฟชีวิตให้ได้ และมีสภาวะแสงนภาจากการนั้น!
จางซานเงียบนิ่งไปเช่นกัน ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เขาก็ยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า
“นายกองเป็นตัวประหลาด…ไปเถอะ ข้าจะพาไปดูเรือใหญ่เวทของเจ้า”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เก็บสายตาที่มองเงาร่างนายกองจากไปกลับมา เดินเงียบนิ่งตามไปตลอดทาง แต่ความฮึกเหิมในใจกลับยิ่งรุนแรงขึ้น
“ทันทีที่ข้าก่อไฟชีวิตได้ ก็จะเหมือนมีดวงไฟชีวิตสองดวงภายใต้การเพิ่มพลังจากตะเกียงแห่งชีวิต!”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เดินตามจางซานมาถึงคลังภายใต้ความรู้สึกร้อนรุ่มอัดแน่นในใจ เรือใหญ่เวทที่มาพร้อมด้วยความรู้สึกเคยคุ้นสองสามส่วน แต่ความรู้สึกไม่คุ้นเคยกลับมีมากกว่าก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าเขาจากประตูที่เปิดออก
เรือใหญ่ห้าสิบจั้งติดคราบกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานเต็มไปหมด รูปร่างของมันก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เรือที่ปรากฏต่อหน้าสวี่ชิงไม่ใช่จระเข้ในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นกิ้งก่าทะเลตัวหนึ่ง!
ในขณะเดียวกับที่ระลอกคลื่นคุณสมบัติเทพแข็งแกร่งมาก ปีกเรือเวทในอดีตก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน มันกลายเป็นปีกเนื้อที่งอกอยู่ข้างตัวกิ้งก่าทะเลตัวนี้ทั้งสองข้าง
ความเหี้ยมโหดและความคลุ้มคลั่งปะทะหน้ามา
“สวี่ชิง นายกองแบ่งเนื้อจวีอิงให้เจ้ากับข้าชิ้นเล็กๆ ข้าเพิ่มมันให้เจ้าบนนี้แทนแหล่งกำเนิดพลังหลัก ทำให้เรือเวทของเจ้ายกระดับขึ้นเป็นเรือใหญ่เวทที่แท้จริง!
แน่นอน หากเจ้าไม่อยากก็เอามันออกได้ แต่ข้าคิดว่าวางไว้บนเรือใหญ่เวทดีกว่า มีเรือใหญ่ลำนี้อยู่ ความสามารถในการมีชีวิตรอดในทะเลต้องห้ามของเจ้าจะยกระดับขึ้นอีกมาก!”