ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 140 ตกอสูร
บทที่140 ตกอสูร
พูดถึงสงคราม สวี่ชิงไม่เคยมีประสบการณ์ แต่เขาเคยเห็นสิ่งที่คล้ายๆ กันมาแล้ว
เพียงแต่ระดับชั้นมันห่างกันเหลือเกิน
สิ่งที่เขาเห็นคือเมืองเล็กที่ถ้ำยาจกตั้งอยู่ต่อสู้กับเมืองอีกแห่งหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนั้นกินเวลาไปเจ็ดแปดวัน
‘แล้วสงครามของเจ็ดเนตรโลหิตกับโลกภายนอกจะกินเวลานานเท่าไรกัน’ ในหัวสมองสวี่ชิงปรากฏภาพการแข่งขันครั้งใหญ่ในเผ่าเงือกเป็นฉากๆ ออกมา นานพอดูจึงหลุบสายตาลง
มีประโยคหนึ่งที่นายกองพูดไว้ถูกต้อง เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรกังวล เหล่าคนใหญ่โตของสำนักต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่จะชี้นำเรื่องทั้งหมด
‘ถ้าข้าจะทำ นอกเสียจากว่าผลประโยชน์จะเพียงพอ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เข้าร่วมการรบแน่นอน’ สวี่ชิงหมุนตัวเดินกลับไปถ้ำพำนัก ตอนนั่งลงขัดสมาธิก็ล้วงเอาแผ่นหยกเคล็ดเลี้ยงชีวันออกมา
คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณแม้จะเป็นวิชา แต่ส่วนใหญ่คือใช้การฆ่าสังหารมาฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นในบางระดับจะบอกว่ามันเป็นวิชาเวทก็ใกล้เคียงอยู่มาก หลังจากฝึกบำเพ็ญไปเรื่อยๆ ก็จะมีกระบวนท่าวิชาเวทที่สอดคล้องกันจากการเปิดออกของช่องเวทอีกด้วย
แต่เคล็ดเลี้ยงชีวันนั้นแตกต่างออกไป มันใช้เพียงร่างกายของผู้บำเพ็ญมาทำการสูดและผ่อนปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อฝึกบำเพ็ญ คล้ายกับคัมภีร์แปรสมุทร ค่อยๆ ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เปิดช่องเวทไปทีละช่องๆ
ดังนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่า ความคิดของตนเองก่อนหน้านี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก สองวิชานี้อันที่จริงสามารถฝึกบำเพ็ญพร้อมกันได้ ใครจะเป็นหลักเป็นรองก็ไม่สำคัญ เพราะทั้งหมดในช่วงสร้างฐาน ล้วนเน้นการเปิดช่องเวทเพื่อสร้างไฟชีวิตเป็นหลักอยู่แล้ว
ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิตอนนี้ ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวัน
หนึ่งคืนผ่านไป
วันที่สอง สีท้องฟ้าเพิ่งสว่าง พริบตาที่ดวงตะวันแรกลอยขึ้น สวี่ชิงก็ลืมตาจากการที่แสงตะวันสาดลงมาราวกับเปลวเพลิงหลายสาย
เขาจัดเรียงอาวุธและผงพิษของตนเองรวมไปถึงของวิเศษอักขระที่ซื้อมาอย่างสงบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจัดการสะกดเงาอย่างที่ทำเป็นประจำ แล้วจึงเปิดประตูถ้ำพำนักออก มองเช้าวันใหม่ที่เมฆขาวฟ้าโปร่งไกลๆ สะท้อนสีแดงฉานราวกับเตาไฟกว้างใหญ่ไพศาล
‘ต้องเดินเรือออกทะเลไปสังหารอสูรทะเล รับเอาวิญญาณของพวกมันมาทะลวงช่องเวท’
ร่างกายสวี่ชิงเดินออกไป ย่ำขึ้นไปกลางอากาศ ใต้ร่างมีอสูรคอยาวบรรพกาลปรากฏออกมา ขณะเงยหน้าขึ้นคำรามครีบทั้งสี่ก็โบกไหวราวกับจะทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นมหาสมุทร ปลดปล่อยความเร็วที่น่าตกตะลึงพาสวี่ชิงทะยานตรงสู่เส้นขอบฟ้า
ทะเลไร้ขอบเขต คลื่นทะเลดำทะมึน
สีดำนี้เมื่อเทียบกับความสว่างของท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดเข้มข้นราวกับน้ำหมึก และเนื่องจากความลึกเกินหยั่งถึงและความไม่รู้ ทำให้คนอดเกิดความกริ่งเกรงอย่างแรงกล้าขึ้นมาในใจไม่ได้
แม้จะไม่ใช่การเดินเรือออกทะเลครั้งแรก แต่ตอนนี้อยู่เหนือท้องทะเล ในใจสวี่ชิงยังคงไม่แตกต่างจากที่เคยนัก กระทั่งระแวดระวังและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
เพราะในสำนักยังมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่ แต่ด้านนอกสำนักนั้น…จะเรื่องอะไรก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ได้ห้อทะยานอย่างโอ้อวด แต่ล้วงเอาเรือเวทออกมา ขณะเดียวกันก็เปิดการอำพราง ทำให้เรือเวทของตนเองดูปกติอย่างมาก จากนั้นจึงนั่งลงขัดสมาธิบนดาดฟ้าเรือ รอบด้านมีเกราะคุ้มกันครอบลงมา
‘บนเรือยังสบายกว่าถ้ำพำนักเสียอีก’ สวี่ชิงนั่งอยู่บนเรือ ขณะที่ทอดถอนใจก็ควบคุมเรือเวทตรงไปยังพื้นที่ที่เขากำหนดไว้แล้ว
พื้นที่นั้น เขาเคยไปมาแล้ว คือจุดที่พบกับอสูรคอยาวบรรพกาลพร้อมกับเจ้าจงเหิงและติงเสวี่ยในครั้งนั้นนั่นเอง
เพราะเป้าหมายการล่าของเขา ก็คือ…อสูรคอยาวบรรพกาล
การเปิดช่องเวทต้องใช้วิญญาณ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองในเมื่อตัดสินใจจะใช้วิญญาณของอสูรทะเลเป็นเชื้อฟืน เช่นนั้นอสูรคอยาวบรรพกาลที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อตนเองในครั้งนั้น จึงเป็นตัวเลือกแรกไปโดยปริยาย
เพียงแต่เขาเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวเดียวกัน แต่ที่นั่นมีอสูรคอยาวบรรพกาลปรากฏตัว ไปดูเสียหน่อยก็น่าจะดี
สวี่ชิงจึงเดินทางพลางฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวันไปด้วย ไม่ยอมเสียเวลาเปล่าเลย ขณะเดียวกันก็เก็บดวงชีพอสูรคอยาวบรรพกาลของเขาเข้าช่องเวทด้วย
ถ้ากลิ่นอายดวงชีพอสูรคอยาวบรรพกาลของตนเองที่เป็นระดับสร้างฐานปรากฏตัว สวี่ชิงกังวลว่าด้วยนิสัยระมัดระวังตามสัญชาตญาณของอสูรคอยาวบรรพกาลเหล่านี้เกรงว่าคงจะไม่ยอมปรากฏตัวออกมาแน่
ช่วงนี้เขาก็มองเห็นเรือที่ไม่ได้มาจากเจ็ดเนตรโลหิตบางส่วนในทะเล สวี่ชิงระแวดระวังอย่างมากทุกครั้ง แม้ตอนนี้จะเป็นระดับสร้างฐาน แต่ความระมัดระวังของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
และการพบกับเรือแปลกหน้าบนท้องทะเล ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง และลอยห่างกันและกันไปด้วยความระมัดระวัง
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ สามวันต่อมาในที่สุดสวี่ชิงก็มาถึงพื้นที่ทะเลในวันนั้นด้วยความเร็วของระดับสร้างฐาน ตอนนี้คือช่วงกลางวัน บนท้องฟ้ามีนกทะเลหลายตัวบินอยู่ เสียงร้องดังกึกก้อง
สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดานเรือ ก้มหน้ามองทะเลต้องห้ามสีดำ ปล่อยสัมผัสกระจายออกไปสังเกตความเคลื่อนไหวใต้ทะเล
รออยู่นาน ก็ยังไม่พบอสูรคอยาวบรรพกาล
สวี่ชิงครุ่นคิดพักหนึ่ง จัดการเก็บคลื่นพลังของเรือเวท ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นสังเกตบนท้องฟ้า กระทั่งครู่ต่อมาเขาก็เล็งไปที่นกทะเลบรรพกาลตัวหนึ่งที่เหมือนจะหยั่งเชิงอยู่ว่าตัวเขาเป็นอาหารหรือไม่ คอยบินวนอยู่รอบๆ
พอโบกมือเหล็กแหลมสีดำก็บินลอยออกจากมือเขา พุ่งตรงไปบนท้องฟ้า นกทะเลบรรพกาลสะดุ้งตกใจคิดจะหนี แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ถูกเหล็กแหลมสีดำแทงทะลุปีกไป
ขณะที่นกทะเลบรรพกาลเสียงร้องแหลมดังออกมา สวี่ชิงก็ควบคุมเหล็กแหลมสีดำดึงมันลงมาทั้งเป็นให้ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ หลังจากทำให้มันดิ้นรนหนีไปไม่ได้ สวี่ชิงก็เฝ้ารออย่างระมัดระวัง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ตอนที่การกระเสือกกระสนของนกทะเลบรรพกาลเริ่มอ่อนแรง จู่ๆ สวี่ชิงก็ม่านตาหดเล็กลง เขาสังเกตเห็นว่าใต้ทะเลมีกระแสน้ำลึกหลั่งทะลักเข้ามา จากนั้นไม่นานอสูรคอยาวบรรพกาลขนาดสามร้อยกว่าจั้งที่ใหญ่โตกว่าครั้งที่แล้วตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา
กลิ่นอายของมันน่าตกตะลึงมาก แทบจะอยู่ระหว่างรวมปราณและสร้างฐานเลย แต่แค่ร่างกายที่น่าตกตะลึงของมัน พลังรบก็ไม่ใช่สิ่งที่รวมปราณจะต่อกรได้แล้ว เวลานี้มันก็สังเกตเห็นเรือเวทของสวี่ชิงจากการประชิดเข้าใกล้
แต่สวี่ชิงเก็บคลื่นพลังของเรือเวทไว้อย่างมิดชิด ไม่เผยออกมาเลยแม้เพียงน้อย ตัวเขาเองก็ด้วย ดังนั้นหลังจากที่อสูรคอยาวบรรพกาลตัวนี้ว่ายวนรอบหนึ่งก็พุ่งเข้าประชิดทันควัน
มันไม่ได้พุ่งไปกลืนกินนกทะเลบรรพกาลบนผิวน้ำ แต่กลับพุ่งกระแทกมาที่เรือเวทของสวี่ชิงอย่างแรง
ราวกับว่าสวี่ชิง…ดูน่าอร่อยกว่านกทะเลบรรพกาลนั่นสำหรับมัน
เวลานี้เมื่อเห็นว่ามันใกล้เข้ามา สวี่ชิงก็ควบคุมอารมณืไม่แสดงสีหน้า เขาระเบิดความเย็นเยียบในดวงตาออกไปในจังหวะที่อีกฝ่ายเข้าประชิด มือขวาชูขึ้น ตะปบไปทางอสูรคอยาวบรรพกาลที่ใกล้เข้ามา
น้ำทะเลรอบๆ อสูรคอยาวบรรพกาลสั่งเสียงครืนครันทันที ปูดนูนเป็นมือใหญ่ที่รวมตัวจากน้ำทะเลรางๆ มีพลังเวทระดับสร้างฐานแฝงอยู่ข้างหนึ่ง ตะปบคว้าไปทางอสูรคอยาวบรรพกาล
ขณะเดียวกันเหล็กแหลมสีดำกลางอากาศก็แทงทะลุร่างของนกทะเลบรรพกาลพุ่งลงไปในทะเล บรรพชนสำนักวัชระที่อยู่ด้านในเองก็ออกแรงสุดกำลัง คิดจะแสดงคุณค่าของตนเองออกมา พุ่งดำดิ่งลงทะเลตรงไปยังอสูรคอยาวบรรพกาลอย่างรวดเร็ว
อสูรคอยาวบรรพกาลแผดเสียงคำรามก่อเป็นคลื่นเสียงทะลวงน้ำทะเล ขณะที่เข้าสกัดเหล็กแหลมสีดำ ครีบของมันก็โบกไหวอย่างรวดเร็ว กระพือคลื่นยักษ์จากใต้ทะเลเข้าต้านทานมือยักษ์ ในดวงตามีแววประหลาดใจ ถอยตัวสุดกำลังคิดจะหนี
แต่ก็ยังช้าเกินไป จากการบีบอย่างุร่นแรงของมือยักษ์ จากแสงเจิดจ้าบนเหล็กแหลมสีดำ คลื่นเสียงของมันแทงทะลุร่างกายอสูรคอยาวบรรพกาลไปท่ามกลางเสียงครืนครัน แหวกว่ายอยู่ในเลือดเนื้อของมัน ตรงไปตำแหน่งหัวใจ
“ข้าต้องการเป็นๆ!”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ เหล็กแหลมสีดำสั่นสะท้าน แม้จะแทงไปที่หัวใจของอสูรคอยาวบรรพกาลแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแทงจนทะลุ นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน
และเมื่อหัวใจถูกแทง ต่อให้เป็นอสูรคอยาวบรรพกาล ความเจ็บปวดที่ได้รับจากบาดแผลเล็กๆ เท่ารูเข็มก็ยังทำให้มันต้องแผดเสียง ขณะกระเสือกกระสนก็ยังยากที่จะหลบหนี ถูกมือยักษ์ที่ก่อขึ้นจากน้ำทำเลคว้าเอาไว้ ยกจากผืนทะเลขึ้นมากลางอากาศ
น้ำทะเลสาดลงมาราวกับน้ำตก ร่างกายใหญ่โตของอสูรคอยาวบรรพกาลบดบังแสงตะวันอยู่กลางอากาศจนทำให้เงามืดปกคลุมลงมาบนเรือเวทของสวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้า มองอสูรคอยาวบรรพกาลตรงหน้า ยกมือทั้งสองขึ้นอย่างสงบ เริ่มประกบปางมือ เปลวไฟสีดำจากช่องเวทในร่างกายก็ค่อยๆ ออกมาจากช่องเวท ไหลตามร่างกายออกสู่ภายนอก
สวี่ชิงเวลานี้มองไกลๆ ทั้งตัวเต็มไปด้วยไฟสีดำ และการปะทุขึ้นของเปลวไฟนั้นก็ทำให้ดวงตาอสูรคอยาวบรรพกาลเกิดความพรั่นพรึง แผดเสียงคำรามดังลั่นออกมา และยิ่งกระเสือกกระสนหนักข้อขึ้น
แต่กลับไม่ช่วยอะไร เพียงไม่นาน ด้านนอกร่างกายของเขาก็มีไฟสีดำปะทุมากขึ้นเรื่อยๆ จากปางมือของสวี่ชิง จนท้ายสุดก็แผ่ออกไปด้านนอกฉับพลัน กลายเป็นเงามายาศีรษะมารลูกหนึ่ง เปล่งเสียงหัวเราะเคี๊ยกๆ โถมเข้าหาอสูรคอยาวบรรพกาลทันที
จังหวะที่ร่างของศีรษะมารนี้แตะอสูรคอยาวบรรพกาลก็ลามปกคลุมไปทั้งตัวในพริบตาทันที และเริ่มแผดเผา
ที่แผดเผาไม่ใช่ร่างกายของมัน แต่เป็นวิญญาณ
หลังจากขั้นตอนทั้งหมดผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ตอนที่การดิ้นรนและการแผดเสียงของอสูรคอยาวบรรพกาลอ่อนแรงลง เปลวไฟสีดำบนตัวมันก็ตีม้วนกลับเข้ามาในร่างกายสวี่ชิง
ตอนนี้ร่างกายของอสูรคอยาวบรรพกาลก็อ่อนยวบลงทันที ไม่ขยับเขยื้อน กลิ่นหายหายไปจนหมดสิ้น และหลังจากที่สูญเสียวิญญาณไป กายเนื้อและวัตถุดิบในตัวมันก็ไม่เหลือคุณค่าแล้ว สูญสิ้นมูลค่าไป
ร่างกายอสูรคอยาวบรรพกาลก็ร่วงจมดิ่งลงทะเลไปจากการที่มือยักษ์ที่ก่อตัวจากน้ำทะเลปล่อยมือ
เหล็กแหลมสีดำในร่างกายมันก็บินกลับมาจากในร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว วนเวียนอยู่รอบตัวสวี่ชิงอย่างเชื่อฟัง
ส่วนสวี่ชิง นี่คือการสำแดงเพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณครั้งแรกของเขา กำลังตรวจสอบเงาวิญญาณสีขาวอมเขียวดวงหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในร่างกาย
เงาวิญญาณนี้มีรูปร่างเป็นอสูรคอยาวบรรพกาล
“เป็นสีขาวจริงด้วย” สวี่ชิงพึมพำ ในคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณเขียนไว้ว่า วิญญาณระดับรวมปราณคือสีขาว ระดับสร้างฐานคือสีเขียว ในนี้วิญญาณสีเขียวเหมาะจะนำไปทะลวงช่องเวท ส่วนสีขาวคือห่างชั้นอยู่ไกล
‘ลองดูหน่อยแล้วกัน’ สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ก็กระตุ้นความคิด ฉับพลันเงาวิญยาณอสูรคอยาวบรรพกาลในร่างกายเขาก็เผาไหม้ครืนครัน ราวกับเป็นเชื้อฟืนไฟที่ทำให้เปลวไฟยิ่งโชติช่วงขึ้น พุ่งตรงไปยังช่องเวทช่องที่สามที่สวี่ชิงเลือกไว้
สวี่ชิงร่างกายสั่นสะเทือนฉับพลัน ช่องเวทที่สามของเขาสั่นสะเทือนเหมือนจะเกิดรอยปริแตกขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เปิดออก และพลังวิญญาณของอสูรคอยาวบรรพกาลก็สลายหายไปในตอนนี้
“มีผลจริงๆ แต่ช้าไปหน่อย” สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้สึกว่าบางทีน่าจะเพราะตนเองยังไม่ชำนาญพอ ดังนั้นจึงควบคุมเรือเวทเปลี่ยนสถานที่ และใช้วิธีการเดียวกันนี้ตกอสูรต่อ
นกทะเลบรรพกาลเป็นเพียงตัวล่อ ขณะเดียวกันเขาก็ใช้ร่างกายตนเองเป็นเหยื่อล่อด้วย แผ่คลื่นพลังรวมปราณออกไปวนเวียนอยู่ใต้ทะเล
ขณะเดียวกันเขาก็เตรียมตัวทะยานขึ้นอากาศทันทีหากเกิดอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงอย่างไรการตกอสูรเช่นนี้…ก็ยังมีโอกาสที่จะตกเอาตัวตนน่ากลัวที่ยากจะต้านทานไหวขึ้นมาได้เช่นกัน
เพียงแต่มีโอกาสไม่มากเท่าไร ถึงอย่างไรสำหรับตัวตนเหล่านั้น กลิ่นอายของรวมปราณคงจะไม่ได้หอมหวลสักเท่าไร
สามวันต่อมา อสูรคอยาวตัวที่สองก็เข้ามาภายใต้การล่อเหยื่อต่อเนื่องของสวี่ชิง เขาใช้วิธีเดียวกัน หลอมพลังวิญญาณออกไปพุ่งปะทะเรื่อยๆ จนทำให้ช่องเวทที่สามมีรอยแตกร้าวเพิ่มมากขึ้น
พอเปลี่ยนตำแหน่งมากเข้า หลังจากทำต่อเนื่องไปกว่าครึ่งเดือน หลังจากเขาใช้อสูรคอยาวบรรพกาลที่เทียบได้กับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ตัวที่สิบเจ็ด ในที่สุดช่องเวทที่สามของเขาก็ถูกปะทะจนแตกแล้วบางส่วน
“ช้าเกินไปแล้ว…” สวี่ชิงพึมพำ เขาคำนวณดู อย่างน้อยตนเองต้องใช้เวลาสามปีบนทะเลแบบไม่หลับไม่นอน จึงจะสามารถเปิดสามสิบช่องเวทได้ด้วยความเร็วเช่นนี้ 艾琳小說
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าเวลานี้ยังมองโลกในแง่ดีเกินไปด้วย เพราะการเปิดช่องเวทไม่ใช่เรื่องที่ดูแล้วจะง่ายดายเลย และยิ่งไประยะหลังก็จะยิ่งยากลำบากขึ้น ดังนั้นก็จะต้องการพลังวิญญาณที่มากขึ้น
ดูจากเวลา สวี่ชิงรู้สึกว่ายังต้องเพิ่มอีกเท่าตัว นี่ยังไม่นับรวมการกลับไปเมืองหลักรวมถึงพบกับเรื่องไม่คาดคิดด้วย ถ้าหากรวมๆ กันแล้ว คาดว่าคงต้องใช้เวลาสักสิบกว่าปี
‘ต้องคิดหาวิธีสังหารอสูรทะเลมากๆ ในคราวเดียวเสียแล้ว’ ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายเย็นเยียบ จู่ๆ หน้าก็เปลี่ยนสี เงยหน้ามองไปยังจุดที่ห่างไกล
คลื่นน้ำทะเลที่ห่างออกไปเวลานี้จู่ๆ ก็โหมสูงขึ้นมา เห็นฉลามฟันยักษ์ตัวหนึ่งกำลังว่ายอย่างรวดเร็วอยู่ด้านใน คลื่นพลังระดับสร้างฐานทั่วร่างก็แข็งแกร่งมาก และบนท้องฟ้าด้านหลังมันก็มีเงาอีกร่างหนึ่ง ยืนอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ขนาดยักษ์เล่มหนึ่ง กำลังไล่กวดเข้าประชิด
ร่างเงานี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีแดงของยอดเขาลำดับหนึ่งแห่งเจ็ดเนตรโลหิต ผมยาวปลิวสยาย สีหน้าเย็นชา ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ
เวลานี้ก็ชำเลืองมองมาทางสวี่ชิงไกลๆ ผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เรียกลมเรียกฝนธรรมดาเกินไป ต้องเด็ดดวงดารามาซุกไว้ในถุง”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว