ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 169 ศึกชิงตำแหน่ง!
บทที่ 169 ศึกชิงตำแหน่ง!
เมื่ออันดับผลงานของเจ็ดเนตรโลหิตเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรก สามารถได้รับคุณสมบัติการใช้ภาพสะท้อนของวิเศษเวทของสำนักได้ครั้งหนึ่ง
จุดนี้สวี่ชิงหวั่นไหวมาก
ด้านหนึ่งเขาไม่เคยเห็นของวิเศษเวท แต่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับความแข็งแกร่งลั่นฟ้าสะเทือนดินของของวิเศษเวทมามาก
ถึงอย่างไรทั้งเจ็ดเนตรโลหิต ก็มีของวิเศษเวทเพียงแค่ชิ้นเดียว
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็อยากรู้อย่างมากว่าเพราะอะไรจึงเล่าขานกันเช่นนี้ เขาอยากรู้ว่าของวิเศษเวทเจ็ดเนตรโลหิตหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วพอสำแดงเดชจะมีพลานุภาพแบบใด
เรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เขาหวั่นไหว
แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่บรรพจารย์สำนักวัชระรวมถึงเจ้าเงาจะทะลวงขั้นแล้ว สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถยืดการทะลวงขั้นของพวกเขาออกไปเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นได้
อย่างใดสำคัญกว่า สวี่ชิงรู้อยู่เต็มอก
ถึงอย่างไรภาพสะท้อนของวิเศษเวทจะแข็งแกร่งแค่เพียงใดก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียว แต่การยกระดับของเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระสำคัญอย่างมากต่อการยกระดับพลังต่อสู้ของเขา
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ลังเล ปล่อยวางเรื่องรับภารกิจลงทันที ใช้งานคุณสมบัติเลี่ยงสงครามที่น้าของติงเสวี่ยมอบให้ เลือกที่จะหลีกหนีออกมาในสถานการณ์ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตรุกคืบเข้าตีประชิดเผ่าสิงซากสมุทรมากขึ้นเรื่อยๆ ราวสายรุ้ง
‘ต้องหาเกาะที่ปลอดภัยและห่างไกลผู้คนเสียหน่อย ให้การทะลวงขั้นของพวกเจ้าเงาไม่ถูกรบกวน’
สวี่ชิงครุ่นคิด โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่บรรพจารย์สำนักวัชระพูดไว้ว่าตอนที่เขาทะลวงขั้นจะเกิดเคราะห์อัสนีขึ้น สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงยิ่งต้องให้ความสำคัญ
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ใช้ค่ายกลส่งข้ามของเกาะเงือกตรงไปยังฝั่งทะเลต้องห้ามตรงข้ามกับสนามรบ เปิดการส่งข้ามที่มีระยะห่างขึ้นครั้งหนึ่ง
จุดที่เขาส่งข้ามครั้งนี้ คือเกาะแห่งหนึ่งของต่างเผ่าที่ชื่อว่าเผ่าเม็ดทราย
อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในพันธมิตรของเจ็ดเนตรโลหิต ยิ่งกว่านั้นนิสัยยังอ่อนโยน เพราะพวกเขาถนัดในการหลอมวัสดุหลอมประเภทหนึ่งที่ชื่อว่าประกายทะเลรวมไปถึงมีการค้นคว้าหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ลึกซึ้งมากอีกด้วย ดังนั้นจึงถูกเจ็ดเนตรโลหิตคุ้มครองมากว่าร้อยปีแล้ว
และคนของเผ่าเม็ดทรายเองก็แปลกประหลาด พวกเขาคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์มาก เพียงแต่ร่างกายนั้นสูงแค่ประมาณฝ่ามือ เผ่ามนุษย์อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็เหมือนกับยักษ์อย่างไรอย่างนั้น
และพื้นที่เผ่าของพวกเขา ก็เหมือนกับประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่เพื่อต้อนรับเพื่อนที่มาจากภายนอก พวกเขาจึงสร้างเมืองขนาดใหญ่ขึ้นมาแห่งหนึ่งในจุดที่ไม่ห่างจากค่ายกลส่งข้ามนัก สามารถให้แขกที่เข้ามาพักค้างคืนได้
ตอนที่ปรากฏร่างของสวี่ชิงขึ้นในค่ายกลส่งข้ามของเผ่าเม็ดทรายก็เย็นย่ำแล้ว
แสงตะวันไกลๆ ลับฟ้าทอดยาวสะท้อนผืนทะเลสีดำจนกลายเป็นสีม่วง สะท้อนกับแสงสีแดงบนฟากฟ้าจนเกิดความรู้สึกลึกลับอีกอย่างขึ้นมา
และความกลมกลืนกับความเงียบสงบของสถานที่นี้ก็มีอยู่น้อยมากในทะเลต้องห้าม โดยเฉพาะสวี่ชิงที่มาจากสนามรบ บนตัวยังมีปราณพิฆาตจากสนามรบเหลือค้างอยู่ พอเพิ่งเข้ามาในสถานที่สงบๆ จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
ตอนนี้สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองออกไป เมื่อเห็นเผ่าเม็ดทรายนับไม่ถ้วนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในเมืองเล็กๆ หลายแห่ง ประเดี๋ยวก็มีเสียงเพลงลอดออกมา ยังมองเห็นเด็กที่ตัวเล็กยิ่งกว่ากำลังเล่นกับเม็ดทรายอยู่รางๆ อีกด้วย
แต่ว่ากลิ่นอายผู้แข็งแกร่งที่นี่ก็มีอยู่ไม่น้อยเลย
ต่อให้ร่างกายของเผ่าเม็ดทรายจะเล็กมาก แต่สวี่ชิงเองก็ไม่มองข้าม เพราะเขาเคยเห็นมาแล้วจากข้อมูลในกรมปราบพิฆาต รู้ว่าเผ่าเม็ดทรายนี้แม้จะอ่อนโยน แต่พลังการต่อสู้ของพวกเขาน่าตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะวิถีหุ่นเชิดที่ถนัด
สวี่ชิงที่เดินออกมาจากค่ายกลส่งข้ามเวลานี้ หลังจากกวาดตามองไปรอบด้าน ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของหุ่นเชิดแปดตัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกค่ายกลส่งข้าม
หุ่นเชิดทั้งแปดนี้แต่ละตัวล้วนมีขนาดเท่ากับเผ่ามนุษย์ ทั่วทั้งตัวประกอบขึ้นจากเหล็กและไม้ ใบหน้าดำสนิท ตำแหน่งของดวงตาก็สลักอัญมณีเอาไว้
บนตัวของพวกมันไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ ราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว
จังหวะที่สายตาของสวี่ชิงมองไป ดวงตาอัญมณีในหุ่นเชิดตัวหนึ่งจู่ๆ ก็เปล่งประกายขึ้น เสียงก๊อกแก๊กดังก้อง มันเงยหน้าขึ้นจ้องมองสวี่ชิง จากนั้นลุกขึ้นประสานหมัดคารวะ
“ยินดีต้อนรับสู่เผ่าเม็ดทราย ไม่ทราบว่าแขกจากเจ็ดเนตรโลหิตมาที่นี่ด้วยธุระอันใดหรือ”
สวี่ชิงพิจารณาหุ่นเชิดตัวนี้อย่างละเอียดครู่หนึ่ง ต่อให้ตอนนี้อีกฝ่ายจะอ้าปากพูด แต่เขายังคงไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังวิญญาณเลย
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกแปลกประหลาดมาก แต่เขารู้ว่าเรื่องราวมากมายจะด่วนสรุปไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
“ข้าผ่านมาทางนี้ อยากจะไปยังเขตทะเลใกล้ๆ ไม่ทราบว่าที่นี่มีแผนที่ทะเลขายหรือไม่”
“ในเมื่อเป็นแขกจากเจ็ดเนตรโลหิต เหตุใดจึงต้องขายกัน” หุ่นเชิดโบกมือขวา ในมือของเขาปรากฏทรายเม็ดหนึ่งขึ้น สะบัดมาทางสวี่ชิง และทรายเม็ดนี้ก็พุ่งเข้าหาสวี่ชิงทันที
หลังจากถูกสวี่ชิงรับไว้ สีหน้าเขาก็แสดงอารมณ์ออกมาเล็กน้อย ทรายเม็ดเล็กนี้กลับมีข้อมูลบันทึกไว้เช่นเดียวกับแผ่นหยก เขาแค่กวาดพลังเวทไปเล็กน้อย ก็มีแผนที่ทะเลละเอียดมากแผนหนึ่งปรากฏออกมา
หลังจากขอบคุณ สวี่ชิงก็มองไปยังกลุ่มชนเผ่าที่บรรยากาศเงียบสงบใหม่อีกครั้ง ร่างกายทะยานขึ้นกลางอากาศ โยกตัวไปยังทะเลต้องห้ามที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วถึงขีดสุด กระพือเสียงหวีดหวิวขึ้น เพียงพริบตาก็ไม่เห็นแม้เงา
เมื่อเขาจากไปแล้ว หุ่นเชิดอีกเจ็ดตัวที่อยู่ข้างๆ ค่ายกลก็พากันเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดที่สวี่ชิงจากไป
“เจ็ดเนตรโลหิตตอนนี้กำลังทำศึกกับเผ่าสิงซากสมุทร คนผู้นี้พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา สร้างแรงกดดันให้ข้ามหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวเขายังมีกลิ่นอายจากสนามรบเหลืออยู่อย่างชัดเจน แล้วทำไมจึงมายังเผ่าของเราทางนี้กัน”
“ข้าเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังบำเพ็ญของเขา แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่สามารถทำให้การโคจรพลังเวทในช่องเวทของข้าที่มีไฟชีวิตหนึ่งดวงชะงักไป คนผู้นี้น่าจะเป็นสร้างฐานขั้นกลางแล้ว
“แต่ว่าการกระทำของเขา ก็เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด”
หุ่นเชิดทั้งแปดนี้ไม่ขยับเขยื้อน ส่งสื่อเสียงให้กันและกัน ท้ายสุดพอยืนยันว่าสวี่ชิงจากไปไกลแล้ว จึงค่อยๆ ผ่อนคลาย ก้มหน้าลงต่ำไม่ขยับเขยื้อนอีกครั้ง
เวลาไหลผ่านไปหนึ่งคืน
เช้าตรู่วันถัดมา แสงสาดส่องลงมาแผดเผาท้องทะเลและผืนฟ้าต้อนรับดวงตะวันสีแดงที่ลอยสูงขึ้น ร่างของสวี่ชิงปรากฏบนเส้นขอบฟ้า ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาเลือกไม่ใช้งานเรือเวท ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป ดังนั้นคืนนี้จึงใช้กำลังของตนเองออกค้นหา ในที่สุดเขาก็หาพื้นที่ที่สอดคล้องกับความต้องการแห่งหนึ่งจนพบจากบันทึกบนแผนที่ทะเล
นี่เป็นเกาะเหมืองแร่ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง
แผนที่ทะเลอธิบายไว้ว่าเกาะนี้ร้อยปีก่อนมีการค้นพบสายวิญญาณ เผ่าเม็ดทรายจึงให้ความสำคัญ ขุดมาหกสิบปี หลังจากที่ขุดมันจนหมด ก็กลายเป็นเกาะร้างไป
บนเกาะพลังวิญญาณเบาบาง ไอพลังประหลาดเข้มข้น แม้จะมีหญ้าสมุนไพรแต่ส่วนใหญ่ก็มีพลังการโจมตีระดับหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นจะด้านในหรือนอกเกาะก็ไม่มีมูลค่าใดเลย ดังนั้นในวันปกติจึงแทบจะไม่มีคนเข้ามา
เกาะที่เป็นแบบนี้ ในทะเลต้องห้ามมีอยู่มากมาย
สวี่ชิงเดินย่ำอากาศวนสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะยกระดับเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระบนเกาะนี้ หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ เขาก็ย่างลงไปบนเกาะ
เพียงไม่นานก็ร่อนลงบนเกาะ สวี่ชิงโบกมือสาดผงพิษจนทำให้ต้นไม้ใบหญ้าบางส่วนที่จะมารัดตัวเขาแห้งเหี่ยวตายลงในพริบตา
สวี่ชิงไม่แม้แต่จะมอง ตรงไปยังหลุมแร่ในเกาะ เพียงไม่นานก็หาพบที่หนึ่ง
หลุมแร่นี้ดำสนิท เห็นๆ อยู่ว่าแสงตะวันยามเช้าด้านนอกเข้มข้น แต่ก็เหมือนแสงจะลอดผ่านความมืดมิดของที่นี่ไม่ได้ ขณะที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นกระจายอวลก็ยังมีไอเย็นเยียบแผ่ออกมาเป็นระยะอีกด้วย
รอบๆ หลุมแร่มีน้ำแข็งสีดำอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ราวกับว่าน้ำแข็งสีดำนี้มีพิษอยู่
สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญคนใดก็ล้วนไม่เหมาะที่จะฝึกบำเพ็ญทั้งสิ้น แต่สำหรับเงาของสวี่ชิงแล้ว กลับพึงพอใจอย่างมาก
กระทั่งร่างของมันที่อยู่ใต้แสงตะวัน ก็ยังอดยืดแผ่ออกไปทางหลุมแร่ไม่ได้เลย
สวี่ชิงก็พอใจมากเช่นกัน หลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้วยืนยันว่าไม่มีอันตรายใด เขาก้มหน้าลงหักน้ำแข็งสีดำบนพื้นออกมาชิ้นหนึ่ง
น้ำแข็งในมือนี้มีปราณเย็นที่น่าตกตะลึง ไอพลังประหลาดเข้มข้นขีดสุด เพียงแค่สัมผัสก็รุกล้ำเข้ามาในร่างกายสวี่ชิงแล้ว แต่พริบตาต่อมาก็ถูกเงาของสวี่ชิงดูดไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าของสิ่งนี้น่าสนใจเสียจริง” สวี่ชิงคุกเข่าลงมา เก็บน้ำแข็งดำเหล่านี้ไปบางส่วน แต่น่าเสียดายที่ของสิ่งนี้รักษายาก หลังจากหักออกก็ระเหยไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย พอกำลังจะเข้าไปในหลุมแร่
“นายท่านระวังด้วย นายท่านเป็นบุตรผู้มั่งมีห้ามนั่งใกล้ชายคา ให้ข้าน้อยเข้าไปเบิกทางเอง” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน รีบควบคุมเหล็กแหลมสีดำพุ่งเข้าไปแล้วส่งความคิดออกมา
“นายท่าน ด้านล่างนี้ปกติดี”
เจ้าเงาที่กำลังดูดน้ำแข็งดำอย่างเริงร่าข้างๆ ก็รีบยืดตัวส่วนหนึ่งลงไปในหลุมทันที ขณะเดียวกันก็ส่งคลื่นพลังปลอดภัยออกมา
สวี่ชิงไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องระหว่างบรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงา แต่ก็ยังชอบที่จะดูพวกเขาเพ่งเล็งกันและกัน ตอนนี้สวี่ชิงมีสีหน้าปกติ จัดการวางพิษไว้รอบๆ ก่อนเล็กน้อย จากนั้นจึงย่างเข้าไปในหลุมแร่
ไอพลังประหลาดในหลุมแร่เข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ไอเย็นบีบคั้นมาก็ก่อขึ้นเป็นฉากสีดำสนิทผืนหนึ่ง
แม้ว่าพลังเวทจะหลั่งทะลักเข้ามาในดวงตา สวี่ชิงมองเห็นเพียงอุโมงค์ขนาดยักษ์เบื้องหน้าอย่างเลือนรางเท่านั้น รอบๆ ล้วนมีร่องรอยการขุดแร่ทั้งสิ้น
สวี่ชิงไม่ลังเล เปิดตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายฉับพลัน
พริบตาทั้งตัวเขาก็มีเปลวไฟไร้รูปร่างแผ่ออกมา ขณะที่บนศีรษะมีร่มดำก่อตัวขึ้นคุ้มครองจิตวิญญาณ ในร่างกายเขาก็เหมือนมีภูเขาไฟปะทุขึ้น ร่างกายพุ่งตัวไปเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน หายไปในชั่วอึดใจ เริ่มตรวจสอบหลุมแร่นี้ว่ามีอันตรายหรือไม่
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะสัมผัสได้ว่าสถานที่นี้ปลอดภัย แต่ถ้าไม่ตรวจสอบเสียหน่อยสวี่ชิงก็ไม่วางใจ ในตอนนี้เหมือนทั้งตัวเขาถูกเผาไหม้ภายใต้สภาวะแสงนภาอย่างไรอย่างนั้น กวาดตามองไปทั้งหลุมแร่
แม้ว่าในนี้จะมีเส้นทางอยู่มากมาย แต่ด้วยความเร็วของสวี่ชิง เขาใช้แค่ชั่วก้านธูปก็สำรวจเสร็จสิ้น
นอกจากพวกค้างคาวแล้ว ที่นี่ก็ปลอดภัยดี
เมื่อมั่นใจ สวี่ชิงจึงนั่งขัดสมาธิลงในส่วนลึกของหลุมลึก เอ่ยขึ้นเสียงเบาในความมืด
“เจ้าเงา เจ้ายกระดับได้แล้ว”
เจ้าเงาก็ยืดตัวออกไปในพริบตาตามคำพูดของสวี่ชิง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
แม้จะยังมีบางส่วนที่เชื่อมกับสวี่ชิง แต่เก้าส่วนล้วนยืดแผ่ยาวออกไปบนพื้นไกลๆ หมุนวนอย่างรวดเร็ว
คนนอกมองไม่เห็นภาพนี้ มีเพียงสวี่ชิงที่สัมผัสได้ เขาสัมผัสได้ว่าในการหมุนวนอย่างรวดเร็วของเจ้าเงา ไอพลังประหลาดรอบๆ ก็มารวมกันอย่างบ้าคลั่ง หลั่งไหลเข้าไปในกระแสวน
กระแสวนนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลึกหยั่งขึ้นเรื่อยๆ จนหลังจากที่ไอพลังประหลาดทั้งหมดในหลุมแร่ถูกดูดเข้ามา กระแสวนก็สั่นสะเทือนฉับพลัน ไม่หมุนวนต่อ แต่กลายเป็นลักษณะเหมือนหลุมลึก
รูปร่างกลม ใหญ่ขนาดสิบจั้ง
ตัวเงาด้านในผสมผสานจนกลายเป็นบึงเมือกสีดำ ผิวน้ำมีฟองผุดออกมาหลายฟองราวกับกำลังเดือดพล่าน
และทุกการแตกของฟอง ล้วนมีเสียงคำรามกับเสียงตะโกนที่สั่นสะเทือนวิญญาณออกมา ราวกับว่าด้านในเกิดการพัฒนาบางอย่างขึ้น
ดวงตาสวี่ชิงเผยความคาดหวัง แต่ความระแวดระวังของเขาก็ไม่เคยลดลง ถึงอย่างไรเจ้าเงาก็แอบมีนิสัยดื้อรั้น ไม่แน่ว่าพอทะลวงขั้นเสร็จอาจจะทรยศขึ้นมาก็ได้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงถ่ายพลังเวทบางส่วนลงไปในผลึกวารีสีม่วงอย่างไร้ซุ่มเสียง เตรียมการสะกดเอาไว้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน บรรพจารย์สำนักวัชระข้างๆ พอเห็นเจ้าเงาจะเริ่มแล้ว และจอมมารสวี่ก็ดูคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งยังมีท่าทีเหมือนคุ้มกันให้ด้วยซ้ำ นี่ทำให้เขารู้สึกวิกฤตและตึงเครียดขึ้นมาอย่างหนัก
‘เริ่มคุ้มกันแล้วด้วย ชัดเลยว่าจอมมารสวี่ให้ความสำคัญกับเจ้าเงา!
‘และถ้าวิเคราะห์ตามตรรกะในงานเขียนแล้ว หากเจ้าเงาโง่ทะลวงขั้นก่อน ข้าจะต้องมีแรงกดดันมากขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หลังจากข้าทะลวงขั้น แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าเจ้าเงาโง่อยู่ดี…
‘ในเรื่องราวของเรื่องเล่า เมื่อช้าไปครั้งหนึ่งแล้วก็จะช้าลงไปอีก สุดท้ายก็จะถูกทิ้งห่าง เช่นนี้ไม่ดีแน่!’ บรรพจารย์สำนักวัชระพึมพำในใจ เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน
‘เพื่อตำแหน่ง เพื่อไม่ต้องกลายเป็นกันชน ข้าจะต้องทะลวงขั้นก่อนเจ้าเงาโง่ให้ได้ สู้ตาย!!’
คิดถึงจุดนี้ ดวงตาบรรพจารย์สำนักวัชระก็ร้อนผ่าว เสียงเคร่งขรึมขึ้นและมีใจเด็ดเดี่ยวอย่างแรงกล้าขึ้นด้วย เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ
“นายท่าน ข้า ก็จะทะลวงขั้นด้วย!”