ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 172 ในที่สุด
บทที่ 172 ในที่สุด
สวี่ชิงไม่สนใจการแสดงออกของบรรพจารย์สำนักวัชระ เวลานี้จึงสะกดไปพลางเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าที่ห่างไกล
สมองของเขาปรากฏภาพตอนที่ได้รับเจ้าเงามาครั้งแรกวันนั้น
ที่นั่นคือภายในป่าพื้นที่ต้องห้าม ตอนที่เขากับหัวหน้าเหลยสังหารฝูงหมาป่าเกล็ดดำ พริบตาที่หมาป่าเกล็ดดำตัวหนึ่งตาย เงาของมันก็ยืดแผ่ออกราวกับว่าจะมาเป็นกาฝากที่เขา
และผลึกวารีสีม่วงก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างแท้จริงตั้งแต่ตอนนั้น จัดการปิดผนึกเงานี้ไว้
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เงาของเขาก็เปลี่ยนไป
พูดให้ถูกก็คือเงาของเขาน่าจะกลายเป็นตัวพาหะของเงาหมาป่าเกล็ดดำ ทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ความพิเศษที่อีกฝ่ายสามารถสูดรับไอพลังประหลาดได้ทำให้การฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงราบรื่นขึ้น ขณะที่ร่างกายตนเองบริสุทธิ์อย่างมาก เจ้าเงาเองก็สูดรับไอพลังประหลาดจนเติบโต พลังต่อสู้ก็ยกระดับตามมา
วันคืนหลังจากนั้นนอกจากความช่วยเหลือจากเจ้าเงาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และหลังจากที่สวี่ชิงพบว่าสามารถควบคุมเงาได้ อีกฝ่ายก็กลายเป็นไม้ตายลับของเขาไปแล้ว
จนกระทั่งที่สังหารเผ่าเงือกไปครั้งนั้น เจ้าเงาก็เผยแววว่าจะมีสติปัญญาขึ้นมา จากนั้นก็คือคำเตือนประโยคนั้นของเด็กหนุ่มใบ้ รวมไปถึงการกระทำที่อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาดับตะเกียงดับวิญญาณบนเกาะเงือก
หลังจากนั้นเจ้าเงาก็ไม่ใช่แค่เผยสติปัญญา แต่กลับมีความเฉลียวฉลาดขึ้นมาระดับหนึ่งอีกด้วย
ทั้งหมดนี้สวี่ชิงคาดเดาเอาไว้แล้ว
แต่พลังบำเพ็ญของเขาสามารถสะกดได้อยู่ตลอด และยังมีการสะกดจากผลึกวารีสีม่วงอีก ดังนั้นแม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ยังยอมให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นถึงเกิดฉากแว้งกัดออกมาก่อนหน้านี้
สวี่ชิงไม่รู้สึกว่าการแว้งกัดของเงานั้นเกินคาด นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว
แต่เงาสามารถดึงดูดยักษ์ลากราชรถมาได้ จุดนี้สวี่ชิงตกตะลึงอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เขาคาดเดาที่มาของเจ้าเงามากขึ้น
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ตัวเจ้าสำหรับข้าตอนนี้มีโทษมากกว่าประโยชน์เสียแล้ว” สวี่ชิงก้มหน้า ก้มมองเจ้าเงาอย่างสงบ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
น้ำเสียงของเขาทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระจิตใจสั่นระรัว และเจ้าเงาก็สัมผัสได้ว่าไม่เหมือนกับที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แผ่คลื่นหวาดกลัวยิ่งกว่าออกมาอย่างรุนแรงราวกับกำลังอ้อนวอนขอความเมตตา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเก็บเจ้าไว้ทำไมกัน!” สวี่ชิงหลับตาลง ยกมือขวาขึ้น กดลงไปยังร่างเจ้าเงาบนกระดานเรืออย่างไม่ลังเล
แสงม่วงครั้งนี้ไม่ได้แผ่การสะกดออก แต่ไหลตามมือขวาของสวี่ชิงไปยังร่างของเจ้าเงา พริบตาต่อมาตัวเรือก็ส่งเสียงครืนครัน เจ้าเงาก็แบกรับไม่ไหว ส่งเสียงกรีดร้องแหลมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มีอารมณ์ที่ความเจ็บปวด และความโกรธแค้นผสมปนเปอยู่ด้วยกันแผ่ซ่านเข้ามาในการสัมผัสของสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่สนใจ ทำการสะกดต่อ
และเสียงกรีดร้องเวทนาของมันทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระสั่นสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณเมื่อได้ยิน ถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ ตอนที่มองไปทางสวี่ชิง ในดวงตาเผยความตึงเครียด
ระหว่างเสียงครืนครัน ขณะที่เจ้าเงากรีดร้องอย่างน่าเวทนาแผ่วเบาลง หลังจากนั้นก็มีเสียงปึงแตกกระจัดกระจาย เปลี่ยนกลับมาเป็นเงาสภาพที่เป็นต้นไม้ตามเดิม
เสียงโหยหวนก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง กลายเป็นการวิงวอน ขณะเดียวกันความอ่อนแอก็แผ่กว้างออกมาด้วย
สวี่ชิงสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ยังคงทำการสะกดต่อ
หนึ่งร้อยแปดสิบครั้ง สองร้อยสี่สิบครั้ง สามร้อยยี่สิบครั้ง…
แสงม่วงของเขาระเบิดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า สะกดไปครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่เจ้าเงาบนกระดานเรือกำลังจางลงอย่างต่อเนื่องก็กลายเป็นเลือนราง เสียงกรีดร้องแผ่วเบาลงเรื่อยๆ และความเด็ดขาดในดวงตาสวี่ชิงก็แฝงจิตใจที่เด็ดเดี่ยวของเขาไว้ด้วย
เขาจะจัดการมันไปจริงๆ ส่วนหลังจากที่อีกฝ่ายตาย ตนเองจะจัดการปัญหาเรื่องไอพลังประหลาดอย่างไร สวี่ชิงไม่ได้กังวลนัก
ในจุดนี้มีตัวหลักและตัวรองอยู่ ผลึกวารีสีม่วงของเขาเป็นหลัก ส่วนเจ้าเงาเป็นรอง
แม้เจ้าเงาจะสามารถสูดรับไอพลังประหลาดได้ แต่ในเมื่อผลึกวารีสีม่วงปิดผนึกมันได้ เช่นนั้นก็คงจะผนึกสิ่งที่เหมือนกับเจ้าเงาได้ อย่างมากหลังจากมันตายไปก็ค่อยกลับไปเดินๆ ในพื้นที่ต้องห้าม จับตัวตายตัวแทนอีกสักตัวมาผนึกไว้ก็สิ้นเรื่อง
ดังนั้นต่อให้เจ้าเงาเวลานี้จะจืดจางอย่างมาก แต่การสะกดของเขายังคงดำเนินต่อ ครั้งที่สามร้อยห้าสิบ ครั้งที่สี่ร้อยหกสิบ ครั้งที่ห้าร้อยเจ็ดสิบ ครั้งที่หกร้อยแปดสิบ…ขั้นตอนทั้งหมดไม่มีหยุดชะงัก เด็ดขาดอย่างมาก
จนกระทั่งเจ้าเงาจางลงเรื่อยๆ จำใจหดลงเป็นก้อน ทำให้สีของร่างกายมันไม่จาง หลังจากที่มันเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย ร่างของมันก็เปลี่ยนเป็นคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แสดงท่านั่งคุกเข่า โขกศีรษะอ้อนวอนไม่หยุด
สวี่ชิงมองเงาที่โขกศีรษะไม่หยุดนี้อย่างเย็นชา มือขวากดลงไปอีกครั้ง
ขณะเสียงครืนครัน ก็จัดการตบด้วยฝ่ามือจนสลายไป
เสียงกรีดร้องหยุดลงทันควัน
สวี่ชิงสีหน้าสงบ นั่งอยู่ใต้แสงตะวัน ข้างกายเขาไม่ปรากฏเงาขึ้นมาอีก แต่เขาก็ไม่ใส่ใจภาพที่ไม่คุ้นเคยนี้ ลุกขึ้นเดินไปที่กาบเรือเวท ก้มหน้ามองมหาสมุทรสีดำ
ถ้าหากเขายังมีเงาอยู่ล่ะก็ ตำแหน่งของเงาก็คงจะถูกสะท้อนไปยังมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาดภายใต้แสงตะวันตอนนี้
ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงเดินไปที่หัวเรือ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ไสหัวออกมาเสีย!”
ดาดฟ้าเรือนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยใดเผยออกมา
จู่ๆ สวี่ชิงก็หัวเราะ ความเย็นเยียบในดวงตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงม่วงที่หน้าอกส่องสว่างขึ้นรางๆ พริบตาที่กำลังจะปะทุต่อเนื่อง เจ้าเงาที่สลายไปก่อนหน้าก็ปรากฏขึ้นบนดาดฟ้าเรือด้วยอาการสั่นเครือ
พริบตาที่ปรากฏตัวก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นคนตัวเล็กรีบร้อนโขกศีรษะ การอ้อนวอนรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“ออกมาช้านะ” สวี่ชิงค่อยๆ เอ่ยขึ้น ทำการสะกดอีกครั้ง
เสียงครืนครัน คนตัวเล็กแตกสลาย เสียงโหยหวนออกมาได้แค่ครึ่งเดียวก็สลายไป
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หลับตาลงทำสมาธิ เขาพบว่าเจ้าเงานี้ถ้าคิดจะทำให้มันตายคงต้องจัดการอีกหลายครั้ง ดังนั้นจึงศึกษาผลึกวารีสีม่วงที่หน้าอก ค้นหาวิธีที่จะเล่นงานเจ้าเงาให้ตายอย่างสิ้นเชิง
เวลาไหลผ่าน ไม่นานก็ถึงช่วงกลางวัน ตอนที่แสงตะวันร้อนแรงที่สุด ในช่วงครึ่งวันที่บรรพจารย์สำนักวัชระตึงเครียดอย่างรุนแรง สวี่ชิงก็ลืมตา มองไปยังดาดฟ้าเรือที่เงียบสงบ
“ไสหัวออกมา”
พริบตาต่อมา เจ้าเงาก็มารวมตัวกันด้วยความเร็วน่าตกตะลึง ราวกับกลัวว่าถ้าช้าจะถูกทรมานอีกครั้ง
แม้เงาของมันจะดูจางมาก แต่พอผ่านการฟื้นฟูไปหลายชั่วยาม มันก็พอมีโครงร่างกลับมาแล้ว กลับไปอยู่ในรูปร่างต้นไม้อีกครั้ง
ในอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาขณะที่สั่นเทา นอกจากการอ้อนวอนแล้ว ความหวาดกลัวมากยิ่งกว่าก่อนหน้านับสิบเท่า
“เจ้าอยู่ข้างตัวข้ามานาน น่าจะรู้นิสัยของข้า”
สวี่ชิงมองเจ้าเงาเย็นชา เขาคิดจะเล่นงานมันให้ตาย แต่การจะค้นคว้าผลึกวารียังต้องใช้เวลา ดังนั้นหลังจากอีกฝ่ายยิ่งทวีความหวาดกลัวรุนแรงขึ้นภายใต้การจับจ้องนี้ สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา
“ให้เวลาเจ้าสามเดือน เปลี่ยนความคิดที่ข้าจะสังหารเจ้าเสีย หากเจ้าทำไม่ได้…” สวี่ชิงไม่พูดต่อ
เงาสั่นระริก โขกหัวต่อไม่หยุด เหมือนกำลังรับประกัน
“ตอนนี้เจ้าจงบอกข้า หลังจากที่เจ้ายกระดับแล้วมีอะไรแตกต่างกับก่อนหน้าบ้าง” สวี่ชิงมองเจ้าเงาผาดหนึ่ง
“กัด…คุม…” เจ้าเงาพยายามถ่ายทอดข้อความออกมา แต่มันตอนนี้อ่อนแอเกินไป และอาจเป็นเพราะลักษณะพิเศษของตัวมัน ทำให้หลังจากที่มันยกระดับก็ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้หมดจด ทำได้เพียงบรรยายออกมาเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
สวี่ชิงขมวดคิ้ว การอธิบายของอีกฝ่ายค่อนข้างเรียบง่าย เขาจำเป็นต้องรู้อย่างแม่นยำถึงความสามารถหลังยกระดับของเจ้าเงาว่าคืออะไร นี่เกี่ยวข้องไปถึงการวางกลยุทธ์ต่อสู้ในภายหลัง
“นายท่าน ข้าจัดการเอง!” ในที่สุดบรรพจารย์สำนักวัชระก็หาโอกาสพบแล้วรีบร้อนเอ่ยขึ้นมา ด้านนอกร่างกายมีสายอัสนีแล่นผ่าน ทำให้เขาพุ่งเข้าไปอยู่เบื้องหน้าเจ้าเงาอย่างเร็วรี่ จ้องเขม็งไปยังดวงตานับร้อยของเจ้าเงา เอ่ยสอบถามเสียงต่ำอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะถามเจ้า ถ้าถูกต้องเจ้าก็กระพริบตา ถ้าผิดให้เจ้าพยักหน้า ตอนนี้บอกข้ามาว่าที่เจ้าบอกว่ากัดคือกัดอะไร กัดไอพลังประหลาด? กัดเลือดเนื้อ? กัดเงา?”
เจ้าเงามองบรรพจารย์สำนักวัชระ ในดวงตาเผยความชั่วร้าย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือก มันบรรยายได้ไม่ชัดเจนพอจึงทำได้เพียงเชื่อฟัง และหลังจากที่ได้ยินบรรพจารย์สำนักวัชระบอกว่ากัดเงา มันก็รีบร้อนกระพริบตา
“กัดตนเอง? กัดผู้อื่น?”
“กัดหนึ่งครั้ง? กัดทั้งหมด?”
“อันนั้นเรียกกลืนกิน…หลังจากกลืนแล้วควบคุมได้หรือ ควบคุมร่างกาย? ควบคุมจิตวิญญาณ?”
หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่ง บรรพจารย์สำนักวัชระก็กระจ่าง รีบร้อนหันกลับไปมองสวี่ชิง
“นายท่าน ข้าเข้าใจแล้ว ความหมายของเจ้าเงาคือมันสามารถกลืนกินเงาของคนอื่นได้ หลังจากการกลืนกินเสร็จก็สามารถควบคุมร่างกายของอีกฝ่ายได้ แต่เพราะมีตัวตนบางอย่างจากนายท่านทำให้มันหวาดกลัว ดังนั้นมันจึงทำไม่ได้!” บรรพจารย์สำนักวัชระพูดจบ เจ้าเงาก็เผยอาการเห็นด้วยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รีบร้อนพยักหน้า
แต่เพียงไม่นานมันก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา รีบร้อนส่ายหัว 艾琳小說
ท้ายสุดก็มองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างสับสน เห็นได้ชัดว่าการสะกดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้าของสวี่ชิง ทำเอาสติปัญญาของมันเสียหาย กระทั่งความฉลาดเฉลียวเองก็ไม่เหมือนเดิมอีกด้วย
“เจ้าเงาเจ้าต้องจำเอาไว้ ถ้าถูกต้องให้กระพริบตา ผิดให้พยักหน้า เช่นนี้ก็จะแยกแยะได้ง่ายขึ้น ทำให้ข้าเข้าใจความนัยที่เจ้าอยากจะสื่อออกมาได้สะดวก” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยปากอย่างใจดี มองเจตนาอื่นใดไม่ออก
เจ้าเงาฟังจบ รีบร้อนกระพริบตา
รอยยิ้มของบรรพจารย์สำนักวัชระอ่อนโยนมาก ในใจกลับแอบคิดว่าเจ้าเงาโง่เอ๋ย ถ้ายังกล้าเผยจิตสังหารใส่ข้า ก็คอยดูว่าหลังจากนี้ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร ขอแค่เจ้าเคยชินกับการอธิบายของข้า เคยชินว่าตอนที่ผิดให้พยักหน้า เช่นนั้นข้าก็มีวิธีการมากมาย ที่จะทำให้เจ้าต้องลำบากแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
สวี่ชิงไม่สนใจความคิดของบรรพจารย์สำนักวัชระ หลังจากได้ยินความสามารถของเจ้าเงาก็รู้สึกตะลึงขึ้นมา
เขาคิดว่าความสามารถนี้แปลกประหลาดมาก ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็รู้ว่าตัวตนน่ากลัวที่เจ้าเงาพูดถึงคือผลึกวารีสีม่วง
“ยังมีอีกหรือไม่”
“ดวงตา…มอง…” เจ้าเงารีบร้อนเอ่ยตอบ พูดจบก็มองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ
หลังจากบรรพจารย์สำนักวัชระสื่อสารอีกรอบ ก็อธิบายอีกว่า
“มันยังมีอีกหนึ่งความสามารถคือสามารถตัดดวงตาเงาออกมา แล้วนำไปซ่อนในเงาของผู้อื่น ทำให้นายท่านสามารถมองสำรวจผ่านมันได้”
“อาณาเขต…” เจ้าเงาส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
บรรพจารย์สำนักวัชระครุ่นคิด หลังจากถามไปไม่กี่คำ ก็ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร หันหน้าไปมองสวี่ชิง เอ่ยอย่างนอบน้อม
“นายท่าน เจ้าเงาบอกว่ายังสามารถกลายสภาพเป็นอาณาเขตเงาได้ด้วย แต่คงอยู่ได้ไม่นาน ทว่าพอเปิดใช้งาน ความสามารถในอาณาเขตของมันก็จะยกระดับขึ้นอีกมาก”
พอได้ยินคำอธิบายของบรรพจารย์สำนักวัชระ เจ้าเงาก็ผ่อนใจโล่งอย่างเห็นได้ชัด มองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ มันรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนก่อนหน้าแล้ว จึงกระพริบตาอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงเหมือนมีความคิดมากมาย การเปลี่ยนแปลงของบรรพจารย์สำนักวัชระมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่หลังจากที่เจ้าเงายกระดับขึ้นก็แปลกประหลาดอย่างมาก ถ้าร่วมมือกับตนก็จะสามารถทำให้การลงมือของเขาพลิกแพลงได้หลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น
หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงมองไปยังมหาสมุทร ในหัวมีภาพยักษ์ลากราชรถเมื่อครู่ฉายขึ้นมา
เขาค่อยๆ หรี่ตาลง คิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสเจ้า ความลับที่อยู่น้อยนิดบนโลกที่สลักอยู่ในราชรถสัมฤทธิ์นั่น
วิชาลับระดับจักรพรรดิ เคล็ดวิชาจินอูหลอมหมื่นวิญญาณ!
“ต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าไปในราชรถสัมฤทธิ์เรียนวิชาลับได้…” สวี่ชิงใจกระตุก มองไปยังมหาสมุทร ตอนที่สายตาเผยความครุ่นคิด บรรพจารย์สำนักวัชระที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เจ้าเงาก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า
“เจ้าเงา ข้ารู้ว่าอันที่จริงเจ้าไม่ค่อยสบอารมณ์กับนายท่านนักใช่หรือไม่”
เจ้าเงาตกตะลึง รีบร้อนพยักหน้า
“เจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น ข้าเคยอ่านตำราโบราณมามาก ในนั้นแค่เป็นพวกทรยศจุดจบล้วนไม่ตายดีทั้งสิ้น แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยยินยอมนัก เจ้าคิดว่าท้องฟ้ากว้างไกลถึงจะเป็นสถานที่ให้เจ้าโบยบิน ดังนั้นเจ้าจึงคิดแต่จะแว้งกัด คิดจะโค่นล้มนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่”
สวี่ชิงพอได้ยินก็มองเข้ามา
เจ้าเงาที่อยู่ในสายตาของสวี่ชิงสั่นระรัว พยักหน้าอย่างระมัดระวัง