ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 175 ตั่งของพระอาทิตย์
บทที่ 175 ตั่งของพระอาทิตย์
สวี่ชิงกัดฟัน แววตามุ่งมั่น เขารู้สึกว่าจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องพิจารณาว่าเสียงของขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาลมีผลต่อยักษ์หรือไม่ หากไม่มีผลตนต้องเตรียมตัวถอยก่อนให้ดี
หากมีผล จะเกิดผลทันทีหรือต้องใช้เวลาครู่หนึ่งก็ยังไม่รู้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงสะบัดมือทันที ทันใดนั้นขวดจับเสียงกะพริบแสงวูบวาบ เสียงในนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แผ่ลอยไปในทะเล
สวี่ชิงกลั้นหายใจ จ้องยักษ์ลากราชรถใต้ทะเลเขม็ง
ยักษ์ตนนี้อยู่ภายใต้เสียงจากขวดจับเสียงก็ไม่มีท่าทีผิดปกติอะไร ยังคงก้าวเท้าต่อไป เหมือนเล็งเป้าหมายเอาไว้ที่สวี่ชิงแล้ว เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เก้าร้อยจั้ง แปดร้อยจั้ง เจ็ดร้อยจั้ง…
สวี่ชิงจิตใจเต้นโครมคราม ความรู้สึกกดดันยิ่งรุนแรงขึ้น ทำให้ทั่วทั้งร่างถูกกดอัด ภายใต้แรงกดดันนี้ปอดไม่อาจขยายได้ ลมหายใจเปลี่ยนมายากลำบาก เส้นเลือดในดวงตามีมากขึ้น
‘หรือจะไม่เหมือนกับที่ข้าคิดอย่างนั้นหรือ’ สวี่ชิงมองราชรถที่ใกล้เข้ามา ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่เห็นภาพฝาผนังได้ชัดขึ้น กระทั่งว่ายังสามารถมองเห็นร่องรอยตัวอักษรบางตัวที่สลักในนั้นได้ด้วย
แม้ตัวอักษรพวกนั้นจะรางเลือน แต่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นลายพระหัตถ์ของจักรพรรดิ พลังอำนาจเปี่ยมล้น มาพร้อมกับพลังแห่งจักรพรรดิ
‘ค่อนข้างเจ็บใจแฮะ’ สวี่ชิงกระอักเลือดออกมา สีหน้าฉายความเสียดายอย่างมากออกมา ลอบถอนหายใจ เตรียมถอย
ในเมื่อขวดจับเสียงไม่ได้ผล เช่นนั้นหากอยู่ต่อไป เมื่อยักษ์เข้ามาใกล้ขึ้น เขาคิดอยากจะหนีไปอย่างปลอดภัยก็จะเต็มไปด้วยอันตราย และในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงจะถอยหนี จู่ๆ รูม่านตาของเขาก็หดเล็กลง
ในเสี้ยวขณะที่ยักษ์ลากราชรถอยู่ห่างกับเขาหกร้อยจั้ง ฝีเท้านั่นเป็นครั้งแรกที่มัน…หยุด มันเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาดุจถ้ำดำมืดไร้จิตใจ เอียงศีรษะ เหมือนกำลังฟัง
สวี่ชิงดวงตาเบิกโพลง ในขณะที่หัวใจเต้นอย่างรุนแรง ยักษ์ลากราชรถก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวเล็กๆ อีกก้าวหนึ่ง สุดท้ายก็อยู่ห่างกันห้าร้อยจั้ง
ตำแหน่งนี้ พลังกดดันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว จิตใจสวี่ชิงเต้นโครมคราม เลือดไหลทั้งเจ็ดทวาร บรรพจารย์สำนักวัชระกรีดร้องโหยหวน ร่างถูกพลังกดดันไร้รูปร่างตรึงไว้บนกระดานเรือจนกระดุกกระดิกไม่ได้ และเรือเวททั้งลำในตอนนี้ก็ส่งเสียงเอี๊ยดๆ ออกมา คล้ายว่าไม่อาจทนรับไหว
ดีที่หลังจากร่างของยักษ์หยุดลง ขาทั้งสองของมันครั้งนี้ไม่ขยับแล้ว มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ขยับไม่หยุด สุดท้ายก็เอียงหัวค้างไว้ เหมือนกำลังฟังอย่างละเอียด
ดวงตาทั้งสองที่เหมือนถ้ำดำค่อยๆ เกิดระลอกคลื่นอารมณ์บางอย่าง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ฉายความงุนงงออกมา!
‘ได้ผล!’
สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าฉายความบ้าคลั่งออกมา ร่างกายพุ่งทันทีด้วยความเร็วจี๋ภายใต้สภาวะแสงนภา ในตอนพุ่งออกไปก็ไม่ลืมที่จะเก็บเรือเวท แผ่พลังเวทกลุ่มหนึ่งออกไปภายนอกถือขวดจับเสียง ให้มันลอยอยู่กลางอากาศ
ร่างของเขาพุ่งลงสู่ทะเลดังตูม พุ่งไปทางยักษ์ลากราชรถที่ห่างออกไปห้าร้อยจั้งอย่างเร็วรี่
ร่างของสวี่ชิงปริแตกทันทีจากการเข้าไปใกล้ รอยปริแต่ละทางๆ ลามไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบาดแผล เลือดพุ่งกระฉูด
วิญญาณของเขาก็กำลังสั่นสะท้าน เหมือนจะแตกสลาย ไฟชีวิตในร่างไหวระริกรุนแรง เหมือนมีลมพัดมาจะดับมัน
หากเปลี่ยนเป็นไฟชีวิตทั่วไป ภายใต้พลังกดดันตอนนี้เปลวไฟจะต้องถูกดับไปอย่างแน่นอน แต่ไฟชีวิตของสวี่ชิงวางอยู่บนตะเกียงแห่งชีวิต มีรากฐาน ไม่มีทางดับไปง่ายๆ
ในช่วงวิกฤตนี้ สวี่ชิงสะบัดมือ ร่มดำคันใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
ร่มดำเมื่อปรากฏขึ้นก็เหมือนฉัตร เพลิงสีดำห่อหุ้มสวี่ชิงไว้ในนั้น
พลังกดดันภายนอกก็หายไปเล็กน้อยในเสี้ยวพริบตานี้เอง ทำให้ในขณะเดียวกันทั่วทั้งร่างของสวี่ชิงก็เบาลง พลังฟื้นฟูจากผลึกแก้วสีม่วงก็โคจรขึ้นเต็มอัตราปรับสมดุลร่างกายเขา
แต่ว่าสวี่ชิงในตอนนี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว เขาปะทุความเร็วขึ้น ในยามที่ยักษ์เอียงศีรษะฟัง ก็ข้ามระยะห้าร้อยจั้งมาปรากฏข้างกายมันทันที
ตำแหน่งที่สวี่ชิงอยู่คือเอวของยักษ์ ร่างของเขาเมื่อเทียบกับยักษ์แล้วก็เหมือนแมลงกับคน เหมือนว่าฝ่ามือเดียวก็ตบเขาตายได้
ดังนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังคงรุนแรงเป็นอย่างยิ่งในใจสวี่ชิง
ระยะใกล้ถึงเพียงนี้ เขากระทั่งว่ามองเห็นรอยเน่าเฟะและได้กลิ่นศพจากร่างของยักษ์ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นรอยแผลที่น่าสยดสยองทั่วทั้งร่างยักษ์ตนนี้
รอยแผลพวกนี้มีมากมหาศาล เป็นบาดแผลที่เหมือนเกิดจากใช้ร่างกายของตัวเองไปต้านทานภยันตรายทั้งปวงเพื่อปกป้องอะไรที่สำคัญบางอย่าง
ทั้งหมดนี้ทำให้สวี่ชิงซาบซึ้ง
ทว่าแผนการของเขาก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าถูกต้อง
ดังนั้นต่อให้มีฉัตรคุ้มครองรวมกับการฟื้นฟูจากผลึกแก้วสีม่วง ก็ยังคงทำให้ทั่วร่างของเขาปริแตกอยู่ตลอด ร่างกายคล้ายจะแตกสลาย แต่จะอย่างไรสิ่งที่เขาเผชิญหน้าก็เป็นเพียงแค่พลังกดดัน เป็นกลิ่นอายที่ยักษ์แผ่ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่การลงมือที่เกิดจากความต้องการ
สองเรื่องนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนนี้เขาเพียงแค่ไหววูบก็พุ่งผ่านข้างกายยักษ์ไปอย่างเร็วรี่ ทะยานตรงไปยังราชรถสัมฤทธิ์สูงใหญ่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนเสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงในที่สุดก็พุ่งมาอยู่ข้างหน้าราชรถที่เอียงกระเท่เร่
แม้จะเต็มไปด้วยรอยสนิม แต่ก็ยังคงเป็นราชรถที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้เป็นจักรพรรดิ
แม้จะทรุดโทรมเหลือคณา แต่ก็ยังคงสลักไว้ซึ่งความหรูหราโออ่า
แม้จะถูกฝังมาเนิ่นนาน แต่ความสูงส่งของจักรพรรดิก็ไม่เคยหายไป
ในตอนนี้เอง…
สะท้อนเข้าไปในดวงตาของสวี่ชิงอย่างชัดเจน ประทับในจิตใจ สลักเอาไว้ในวิญญาณ!
ความรู้สึกที่ทำให้คนต้องหมอบคารวะปะทุขึ้นมาในจิตใจ
แต่ความรู้สึกอันตรายที่มาจากยักษ์ทำให้สวี่ชิงต้องเมินทุกอย่างนี้ ตอนนี้เท้าขวายกขึ้นเหยียบออกไป เคลื่อนร่างกายพุ่งไปในราชรถสัมฤทธิ์ทันที!
ที่นี่คือตั่งของดวงตะวัน!
ที่นี่คือที่นั่งของของจักรพรรดิ!
ที่นี่เป็นที่ที่คนธรรมดาชั่วชีวิตก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้!
และราชรถนี้ก็ใหญ่มาก เสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงก้าวเข้าไปก็เหมือนตัวอยู่ในวังตำหนักใหญ่โตแห่งหนึ่ง เขามองเห็นบัลลังก์ขนาดมหึมาที่กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งตรงนั้น
มองเห็นภาพมงคลนับไม่ถ้วนรอบๆ
มองเห็นเชิงเทียนหักพังเต็มพื้น ยิ่งเห็น…บนผนังด้านในของราชรถด้านหนึ่ง มีอักขระถี่ยิบมากมายสลักอย่างโย้เย้ไม่เป็นระเบียบอยู่!
อักขระพวกนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเร่งรีบ คล้ายว่าก่อนตายไม่อยากให้การสืบทอดของตัวเองหายไป ดังนั้นจึงทิ้งเอาไว้
และในเสี้ยวขณะที่สายตาของสวี่ชิงมองไป ในหัวของเขาก็เหมือนมีอัสนีสวรรค์หนึ่งแสนทางฟาดผ่าลงมาพร้อมกัน เกิดเป็นสายฟ้าฟาดคำรามสนั่นหวั่นไหวที่สามารถฉีกทึ้งทุกสิ่งกระจายไปทั่วทุกมุมของร่างกายเขา
ในขณะที่ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง ข้างหน้าเขาก็มีแสงเจิดจ้าแสบตามากมายปรากฏขึ้น แสงพวกนี้เป็นสีทอง ท่ามกลางการหลอมรวมไม่หยุดก็กลายเป็นวิหคสีทองที่ปีกทั้งสองหุบลู่ ทะยานสู่สวรรค์
ขนาดของวิหคสีทองตัวนี้ต่อให้ไม่กางปีกก็ยังกินพื้นที่ไปครึ่งฟ้า แสงทองทั่วร่างกะพริบวูบวาบราววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายยิ่งเหนือกว่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่สวี่ชิงเคยเจอมา ไม่ว่าจะเป็นจวีอิงหรือวิหคเพลิงสวรรค์ เหมือนว่าอยู่ต่อหน้าวิหคตัวนี้ ล้วนเป็นประชาชนทั่วไปทั้งนั้น!
รัศมีอำนาจสูงส่ง ประดุจราชันประดุจจักพรรดิ!
บันทึกในโถงค้นคว้าท้องสมุทรและคำบอกเล่าของผู้อาวุโสสามในตอนนั้น และยังมีภาพสัญลักษณ์ที่สวี่ชิงได้เห็นบนราชรถสัมฤทธิ์คันนี้ข้างนอกเมื่อตอนก่อนหน้านี้ ล้วนบอกเขาเรื่องเดียวกัน
ดวงตะวันของโลกใบนี้เป็นผู้แข็งแกร่งเกรียงไกรดุจจักรพรรดิโบราณ ร่างของเขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเทพวิหคทอง!
เมื่ออาทิตย์ขึ้นพระองค์ก็ลอยสู่ฟ้า เมื่ออาทิตย์ตกก็หวนกลับคืน แสงของพระองค์สาดส่องใต้หล้า บางทีอาจจะไม่ได้ปกคลุมไปทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แต่อย่างน้อยภายในบริเวณแสงขององค์ท่าน พระองค์เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของสรรพชีวิตทั้งหลาย
และจิตใจของสวี่ชิงตอนนี้เต้นโครมคราม เกิดคลื่นยักษ์ท่วมฟ้า วิญญาณสั่น กายเนื้อสั่นเทิ้มเช่นกัน
เขามีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
นั่นคือความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในเทพนิยายที่ไม่ใช่เรื่องจริง
นั่นคือความรู้สึกเหมือนฝันที่เหยียบเข้ามาในอดีตอันยาวนานก่อนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าจะมาเยือน
ยิ่งมีความรู้สึกตื่นตะลึงที่อยู่ในราชรถสัมฤทธิ์ของดวงตะวันที่เคยอยู่สูงส่ง ได้รับการหมอบเคารพจากสรรพชีวิตทั้งหลาย
ความรู้สึกนี้ทำให้วิญญาณของสวี่ชิงถูกโจมตีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสายตาที่ได้เห็นตอนนี้ วิหคสีทองที่ประดุจราชันประดุจจักรพรรดิทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่พุ่งออกไปปีกก็ยังคงหุบลู่ แต่จะเห็นได้ว่าขนนกทุกอันบนนั้นล้วนกำลังขยับ แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองแห่งเต๋าที่ไม่อาจบรรยายได้ในนั้น
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนรูปสลักกายทองที่ถือดาบเดินลงมาในศาลเจ้าเขตพื้นที่ต้องห้าม ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้น
ดาบนั่นในตอนนั้นทำให้เขาตื่นตะลึงสุดขีด จวบจนวันนี้ดาบสวรรค์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขา เพียงแต่ตอนนั้นขอบเขตของเขายังต่ำเกินไป สัมผัสไม่ได้แม้เพียงหนึ่งในหมื่น ดังนั้นในด้านพลังจึงไม่อาจสำแดงออกมาได้มากกว่านั้น
แต่เนื่องจากเช่นนี้กลับทำให้สามารถพิสูจน์ได้ว่าในด้านความสามารถในการเรียนรู้ของสวี่ชิงเหนือกว่าคนอื่น
พรสวรรค์ของเขาในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตบางทีอาจจะไม่เลวเลย แต่หากมองไปให้ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เผ่ามากมาย สำนัก พรรค นับไม่ถ้วน ลำพังเพียงด้านพรสวรรค์ คนที่เหนือกว่าเขาก็น่าจะมี
แค่สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองเต๋าของดาบนั้นในตอนที่เป็นระดับรวมปราณได้ ก็มากพอจะบอกได้ว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเขานั้นสูงมาก
ตอนนี้ความสามารถในการศึกษาเรียนรู้ เขาก็ได้แสดงออกมาให้เห็นโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งตัวเขาดำดิ่งอยู่ในเทพวิหคทองที่เห็นอยู่ในสายตา
เขามองพระองค์พุ่งสู่สวรรค์ชั้นฟ้า มองพระองค์แหวกผืนนภา มองพระองค์เปล่งเสียงคำรามที่ปลายขอบฟ้า
นอกตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิง ท่ามกลางแสงรางเลือนก็มีเงากลุ่มหนึ่งผันเปลี่ยน มันเปลี่ยนจากรางเลือนหลอมเป็นวัตถุจริงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ วาดเค้าโครงของวิหคทองที่สวี่ชิงได้เห็น
โครงร่างนี้ชัดเจนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จวบจนในสายตาสวี่ชิงเห็นเทพวิหคทองสาดแสงสีทองไปทั่วทั้งใต้หล้า ปีกของพระองค์ก็พลันกางออก แล้วโบกสะบัด
นี่เป็นการสยายปีกครั้งแรก!
ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมีสัญญาณการแตกร้าวเหมือนแบกรับไม่ไหว เสียงสะเทือนฟ้าดินดังกึกก้องเลื่อนลั่น เหมือนมีสายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดผ่าลงมาพร้อมกัน และเกิดเป็นคลื่นถาโถมในใจสวี่ชิงเช่นกัน
จิตใจของสวี่ชิงเหมือนจะระเบิด เค้าร่างวิหคทองนอกตะเกียงแห่งชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเร็วขึ้น ขณะเดียวกันข้อมูลมายก็แผ่ออกมาจากวิหคทองที่เห็นในตอนนี้ ทะลักเข้ามาในจิตใจของเขา ผสานไปในเค้าร่างข้างตะเกียงแห่งชีวิต
ข้อมูลนี้ประดุจพายุ เนื้อหาในนั้นมากมายเกินไป สวี่ชิงไม่ทันได้อ่านเลย ตอนนี้ร่างของเขาสั่นสะท้าน หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา เส้นเลือดในดวงตาแผ่ลาม ทนรับไปทั้งอย่างนั้น
นี่คือการสืบทอด!