ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 205 บุญคุณจะคงอยู่ในฝันชั่วนิรันดร์
บทที่ 205 บุญคุณจะคงอยู่ในฝันชั่วนิรันดร์
สวี่ชิงไม่สนใจ
เขารู้สึกว่าแมลงสีดำที่ตนเองค้นคว้ายังไปไม่ถึงจุดที่เขาต้องการ หลักๆ คือวิธีการฉีกกัดจากภายนอก สวี่ชิงยังไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
‘ดังนั้นทิศทางของข้าก็ควรจะเป็นสองทางนี้ หนึ่งคือใหญ่ขึ้น อีกหนึ่งคือเล็กลง…’
สวี่ชิงพอครุ่นคิด ก็เลือกเล็กลง
เช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถทำได้อย่างไร้ซุ่มเสียง ถึงสามารถสังหารคนอย่างไร้รูปร่างได้ ดังนั้นช่วงเวลาหลังจากนี้ สวี่ชิงจึงจัดระเบียบทิศทางการค้นคว้า หลอมสร้าง สังเกตการณ์ต่อ
ความรู้สึกนี้ทำให้เขาสบายใจอย่างมาก ราวกับว่าศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
กระทั่งนอกจากพิษศพแล้ว เขายังเพิ่มยาพิษที่ตนเองหลอมในช่วงสองปีนี้ ยาพิษเหล่านี้ดูแล้วก็ธรรมดา แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าพอแมลงสีดำกินเข้าไป แล้วกลายเป็นพลังต้านพิษก็ถือว่าใช้ได้อยู่
‘ถ้าหากการหลอมพิษครั้งนี้สำเร็จ ก็เท่ากับข้าหลอมพิษที่เป็นของข้าอย่างแท้จริงชนิดแรกออกมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพิษที่มีชีวิตอีกด้วย’
สวี่ชิงรู้สึกว่าพอเทียบกับพิษของตนเองก่อนหน้า ที่หลอมออกมาตอนนี้ถือว่าไม่เลว
นอกเหนือจากนี้ หินวิญญาณของสวี่ชิงช่วงนี้ก็จ่ายออกไปเหมือนน้ำไหล ทำเอาเขาปวดใจเหลือเกิน
ยาสมุนไพรกับประเภทของตัวยาสมุนไพรที่เขาซื้อก็มากมายจริงๆ กระทั่งจ่ายซื้อหญ้าสมุนไพรที่แพงมากๆ อย่างไม่ลังเล แล้วนำมาทดสอบ
และสุดท้ายที่เลือกส่วนใหญ่ก็เป็นสมุนไพรพิษ ขณะที่ป้อนให้กับแมลงสีดำอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็ทดสอบพิษอีกหลายครั้ง และหาสมุนไพรที่ทำให้แมลงสีดำตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนพบ
เพียงแต่วิธีการนี้ไม่สมบูรณ์นัก จำเป็นต้องปรับขนาดตัวยาอีกหลายครั้ง และยิ่งต้องการให้ผู้ทดสอบพิษให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกายด้วย
แต่นักโทษประกาศจับของหน่วยปราบพสุธากรมปราบพิฆาตก็ตายหมดแล้ว นักโทษประกาศจับหน่วยปราบนภาสวี่ชิงก็รู้สึกว่าน่าจะอยู่ได้ไม่นานนัก
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรำคาญเล็กๆ เขารู้สึกว่าพิษชนิดนี้ของตนเองมาถึงช่วงสำคัญแล้ว
“หรือต้องออกทะเลอีกสักรอบ…”
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ก็ละทิ้งความคิดนี้ไป ล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา ประกาศภารกิจให้แก่กรมปราบพิฆาตทั้งหมด
ไม่นานนัก ศิษย์ในกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด ก็พุ่งตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง โหมคลื่นปราบปรามที่รุนแรงออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
คนร้ายประกาศจับทั้งหมดที่ยังอยู่ในเขตท่าเรือใจสั่นระรัว ในช่วงหนึ่งจากการทอดแหหว่านคนร้ายประกาศจับ ความปลอดภัยของทั้งเขตท่าเรือ ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาผิดหูผิดตา
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นสวี่ชิงรุ่งเรืองในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว นายกองก็ไม่ยอมแพ้ การเคลื่อนไหวของกรมข่าวกรองก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีการจับไส้ศึกได้ทุกวัน
พวกปลาซิวปลาสร้อยในนี้ เมื่อนายกองบันทึกแล้วลงโทษนิดหน่อยก็ไม่ได้จัดการต่ออย่างตั้งใจ จุดสำคัญของเขาคือปลาใหญ่ที่ซ่อนอยู่เหล่านั้น ทั้งท่าเรือจึงมีบรรยากาศที่ดีขึ้นเช่นนี้
ในช่วงหนึ่ง ชื่อเสียงของสวี่ชิงกับนายกองก็กึกก้องยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกในสำนัก
เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของนายกองทางนั้น ส่วนใหญ่มาจากการขานชื่อของพวกหมาบ้า แต่สวี่ชิงทางนี้…กลับเป็นความโหดเหี้ยม!
เรื่องที่เขานำคนร้ายประกาศจับทั้งหมดในกองปราบพิฆาตมาทดลองยาแพร่งพรายออกไปแล้ว กระทั่งชื่อเสียงในระดับหนึ่ง สวี่ชิงยังน่าหวาดผวามากกว่านายกองเสียอีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ การทดลองพิษของสวี่ชิงยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงเพ่งเล็งไปที่คุกใหญ่ของกรมปราบพิฆาตอีกหกยอดเขาที่เหลือ เพียงแต่หลังจากเจรจาแล้วก็ถูกปฏิเสธ
มีเพียงกองปราบพิฆาตยอดเขาลำดับหนึ่ง ที่ส่งผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่ถูกจับกุมบางส่วนมา ดังนั้นสวี่ชิงจึงจัดลูกน้องให้ตรงไปจับนักโทษประกาศจับจากเขตอื่น
การจับกุมข้ามเขต ถือเป็นข้อห้ามใหญ่หลวง สวี่ชิงเองก็ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น แต่นายกองพอเห็นสวี่ชิงทำเช่นนี้ ก็เลยเริ่มข้ามเขตบ้างเช่นกัน
กรมข่าวกรองกับกรมปราบพิฆาตของยอดเขาอื่นก็ร้อนรนขึ้นมา ดังนั้นเพียงไม่นานก็เริ่มการกระทำแบบเดียวกันขึ้นมาในเขตอื่น ทั่วทั้งเจ็ดเนตรโลหิต ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศการแข่งขันที่ร้อนแรง
ในที่สุด ก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ขณะที่กองทัพใหญ่เจ็ดเนตรโลหิตในสนามรบย่างเข้าไปในดินแดนหลักของเผ่าสิงซากสมุทร ตอนที่เปิดศึกตัดสินกับเผ่าสิงซากสมุทรในแดนหลัก การกระทำของกรมข่าวกรองกับกรมปราบพิฆาตในเจ็ดเนตรโลหิต ในที่สุดก็มาถึงช่วงท้าย
สาเหตุหลัก คือสวี่ชิงรู้สึกว่านักโทษประกาศจับที่จับมาเพียงพอแล้ว แมลงสีดำของเขาก็ค้นคว้ามาถึงระดับที่ลึกมากแล้วด้วย กระทั่งถูกเขาป้อนลูกกลอนดำไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณโดยรวม ก็เปลี่ยนจากขวดเล็กก่อนหน้า กลายเป็นห้าขวด
ในทุกขวดบรรจุแมลงสีดำนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันจนเหมือนของเหลวเอาไว้ แมลงสีดำแต่ละตัวเหล่านี้ล้วนเล็กกว่าขนาดเดิมที่ได้รับมาก่อนหน้าถึงหนึ่งเท่าตัว
กระทั่งถ้าปล่อยตัวหนึ่งออกไป ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ว่าสีนั้นยากจะเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นสีดำอยู่ ดังนั้นพอจำนวนมากขึ้นจึงดูเหมือนหมอกดำ
ที่สำคัญที่สุดคือพลังการสังหารของพวกมัน หลังจากทดสอบสวี่ชิงก็พบว่าแมลงสีดำเหล่านี้พอถูกคนสูดเข้าไปในร่างกาย ก็จะทำการผสมพันธุ์และกัดกินในร่างกายทันที และในขั้นตอนนี้ยังปล่อยไอพลังประหลาดและพิษออกมาอย่างมหาศาลอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะกำจัดออกไป เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็เหมือนกับไขกระดูกในกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ฝังตัวลึก พลานุภาพแข็งแกร่ง
หลังจากสวี่ชิงค้นคว้าก็พบว่าหากเปลี่ยนเป็นตอนที่ลงมือกับเด็กสาวชุดดำ แมลงสีดำในตอนนี้เกรงว่าแค่เด็กสาวชุดดำสูดเข้าไปไม่กี่อึดใจก็คงตายได้
พลานุภาพเช่นนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าพอจะไปถึงความต้องการของตนเองแบบฝืนๆ แล้ว สามารถคุกคามระดับแก่นลมปราณไหวแล้ว
แต่ว่าน่าเสียดาย ข้างกายสวี่ชิงไม่มีคนลองพิษระดับแก่นลมปราณ แต่เขารู้สึกมีความเป็นไปได้ว่าจะมีบทบาทในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
‘โดยเฉพาะ แมลงสีดำเหล่านี้ของข้ายังสามารถเติบโตได้อีก’ จุดนี้สวี่ชิงพอใจมาก และถือเป็นผลลัพธ์ที่เขาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและซื้อหญ้าสมุนไพรมาหลอมสร้างในช่วงนี้
‘หวังว่าคงจะไม่มีวันที่ได้ไปทดสอบพลานุภาพแมลงสีดำกับแก่นลมปราณจริงๆ’ ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายเย็นเยียบ เพราะถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็เท่ากับว่าเขาต้องทุ่มทั้งชีวิตเสียแล้ว
ขณะเดียวกันสวี่ชิงเองก็หยดเลือดสดตนเองลงไปในขวดแมลงสีดำทั้งห้าใบนี้ นี่เป็นวิธีการควบคุมแมลงสีดำนับไม่ถ้วนนี้ของเขา
แมลงสีดำวางพิษแก่ศัตรู เขาเองก็วางพิษใส่แมลงสีดำด้วย!
แมลงสีดำเหล่านี้จำเป็นต้องดูดซับเลือดสดของเขาหนึ่งหยดในทุกช่วง ไม่เช่นนั้นพวกมันจะตาย และความเฉลียวฉลาดของสัญชาตญาณสิ่งมีชีวิต ก็ทำให้แมลงสีดำเหล่านี้ที่ต่อให้ไม่มีสติปัญญา ก็ยังรู้จักเข้าไปปกป้องสวี่ชิงด้วยสัญชาตญาณ
เพราะถ้าสวี่ชิงรอด พวกมันก็จะรอด
นอกเหนือจากนี้ แมลงสีดำพวกนี้ก็จำเป็นต้องกินหญ้าสมุนไพรและหญ้าพิษปริมาณมหาศาลทุกวัน และนี่ก็เป็นวิธีการชุบเลี้ยงที่ต้องจ่ายเงินมหาศาลประจำวัน ต่อให้เป็นก่อนหน้าที่สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองมีเงินมากแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกบีบคั้นเหลือเกิน
แต่เขายังมีสิ่งที่ได้รับอื่นอยู่อีก นั่นก็คือเด็กสาวชุดดำ
อีกฝ่ายยังคงถูกขังอยู่ในหน่วยปราบนิลกาฬ แต่นางก็ไม่ด่าแล้ว ทุกวันยังนั่งเงียบอยู่ที่นั่น บางครั้งก็มีคนร้ายประกาศจับใหม่ถูกจับเข้ามา ตอนที่สวี่ชิงไปทดสอบพิษ เด็กสาวชุดดำคนนี้ก็จ้องสวี่ชิงเขม็งทันที ความรู้สึกประหลาดในดวงตาก็รุนแรงขึ้นทุกครั้ง
หลายครั้งที่เสนอว่าจะเข้ามาช่วย ยิ่งไปกว่านั้นพอมองจากสายตาก็เหมือนมาจากใจจริง
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาด ขณะเดียวกันหินวิญญาณก็ลดลงอย่างมาก ทำให้สวี่ชิงตึงเครียดขึ้นมา และส่วนแบ่งจากจางซานก็ยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย ถึงอย่างไรการสร้างท่าเรือก็ต้องใช้หินวิญญาณปริมาณมหาศาล
ดังนั้นสวี่ชิงก็คิดไปถึงอาวุธเวทที่ตนเองได้รับมาก่อนหน้าแล้วถูกบรรพจารย์สำนักวัชระสูบไปกว่าครึ่ง และสร้างของปลอมขึ้นมาสำเร็จแล้วเหล่านั้น ในใจก็ขบคิดว่าหาตลาดมืดไปขายทิ้งเสียหน่อยดีหรือไม่
แต่ตอนที่สวี่ชิงชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ แผ่นหยกสีแดงแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งข้ามจากสนามรบมายังกรมข่าวกรองยอดเขาลำดับเจ็ด!
แผ่นหยกสีแดงเป็นตัวแทนของเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด!
มีเพียงเจ้ายอดเขาเท่านั้นที่จะส่งได้ ไม่ว่าสนามรบจะอยู่ไกลเพียงใด ก็ยังถูกส่งกลับมายังสำนักในสถานที่ที่กำหนดไว้โดยไวที่สุด
และจนถึงตอนนี้ แผ่นหยกสีแดงของสนามรบ ก็ส่งมาเพียงสามครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ศึกใหญ่ในสงครามทั้งนั้น จำเป็นต้องรับความร่วมมือจากสำนักจึงเสร็จสมบูรณ์
แต่ครั้งนี้…ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม เป็นผู้อาวุโสเจ็ดที่ส่งมา
หลังจากที่นายกองทางนั้นได้รับ ความคิดก็แล่นผ่าน หน้าเปลี่ยนสีทันควัน หลังจากนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ผิงกั่วในมือก็วางลงข้างๆ ลุกขึ้นจะไปหาสวี่ชิง
แต่พริบตาต่อมา เขาก็ลังเล สุดท้ายจึงถอนใจยาว และยังเลือกตรงไปยังเรือเวทของสวี่ชิง
ตอนที่นายกองเจอสวี่ชิง สวี่ชิงกำลังจัดการอาวุธเวทเหล่านั้น เขาตัดสินใจจะออกไปข้างนอกเสียรอบหนึ่ง จัดการขายอาวุธเวทเหล่านี้ทิ้ง
การมาเยี่ยมเยือนกะทันหันของนายกอง สวี่ชิงเดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่สีหน้าของนายกองเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น สิ่งนี้ทำสวี่ชิงประหลาดใจ
“นายกอง?”
“สวี่ชิง” นายกองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองสวี่ชิง ตั้งใจจะพูดแต่ก็หยุดลง
สวี่ชิงหรี่ตา จ้องนายกองเขม็ง เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“สวี่ชิง ตาเฒ่าส่งภารกิจหนึ่งมาให้ข้า” หลังจากนายกองครุ่นคิดไปหลายอึดใจ ดวงตาก็เผยแววเด็ดเดี่ยว เอ่ยเสียงขรึม
“ภารกิจนี้ ต้องการให้ข้าออกจากเจ็ดเนตรโลหิตไปยังผืนอินทนิลรอบหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเร่งด่วนมากด้วย ตาเฒ่ากำลังอยู่ในสนามรบปลีกตัวมาไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาคงจะไปเองแล้ว แต่ตาเฒ่าก็ให้ข้ามาถามเจ้าดูก่อน ว่าภารกิจนี้ เจ้าจะไปเองหรือไม่”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้อยู่แล้วว่าตาเฒ่าจากปากของนายกองคือใคร
“นายกอง ไม่ต้องปิดบังหรอก มีเรื่องอะไร”
นายกองมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก ยื่นส่งแผ่นหยกสีแดงที่ได้รับมาให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงรับและเมื่อถ่ายพลังเวทเข้าไป ข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองเขา
“ปรมาจารย์ไป่สหายข้า รุ่งสางวันนี้ถูกสังหารจนตายที่ผืนอินทนิล…”
สวี่ชิงอ่านถึงจุดนี้ หัวสมองครืนครันขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างเหมือนจะยืนไม่มั่นคง เซถอยไปหลายก้าว
หน้าซีดเผือดขึ้นฉับพลัน จากนั้นจึงปรากฏสีเลือดขึ้น หน้าผากเส้นเอ็นปูดโปน มือที่ถือแผ่นหยกก็สั่นระริกเช่นกัน
เขาเหมือนข่มใจไว้ขีดสุด ลมหายใจหอบถี่
และในใจเองก็เกิดความรู้สึกไม่เหมือนเป็นเรื่องจริงอย่างแรงกล้า ความรู้สึกนี้ทำให้สวี่ชิงถึงกับหลับตาลง
ในโลกที่มืดมิดเบื้องหน้า ก็เหมือนมีกระโจมหลังหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงแหบพร่าที่เข้มงวดดังลอดมาจากด้านใน
‘เด็กน้อย เจ้ามาตอบ!’
‘เด็กน้อย นับจากวันนี้ไม่ต้องยืนอยู่ด้านนอกแล้ว และไม่ต้องเอาหญ้าสมุนไพรมั่วซั่วมาด้วย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เจ้าเข้ามาฟังบทเรียนในกระโจม’
‘ระหว่างพวกเรา…เจ้าต้องรู้ไว้ว่าฟ้าดินคือที่พักของสรรพชีวิต แสงสว่างความมืดเป็นแขกที่ผ่านไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอแค่ยังไม่ตาย ในที่สุดก็จะได้พบกัน ข้าหวังว่าวันนั้นที่ได้เจอเจ้าอีก เจ้าจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถนะ’
ในโลกที่มืดมิด กระโจมนี้แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง สลายหายไปในดวงตาสวี่ชิง มีเพียงประโยคสุดท้ายที่ยังก้องอยู่ข้างหูเขาชั่วนิรันดร์
“ขอแค่ยังไม่ตาย ในที่สุดก็จะได้พบกัน” สวี่ชิงพึมพำ รู้สึกในปากฝืดเผื่อนเล็กน้อย ลืมตาขึ้นแช่มช้า
ปรมาจารย์ไป่ เป็นอาจารย์คนแรกที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาในความหมายที่แท้จริง