ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 209 ไม่มีที่หลบ
บทที่ 209 ไม่มีที่หลบ
ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาดวงตาหดลงฉับพลัน และร่างกายของเขาก็ขาดใจตายทันที
พริบตาต่อมา ในเขตพื้นที่ตระกูลไป่แห่งผืนอินทนิล ในซอยที่คับแคบแห่งหนึ่ง มีคนพเนจรนอนอยู่ในนั้นเจ็ดแปดคน ชายหนุ่มร่างผอมแห้งมอมแมมไปทั้งตัวคนหนึ่งในนี้เบิกตาขึ้นกะทันหัน
พริบตาที่สองตากะพริบปริบๆ เขาก็ลูบไปที่คอตนเองด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาเผยความตกตะลึงพรั่นพรึง รีบร้อนมองไปรอบๆ ผ่อนลมหายใจ สีหน้าถึงฟื้นฟูกลับมา
แต่ความพรั่นพรึงในดวงตา ยังคงไม่สลายไปในช่วงสั้นๆ
“เป็นไปได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้าคนนั้น…” ชายหนุ่มคนนี้ก็คือเผ่าพรางมายาคนนั้น ตอนที่ร่างแรกของเขาถูกสวี่ชิงพบแม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่เท่าไรนัก
ร่างที่สองอยู่ในพื้นที่ของตระกูลโจว เดิมทีเขามั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายเว้นแต่จะติดต่อให้ตระกูลโจวลงมือ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางบุกเข้ามาได้ แต่ถ้าเมื่อติดต่อกับตระกูลโจว เขาก็สามารถตรวจสอบตัวตนของอีกฝ่ายได้จากเรื่องนี้
เขาคิดไว้แล้วว่าจะหยิบยืมโอกาสนี้หลบหนีอย่างไร ถึงตอนนั้นเขากระทั่งพลิกสถานการณ์ได้เลย ให้อีกฝ่ายได้รู้จักความน่ากลัวของเผ่าพรางมายา
นอกจากนี้ แม้ผืนอินทนิลตอนนี้จะปิดผนึกการส่งข้ามสู่ภายนอก แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ลนลานเท่าไร เพราะเรื่องเช่นนี้…เห็นได้ชัดว่าจะดำเนินต่อไปได้ไม่นานนัก อย่างมากก็สี่ห้าวัน จะต้องปลดผนึกออกอย่างแน่นอนตามที่เขาพิจารณาไว้
ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครที่หาตัวเขาพบอีก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิด จะสังหารเขาได้ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็หลบหนีไปได้อยู่ดี
อันที่จริงเรื่องคล้ายๆ กัน เขาก็ผ่านมาแล้วมากมาย มีเพียงครั้งนี้ที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
อีกฝ่ายไม่เพียงแต่หาร่างที่สองของเขาพบอย่างรวดเร็ว กระทั่งความรู้สึกตอนที่ตัวคนเข้ามาประชิดก็เหมือนจะประหลาดยิ่งกว่าตนเองเสียอีก
โดยเฉพาะประโยคที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงกระซิบแล้วใช้ลำไส้พันไว้บนคอเขานั่น ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้จิตวิญญาณสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
‘เจ้านายข้าทักทายเจ้า เขาให้ข้าบอกเจ้าว่า ละคร…เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น’
“ละครเพิ่งจะเริ่มต้น…” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้พึมพำ ร่างกายสั่นเทิ้ม เขาตระหนักได้ว่าตนเองน่าจะพบกับความยุ่งยากเข้าแล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการที่พิเศษอย่างมากอยู่อีกด้วย
‘หรือจะใช้งานเจ้าร่างนั้นดี…’ ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ลังเลไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ ในดวงตาปรากฏความไม่ยินอม เขาเตรียมร่างที่ตนเองสามารถใช้งานได้ตลอดเวลาร่างหนึ่งที่นอกเมือง
เพียงแต่ถ้าใช้งานก็เท่ากับว่าต้องออกจากเมืองหลวงผืนอินทนิล สิ่งนี้ทำให้เขาลังเลไม่หยุด ถึงอย่างไรขอแค่ยืนหยัดซ่อนตัวอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ไม่แน่การปิดผนึกคงจะสิ้นสุดลงแล้ว
“บางทีอาจจะแค่บังเอิญ!” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้สูดลมหายใจลึก มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างจ้า คนพเนจรในซอยก็ทยอยตื่น ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ก็รีบร้อนลุกขึ้น เดินตรงไปที่ปากซอย
เท้าไม่ค่อยมีแรง แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ทุกครั้งตอนที่ร่างสิงตื่นขึ้น ซึ่งอันที่จริงเจ้าของร่างก็ถูกเขากลืนกินไปแล้ว ในบางขั้นตอนถือว่าเป็นศพร่างหนึ่ง
และหลังจากที่เขาเข้าครอง พลังของร่างกายก็เหมือนกับคนปกติ จำเป็นต้องชุบเลี้ยงระยะหนึ่งจึงจะค่อยฟื้นฟูพลังต่อสู้กลับมา
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะฝังพลังพรสวรรค์บางส่วนเอาไว้ในร่างล่วงหน้า แต่วิธีนี้สิ้นเปลืองอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงทำการฝังวิญญาณเทพเอาไว้ในร่างที่อยู่นอกเมืองร่างนั้นเท่านั้น
เวลานี้จึงรีบสาวเท้า ในสมองเขาเองก็ครุ่นคิดอย่างเร็วรี่
‘ให้ตายเถอะ แต่ก่อนมีแต่ข้าที่อยู่ในความมืด ส่วนคนอื่นอยู่ในที่แจ้ง ครั้งดันกลับกัน เจ้านั่นเป็นใครกันแน่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสิ่งประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย
‘สามารถควบคุมคนอื่นได้หรือ ไม่สิ การควบคุมทุกครั้งจะต้องมีกลิ่นอายโคจที่แน่นอน เว้นเสียแต่จะครอบงำจิตวิญญาณ แต่เรื่องแบบนั้นมีแต่ปราณก่อนกำเนิดเท่านั้นที่ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำหลายครั้งไม่ได้ด้วย
‘เจ้านั่นไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งปราณก่อนกำเนิด ข้ารู้สึกว่าเขาใช้สิ่งประหลาดในการทำ” ตอนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้วิเคราะห์ไม่หยุด เดินออกมาจากซอย เดินไปตามมุมถนนอย่างระแวดระวัง เดินตรงไปยังค่ายกลส่งข้ามของผืนอินทนิลอย่างรวดเร็ว
เขาเตรียมไว้ว่าช่วงเวลาถัดจากนี้จะอยู่ใกล้ๆ ค่ายกลส่งข้าม ขณะที่รอผนึกค่ายกลส่งข้ามคลายออก ก็ยังแอบดูเจ้าคนทำตัวลึกลับที่ซ่อนในเงามืดได้ด้วย ว่าจะหาตนเองพบอีกครั้งได้หรือไม่
แต่เขาที่เดินมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พริบตาที่เขาเดินผ่านอีกซอยหนึ่ง จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากมุมมืด ปิดปากของเขาเอาไว้ และใช้นิ้วยื่นเข้าไปยันปากของเขาไว้ ป้องกันเขากัดลิ้นฆ่าตัวตาย
ทั้งหมดนี้รวดเร็วมาก ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้แม้จะมีปฏิกิริยา แต่ร่างนี้กลับเชื่องช้ามาก พริบตาต่อมาก็ออกแรงสลัดให้ร่างหลุดออกมา แล้ววิ่งตรงออกไปจากซอย
เสียงครืนครันดังออกมาจากปากผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายา เขาเบิกตากว้างคิดจะมองหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ก็หันหน้ากลับไม่ได้ เพียงไม่นานก็ถูกพาไปยังบ้านที่รกร้างแห่งหนึ่ง และถูกกดลงพื้นดังโครม
จนถึงตอนนี้ เขาก็เพิ่งจะมองเห็นคนตรงหน้าได้ชัด ผู้บำเพ็ญกลางคนที่สังหารร่างแรกของเขาไปเมื่อวานนี้นั่นเอง
ในดวงตาของอีกฝ่ายมีความเย็นเยียบไร้จุดสิ้นสุดอยู่ด้วย พริบตาที่สบตากับอีกฝ่าย ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้ก็จิตวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้นคางของเขาก็ถูกตัดทั้งอย่างนั้นทันที ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เส้นเอ็นบนหน้าผากเขาปูดโปน
และคางที่ตัดออก ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถกัดลิ้นฆ่าตัวตายได้ และด้วยเขาตอนนี้ที่พลังต่อสู้ยังไม่ฟื้นฟู ก็ไม่สามารถใช้วิธีอื่นฆ่าตัวตายต่อหน้าอีกฝ่ายได้
“อืออือ…” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้กำลังจะเปล่งเสียง สวี่ชิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ยกมือขึ้นด้วยสายตาเย็นชา ล้วงเอาผงพิษส่วนหนึ่งออกมา สาดลงไปบนตัวคนผู้นี้
คุณสมบัติพิษของผงพิษนี้ไม่รุนแรงนัก ปกติจะถูกสวี่ชิงนำมาผสมแล้วค่อยใช้ ส่วนประโยชน์ของตัวผงพิษนี้ หลังจากปรับไปหลายครั้ง สามารถเพิ่มระดับความไวต่อสิ่งเร้าทั้งหมดในร่างกายได้
จากการกระจายของผงพิษ จากการค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็ยกมือขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บีบนิ้วมือผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ไว้
กร๊อบ กร๊อบ
บีบจนแตกทีละนิดทีละนิด
ความเจ็บปวดนี้ ทำให้ร่างกายผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้สั่นเทิ้ม โดยเฉพาะผลของผงพิษนี้ ทำให้ความเจ็บปวดขยายขึ้นอย่างไร้ขอบเขต ท้ายสุดก็แปรเป็นลมพายุครืนครันอยู่ในสมอง กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลม
ต่อให้คางถูกตัดออก แต่เสียงที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวดนี้ก็ยังดังลอดออกมาจากในคอแบบยั้งไว้ไม่อยู่ ดังก้องไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงได้ยินเสียงนี้ สีหน้าไม่มีเปลี่ยนแปลง มีเพียงความโกรธแค้นในดวงตาที่ปะทุขึ้น จัดการบีบมือของอีกฝ่ายจนเละ จากนั้นก็ให้อีกฝ่ายกินยาลงไปเม็ดหนึ่ง เพื่อรักษาสติของเขาไว้
จากนั้นก็จัดการต่อ เพราะผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ถึงแม้กำลังกรีดร้องเสียงแหลม แต่ในดวงตาเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยังไม่เผยความหวาดกลัวที่สวี่ชิงคุ้นเคยออกมาเลย
ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายจะกรีดร้องก็ร้องไป แม้จะเจ็บจะปวด แต่ก็ไม่กลัวเลย!
ดังนั้นสายตาสวี่ชิงจึงยิ่งเย็นเยียบ ท่อนแขนของอีกฝ่ายค่อยๆ เละเป็นเศษเนื้อ ถัดมาแขนอีกข้างก็ถูกสวี่ชิงบีบไปทีละน้อย
จากนั้นสวี่ชิงก็ล้วงมีดออกมา ขณะที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้เปลี่ยนจากกรีดร้องเป็นอ่อนแรง ก็เริ่มตัดขาทั้งสองของอีกฝ่าย ไม่ยอมปล่อยกล้ามเนื้อไปเลยแม้แต่ชุ่น
เลือดสดนองพื้น แต่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ก็ยังไม่ตาย เพราะว่ายาลูกกลอนของสวี่ชิงมอบพลังชีวิตให้แก่เขา
ดังนั้นเสียงกรีดร้องจึงดังแหลมออกมาอีก แต่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนี้ ในดวงตาผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้ กลับค่อยๆ เผยอาการท้าทายออกมา
“รู้หรือว่าทำไมข้าจึงกรีดร้อง เพราะเจ้าไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้กับข้า และจะไม่ใช่คนสุดท้าย ส่วนวิธีการที่ข้าครอบครองอยู่ ก็ส่งความเจ็บปวดออกไปผ่านเสียง” เสียงจากความคิด แผ่ออกจากในร่างกายเผ่าพรางมายาคนนี้
เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นอีกครั้ง และเสียงยังคงก้องสะท้อน ราวกับเขาแบ่งออกเป็นสองคน
“เพราะข้ารู้ เจ้าไม่กล้าสังหารข้า เจ้ามาล้างแค้นให้กับปรมาจารย์ไป่ใช่หรือไม่ ตอนที่ตาแก่นั่นตายก็กำลังเขียนจดหมายอยู่ ไม่รู้ว่าเขียนถึงใคร คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง
“แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหาข้าพบได้อย่างไร แต่คิดแล้วเจ้าคงจะสนใจผู้บำเพ็ญเบื้องหลังข้ามากกว่า อยากจะหาตัวการที่ก่อกรรมทำชั่วสินะ จุดนี้ข้ารู้ คำตอบที่เจ้าอยากได้ ข้ามีทั้งหมด แต่ข้า…ไม่บอกเจ้า”
ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ดวงตาแดงเถือก กรีดร้องไม่หยุด สวี่ชิงยกมือขึ้นซัดไปหมัดหนึ่ง อัดปากเขาเสียยับ จนเศษเนื้ออุดอยู่ในปากเขา ทำให้เสียงกรีดร้องไม่อาจส่งออกมาได้
แต่เสียงในร่างกายเขา ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
“รู้หรือไม่ว่าข้าสังหารตาแก่นั่นอย่างไร ฮ่าๆ ข้าเดิมทีคิดจะสิงร่างเด็กสาวที่ชื่อถิงอวี้คนนั้น แต่ข้ารู้สึกว่ายังไม่สนุกพอ เจ้าลองเดาดูว่าหลังจากนั้นข้าไปสิงใคร”
สวี่ชิงหยุดมือ มองไปยังเผ่าพรางมายาที่กำลังยิ้มเหี้ยมเกรียม ดวงตาหรี่ลงช้าๆ คลื่นพลังที่น่ากลัววูบหนึ่งค่อยๆ แผ่ซ่านบนร่างของเขา
ภาพนี้ทำให้จิตวิญญาณผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาสั่นสะท้าน คำพูดที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้กับสิ่งที่คิดในก้นบึ้งจิตใจ อันที่จริงยังมีรายละเอียดบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน เขาไม่กลัวความตายก็จริง และชินชากับการทรมานด้วย แต่ความโหดเหี้ยมของสวี่ชิงก็ยังทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งอยู่
โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายไม่ถามไม่ไถ่สักคำ ไม่พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่จมจ่อมอยู่กับการทรมานตนเอง โดยเฉพาะการกระทำก็ดูคุ้นเคยเหลือเกิน ไม่มีชะงักแม้แต่น้อย ซ้ำยังคอยเลี่ยงเส้นเลือดอีกด้วย
ภาพนี้ทำให้เขาตระหนักขึ้นได้ ว่าความคุ้นเคยนี้…อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายเคยทำเรื่องเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
“นี่มันเป็นคนบ้า นี่มันโรคจิต!!”
ดังนั้นเขาจึงคิดจะยั่วโมโหอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายลงมือเล่นงานตนเองจนตาย แม้ว่าร่างกายที่สิงทุกร่าง ล้วนมีการกำหนดเวลาตายอย่างไม่อาจย้อนได้ไว้แล้ว แต่ครั้งนี้ เขาก็อยากจะตายล่วงหน้าเสียจริง
สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาตรงหน้าคนนี้ จู่ๆ รูปสักการะที่แผ่นหลังก็ส่องสว่าง เพลิงสีดำโหมกระพือขึ้นมาในพริบตา ไม่ได้กลายเป็นเงาของวิหคทอง แต่ผสานเข้าไปบนมือขวาของสวี่ชิง กดลงไปบนหน้าผากของผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้
พริบตาต่อมา แรงดูดมหาศาลก็ประทุขึ้น ดวงตาผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาเบิกตาค้าง ร่างกายเขาเหี่ยวแห้งลงในพริบตา เลือดลมมหาศาลโหมขึ้น พุ่งตรงไปยังมือขวาของสวี่ชิง และเพราะคลื่นอารมณ์ที่รุนแรงก่อนหน้า ในที่สุดก็มีปราณหมอกต้นกำเนิดส่วนหนึ่งเผยออกมาแล้ว และถูกสูบออกมาด้วยเช่นกัน
ปราณหมอกนี้ คือพลังต้นกำเนิดของเผ่าพรางมายา
ตอนนั้นที่สวี่ชิงลงมือครั้งแรก สูบเอาต้นกำเนิดของอีกฝ่ายมาได้ไม่มากนัก ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงทรมานเพื่อทำให้เกิดคลื่นอารมณ์ที่รุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะยิ่งสะดวกให้วิหคทองเข้าไปสูดรับมา
พริบตาก่อนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนั้นจะตาย สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว พูดออกมาเพียงประโยคเดียว ส่งเข้าไปในหูของผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้
“มันยังไม่จบ พวกเรา ไว้เจอกัน”