ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 227 เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
บทที่ 227 เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
เพียงข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ออกมา ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มีใครไม่ตื่นตะลึง ความรู้สึกที่เปิดผ้าคลุมโปร่งบางออกแบบนี้ทำให้ทุกคนเหมือนขยายขอบเขตความรู้ เปิดโลกทัศน์
สวี่ชิงเองก็เช่นกัน แต่เขาคิดมากกว่านั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตประกาศข่าวพวกนี้ในเวลานี้ มีความหมายลึกซึ้งนัก สร้างความรู้สึกให้สวี่ชิงเหมือนว่าจะให้ลูกศิษย์เตรียมตัวล่วงหน้าแบบนั้น
สวี่ชิงเชื่อว่าคนที่มีความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเองอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ข่าวนี้ประกาศออกไป สำหรับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ดิ้นรนอยู่ในการเลี้ยงกู่เช่นนี้ พวกเขาส่วนมากล้วนได้กลิ่นอะไรมากมายจากในนั้น
โดยเฉพาะในข่าวที่สำนักประกาศ ขั้วอำนาจห้าฝ่ายล้วนกล่าวถึงเพียงคร่าวๆ เนื้อห้าที่เอ่ยเน้นถึงคือขั้วอำนาจหนึ่งในหกขั้วอำนาจมณฑลรับเสด็จราชัน…พันธมิตรเจ็ดสำนัก
พันธมิตรเจ็ดสำนักเป็นหนึ่งขั้วอำนาจ รวมตัวขึ้นจากสำนักเล็กใหญ่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดสำนัก โดยมีสำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดเจ็ดสำนักเป็นผู้นำ
ดังนั้นจึงขนานนามว่าพันธมิตรเจ็ดสำนัก
เหตุที่เจ็ดสำนักนี้ได้เป็นผู้นำ นอกจากกำลังรบของระดับสูงแต่ละสำนักจะน่ากลัว ระดับกลางทรงพลัง ระดับล่างมากมายแล้ว ยังมีเหตุผลที่สำคัญมากๆ อีกเหตุผลหนึ่ง
นั่นก็คือ…พวกเขาเป็นเจ็ดสำนักในบรรดาหนึ่งร้อยสามสิบสำนักที่ครอบครองของวิเศษเวทต้องห้าม
ของวิเศษเวท ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ทุกชิ้นล้วนมีพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน อัศจรรย์ล้ำลึก แต่เวลาใช้จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่ใช้ล้วนจะแปดเปื้อนอย่างรุนแรง หากใช้บ่อย ของวิเศษเวทก็จะถูกเรียกว่าของวิเศษเวทขยะ
ดังนั้นไม่ใช่แค่ต้องควบคุมจำนวนการใช้เท่านั้น ยิ่งต้องคอยหล่อเลี้ยงมันอยู่ตลอดเวลา กำจัดสิ่งแปดเปื้อน ไอพลังประหลาดบนนั้น
และต้องห้าม…คือชื่อเรียกหลังจากที่ระดับขั้นของของวิเศษมาถึงในระดับขั้นหนึ่ง นั่นเป็นวัตถุที่สังหารได้ในพริบตายิ่งกว่าของวิเศษเวททั่วไปเสียอีก อีกทั้งของวิเศษเวทชิ้นใดก็ตามที่ถึงระดับต้องห้ามล้วนมีพลังในการทำลายล้างสำนักทั้งสิ้น
และก็มีเพียงของวิเศษที่มีพลังทำลายล้างสำนักเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างพลังสยบสำนักอื่นๆ ในมณฑลรับเสด็จราชันได้ และได้สิทธิ์ในการควบคุมอำนาจ
การผงาดขึ้นของเจ็ดสำนักก็เป็นเช่นนี้ ทั้งมาจากกำลังรบระดับสูงจากสำนักอื่นๆ ยิ่งมาจากของวิเศษเวทต้องห้าม นี่คือเป็นเหตุผลที่ทำไมพันธมิตรเจ็ดสำนักจึงกลายเป็นหนึ่งในหกขั้วอำนาจมณฑลรับเสด็จราชัน
พันธมิตรเจ็ดสำนักที่มีของวิเศษต้องห้ามเจ็ดชิ้น มีอำนาจที่ทำให้สำนักเต๋านอกวิถีหรือสำนักเซียนล้ำบารมีและขั้วอื่นๆ เสียหายไปจนถึงรากฐาน
อำนาจนี้ก็คือตำแหน่ง
เจ็ดสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรเจ็ดสำนักได้แก่…สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า หุบเขาประกายวิญญาณ สำนักล่าสิ่งประหลาด วังเต๋ามหาวิวัฒน์ หอลิขิตสวรรค์ สำนักสมบัติจำนงฟ้าและสำนักโลกันต์ทมิฬ!
ข้อมูลเหล่านี้ในช่วงเวลาหลังจากนั้นได้กลายเป็นประเด็นสนทนาใหม่ที่พุ่งแซงประเด็นร้อนแรงของผู้บำเพ็ญหญิงจากสำนักเซียนล้ำบารมีสำหรับลูกศิษย์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
กระทั่งว่าจางซานก็เคยถกประเด็นนี้กับสวี่ชิงผ่านแผ่นหยก แต่สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไร ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่กล่องปรารถนาที่ใกล้จะหล่อเลี้ยงสำเร็จแล้ว
กล่องปรารถนาสองใบของเขา ใบที่ได้มาจากนายน้อยเผ่าเงือกเดิมก็ได้รับการหล่อเลี้ยงมาครึ่งทางแล้ว ส่วนที่ได้มาจากเจ้าม้าไม่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงเลย
ดังนั้นใบหลังจึงห่างจากการเปิดอีกยาวไกล แต่ใบแรกจวนเจียนสำเร็จแล้ว สวี่ชิงรู้สึกว่าอย่างมากสามถึงห้าวันก็สามารถเปิดได้แล้ว
“ไม่รู้ว่าในกล่องปรารถนาของข้าใบนี้จะมีอะไร…” สวี่ชิงคาดหวังมาก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงใบที่อู๋เจี้ยนอูเปิดในตอนนั้น ท่าทางเหมือนลึกลับมาก
“เขาเปิดได้อะไร” สวี่ชิงสงสัยนิดๆ แต่ว่าคิดแล้วเจ้าโง่นั่นไม่มีทางบอกเขาแน่
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้เอง ทุกวันล้วนมีสำนักข้างนอก เผ่าข้างนอกมาเยือน จวบจนวันที่ห้า ในตอนที่กล่องปรารถนาของสวี่ชิงกำลังจะเปิดออก นอกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีเรือยักษ์ยิ่งใหญ่เจ็ดลำมาเยือน
เรือยักษ์เจ็ดลำนี้หรูหราเป็นอย่างมากมีขนาดถึงหลายพันจั้ง รัศมีอำนาจล้นฟ้า กระทั่งว่าหากมองให้ละเอียดก็จะเห็นว่าพวกมันเกิดจากการหลอมอสูรทะเลประเภทเทพทั้งเป็น
รูปร่างของทุกลำต่างกัน มีมัจฉาบรรพกาลประเภทเทพ มีแมงกะพรุนน่ากลัว มีเต่ายักษ์เหี้ยมเกรียม…กระทั่งว่ามีมังกรเกล็ดดำสามเล็บ
การปรากฏขึ้นของพวกมันทำให้ลมพายุกวาดกรรโชกทั่วทั้งท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้เรือนับไม่ถ้วนโคลงเคลง มหาสมุทรถาโถมเหมือนจะเกิดเป็นคลื่นยักษ์ซัดโหม
ยิ่งใหญ่เป็นที่สุด คนได้ยินต้องครั่นคร้าม แหวกทะเลมาท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
กระทั่งว่าเมินซึ่งค่ายกลคุ้มกันของเจ็ดเนตรโลหิตฝ่าทะลวงเข้ามาในท่าเรือเลย สิ่งที่ทำให้คนตื่นตะลึงเป็นที่สุดคือ ค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนไร้ผลกับพวกเขา
เหมือนว่าจากการวิเคราะห์ของค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิต สิทธิ์อำนาจของผู้บำเพ็ญที่มาเยือนอยู่สูงกว่า
ดังนั้นในวันนี้ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจึงได้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ผ่านการรายงานก็ฝ่าเข้ามาเป็นครั้งแรกในหลายปีมานี้ และสำหรับเรื่องนี้สำนักก็นิ่งเฉยอย่างหาได้ยาก
เรือยักษ์เจ็ดลำนั้นจึงเข้ามาในท่าเรือเจ็ดแห่งโดยตรง คนที่เดินลงมาจากเรือยักษ์หกลำในนั้นล้วนมีประกายแสงเจิดจรัสเปล่งออกมา เหมือนสามารถแทนแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าได้ สาดส่องลงมาในใจของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกคน
นี่คือเรือยักษ์พันธมิตรเจ็ดสำนัก คนที่เดินลงมาจากบนนั้นคือทูตเจ็ดสำนักที่มาเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตครั้งนี้ ยิ่งเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานในรุ่นนี้ของสำนักทั้งเจ็ด
ในนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทุกคนอายุไม่มาก สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา รัศมีอำนาจยิ่งโดดเด่นไม่ธรรมดา มีประกายแสงเจิดจรัสทุกคน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายความน่าเกรงขามไร้เทียมทาน
อีกทั้งล้วนเป็นผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวง!
ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องในกายของทุกคนเหมือนดวงดาวระยิบระยับ ทำให้คนที่ได้พบเห็นใจสั่นคลอน เกิดความละอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
พวกเขาล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์เทพที่แท้จริง ลงมาเยือนยังโลกมนุษย์
คนทั้งหกที่เดินลงมาจากเรือยักษ์หกลำนี้เดิมก็เป็นอัจฉริยะโดดเด่นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่พวกเขาเดินออกมา ก็ต่างมองไปทางมังกรเกล็ดดำสามกรงเล็บขนาดมหึมาตัวนั้น
ในขณะที่มังกรเกล็ดดำสามกรงเล็บเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงของมันประดุจอัสนีสวรรค์ดังก้องไปทั่วสารทิศ หัวของมันก็โน้มลงมาเบาๆ แตะแผ่นดินของท่าเรือ ที่หว่างคิ้วของมันแยกออกเป็นช่องทางหนึ่ง
เงาร่างหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีทอง ที่เอวมีเข็มขัดลายใยแมงมุมไหมสีทองสีเดียวกับชุด บนศีรษะมีกวาน[1]ประดับไปด้วยอัญมณีล้ำค่าเกล้าครอบผมดำไว้ด้านใน เดินออกมาจากรอยแยกทีละก้าวๆ พร้อมกับประกายแสงเจิดจ้า
เงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรง ใบหน้าสงบนิ่งแฝงด้วยความสูงส่งที่มีมาแต่กำเนิด ในตอนที่เดินออกมา อัจฉริยะทั้งหกที่เหมือนเทพเทพีก็ต่างก้มศีรษะให้เขา
เหมือนว่าการมาเยือนของเขาช่างสูงส่งไม่อาจเอื้อม ตัวเองต่ำต้อยเล็กจ้อย
ยิ่งไปกว่านั้นบนศีรษะของเขาจากการที่เขาเดินมาก็มีแสงเจ็ดสีแปรเปลี่ยนเป็นฉัตร สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง มีเสียงลมดังก้องไปรอบๆ ฉัตรนี้เมื่อดูไกลๆ ก็คือตะเกียงลมครวญเจ็ดสีเจ็ดสีนั่นเอง!
ตะเกียงดวงนี้อยู่ท่ามกลางแสงเจ็ดสีก็พราวพร่างระยิบระยับเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่แผ่พลังอำนาจท้วมฟ้า สะท้านไปทั่วทุกสารทิศ ก็สร้างคลื่นยักษ์ถาโถมให้ในใจของผู้ที่มองนับไม่ถ้วน
“ตะเกียงแห่งชีวิต!”
ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ส่งเสียงตกใจออกมา เสี้ยวพริบตาจากนั้นเสียงก็ดังไล่เป็นคลื่น ดังซุบซิบฮือฮา
ตะเกียงลมครวญเจ็ดสีดวงนั้นก็คือตะเกียงแห่งชีวิตในตำนาน!
และชายหนุ่มที่มีตะเกียงแห่งชีวิตคนนี้ ในร่างยิ่งมีช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องทะลวงเปิดทั้งหมด ที่หลังยังมีเงานกประหลาดตัวสีเขียวครามหางเพลิงตัวหนึ่งอยู่รางๆ แผ่กลิ่นอายสยบหมื่นวิชาออกมา
เป็นเงาเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ!
ทุกอย่างของทุกอย่างรวมเป็นรัศมีอำนาจที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน รวมกับพลังตะเกียงแห่งชีวิตของเขาแล้ว ก็มีเค้าลางสยบบรรพกาล สยบอัจฉริยะทุกคนในศักราชหนึ่ง
คนคนนี้ก็คือฉู่เซิ่งอวิ๋น…อัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพันธมิตรเจ็ดสำนักในยุคนี้ที่มาจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
แม้จะไม่ใช่ระดับแก่นลมปราณ แต่กลับเหนือกว่าแก่นลมปราณ ดังนั้นปู่ของเขาซึ่งก็คือบรรพจารย์ของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าขนานนามว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง!
เป็นผู้สืบมรรคาในอันดับรายชื่อแรกในสำนักกระบี่เมฆาจรดเมฆา ถูกคาดหวังเอาไว้เป็นอย่างสูง ปรารถนาอยากให้เดินเส้นทางเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ
ในพันธมิตรเจ็ดสำนัก ฐานะของคนคนนี้สูงมากเช่นกัน เป็นบุคคลเลิศล้ำเยี่ยมยุทธ์ที่พันธมิตรเจ็ดสำนักใช้เป็นต้นแบบของผู้สืบมรรคาของอีกห้าขั้วอำนาจที่เหลือ อบรมฝึกฝนสั่งสอนอย่างเต็มกำลัง
ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียงคนเดียวในบรรดาลูกศิษย์นับไม่ถ้วนของพันธมิตรเจ็ดสำนักที่มีทั้งตะเกียงแห่งชีวิตและเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ
คนคนนี้ไม่ได้มีเพียงพลังอำนาจมหาศาลเท่านั้น รูปโฉมก็ยิ่งไม่ธรรมดา ใบหน้าขาวเนียนสะอาดไร้มลทิน ฉายความดุดันเป็นคมสันชัดเจน องคาพยพประดุจสลักออกมาแผ่กลิ่นอายหยิ่งทะนงทรงพลัง ดูเพียงรูปโฉม คนคนนี้ก็เป็นผู้ที่สามารถเทียบกับสวี่ชิงได้อย่างหาได้ยาก
เพียงแต่ในตัวเขาสิ่งที่มีมากกว่าคือความเย็นชาต่อสรรพชีวิต คนที่ปรากฏในสายตาเขาประดุจมดปลวก
จุดนี้ไม่เหมือนกับสวี่ชิง
สวี่ชิงนั้นสงบนิ่งเหมือนน้ำ คนที่มอง มองแค่ที่คอเท่านั้น
และคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ อีกทั้งพลังอำนาจกดดันที่เกิดขึ้นซัดโหมไปทั่วทั้งท่าเรือ ทำให้ทะเลท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกที่สวี่ชิงอยู่เกิดระลอกคลื่น ทำให้สวี่ชิงที่กำลังหล่อเลี้ยงกล่องปรารถนาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจข้างนอก จึงเงยหน้าลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องโดยสารเรือ มองไปทางท่าเรือที่หนึ่งที่อยู่ไกลๆ ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาสามารถมองเห็นอัจฉริยะที่มาเยือนเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และมองเห็นอัจฉริยะยิ่งใหญ่ที่ทั่วทั้งร่างส่องประกายเจิดจ้าคนนี้ ยิ่งมองเห็นตะเกียงลมครวญเจ็ดสีที่อยู่เหนือศีรษะของเขาและนกประหลาดตัวเขียวครามหางเพลิงตัวนั้นด้วย
ในเสี้ยวพริบตาที่เห็นตะเกียงลมครวญเจ็ดสี จิตใจของสวี่ชิงก็พลันสั่นสะท้าน ดวงตาฉายประกายล้ำลึกออกมา
และในตอนที่เห็นนกประหลาดตัวสีเขียวครามหางเพลิง รูปสัญลักษณ์วิหคทองที่หลังของเขาก็แผ่ความร้อนลวกออกมา คล้ายว่าอยากปรากฏออกมาสยบนกประหลาดตัวนี้
ทำให้วิหคทองมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ สวี่ชิงรู้ทันทีว่าเงานกประหลาดตัวนั้นน่าจะเป็นเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิปรากฏออกมาแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเห็นมีคนมีตะเกียงแห่งชีวิตและมีเคล็ดวิชระดับจักรพรรดิเหมือนตัวเอง
สวี่ชิงจ้องมองอย่างพินิจแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับมา เดินเข้าไปในเรือ
อีกฝ่ายเป็นใคร ดึงดูดสายตาเพียงใด สำหรับสวี่ชิงในตอนนี้ไม่ได้สำคัญมากนัก เว้นเสียแต่คนคนนั้นจะมีจิตสังหารกับเขา เช่นนั้นสวี่ชิงถึงจะจำเขาไว้ในใจ
ไม่เช่นนั้นแล้วทุกอย่างข้างนอกก็สู้…กล่องปรารถนาที่เขาหล่อเลี้ยงสำเร็จแล้วไม่ได้!
สวี่ชิงขัดสมาธินั่งลง ก้มหน้ามองก้อนเหล็กข้างหน้า ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย ในดวงตาฉายความคาดหวังรุนแรงออกมา
สวี่ชิงไม่ได้ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างอู๋เจี้ยนอูเปิดกล่องในตอนแบบนั้น เขาแค่สูดลมหายใจลึก หลับตาลง หลังจากสงบจิตใจ เสี้ยวพริบตาต่อมาที่ลืมตา มือขวาก็วางไปบนก้อนเหล็ก เปิดเบาๆ
แกร๊ก!
กล่องปรารถนาที่คนศักราชที่แล้วทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังพลันเปิดออกต่อหน้าสวี่ชิงแล้ว!
สวี่ชิงก้มหน้าจ้องเพ่งทันที เสี้ยวพริบตาต่อมาดวงตาของเขาก็ฉายประกายวาววาบออกมา ลมหายในถี่กระชั้นเล็กน้อย
ในกล่องปรารถนามีของสองอย่าง
ลูกกลอนโอสถสีดำเม็ดหนึ่ง
แผ่นหยกที่หม่นหมองชิ้นหนึ่ง!
[1] เครื่องสวมครอบประดับศีรษะของผู้ชายชาวจีนสมัยโบราณประเภทหนึ่ง