ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 229 ยโสโอหัง
บทที่ 229 ยโสโอหัง
ในรายงาน กองปราบพิฆาตยังจัดการเรียบเรียงข้อมูลของซือหม่าหลิง อัจฉริยะฟ้าประทานแห่งสำนักล่าสิ่งประหลาดคนนี้ส่งให้สวี่ชิงด้วย
สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ กวาดตามองผาดหนึ่ง
“ซือหม่าหลิง อัจฉริยะฟ้าประทานแห่งยุคของสำนักล่าสิ่งประหลาด พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานไฟชีวิตสี่ดวงขั้นบริบูรณ์ ในร่างกายไม่มีตะเกียงแห่งชีวิต ไม่เคยได้รับวิชาระดับจักรพรรดิ วิชาที่ฝึกบำเพ็ญมีชื่อว่าผนึกบันทึกสิ่งประหลาด
“คนผู้นี้มีนิสัยโหดเหี้ยม ในร่างกายผนึกสิ่งประหลาดไว้มากมาย พลังแข็งแกร่ง ตอนที่ท้าทายกับยอดเขาลำดับสามก็ลงมือกับองค์ชายของยอดเขาลำดับสามจนเจ็บหนักไปสามคน ซ้ำยังลงมืออย่างโหดร้าย หลายวันก่อนหน้าต่อสู้กับองค์ชายใหญ่ยอดเขาลำดับสามยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ จึงนัดเพื่อต่อสู้อีกครั้ง เวลาคือพรุ่งนี้เช้า
“จากการตรวจสอบ คนผู้นี้คือหนึ่งในลูกค้าใหญ่ที่มาทำการแลกเปลี่ยนกับเหล่านกเขาราตรีที่มารวมตัวในเจ็ดเนตรโลหิตครั้งนี้
“นายท่าน เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร”
สวี่ชิงเก็บประกายในดวงตา เอ่ยเสียงเรียบ
“จับกุมดำเนินคดี หากมีการต่อต้าน ก็จับมาเสียให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
สิ้นเสียงคำสั่งของสวี่ชิง กรมปราบพิฆาตเจ็ดเนตรโลหิตก็พากันเคลื่อนไหว ศิษย์กรมปราบพิฆาตนับพันมุ่งตรงไปยังท่าเรือเจ็ดสิบเก้าในราตรีนี้
มีอยู่สองกรมที่เจ้ากรมออกมานำด้วยตนเอง คือกราบปราบพิฆาตยอดเขาลำดับหนึ่งรวมไปถึงกรมปราบพิฆาตของยอดเขาลำดับสาม เห็นได้ชัดว่าเจ้ากรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับสามไม่พอใจอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักล่าสิ่งประหลาดคนนี้มาก
และหลังจากสวี่ชิงสั่งก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรือ เก็บเรือเวทย่ำเท้าขึ้นอากาศ พุ่งทะยานไปยังท่าเรือเจ็ดสิบเก้า
ขณะนี้จันทร์ส่องสว่างอยู่กลางนภา แม้ท้องฟ้าจะมืดมิด แต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมายังท่าเรือเจ็ดสิบเก้ายังถือว่าสว่าง เบื้องหน้าท่าจอดเรือแห่งหนึ่งริมฝั่ง มีเรือใหญ่ขนาดยักษ์ลำหนึ่งเทียบท่าอยู่
เรือใหญ่ลำนี้ขนาดนับพันจั้ง ราวกับเป็นสิ่งของขนาดมหึมาอย่างหนึ่งใต้ฟ้าราตรี มีรถม้าหลายคันกำลังถูกขนย้ายขึ้นไป
และเห็นชายหนุ่มในชุดหรูหราคนหนึ่งกำลังเอามือยืนไพล่หลังมองเรืออย่างเย็นชาจากริมฝั่ง
ชายหนุ่มคนนี้อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ดวงตาราวกับเป็นดวงดารา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสิ่งประหลาดออกมา กระทั่งรอบๆ จุดที่อยู่ ไอพลังประหลาดก็เข้มข้นขึ้นอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะดวงตาของเขา ไม่ใช่มีเพียงสีเดียว
ดวงตาซ้ายสีแดง ตาขวาสีฟ้าสด
ดวงตาที่สีไม่เหมือนกันนี้ทำให้ดูไม่ธรรมดา เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าในดวงตาทั้งสองราวกับมีคุกสองแห่ง ในนั้นเปลวไฟสีแดงและสีฟ้าสดกำลังลุกไหม้อยู่
ในเปลวไฟ มีหมอกพลังประหลาดมากมายมหาศาลสะดุดตากำลังระเหิดระเหยอยู่ในทะเลเพลิง ส่งเสียงกรีดร้องที่ไร้เสียงออกมา
เสียงนี้หูทั่วไปไม่อาจได้ยิน แต่ถ้าหากเข้าใกล้ จิตวิญญาณจะได้รับผลกระทบจนตกอยู่ในสภาวะเสียงหวีดแหลมเข้ารุกราน
ท่าทีของชายหนุ่มคนนี้เย่อหยิ่งเย็นชาอย่างชัดเจน เขายืนอยู่ตรงนั้นทั้งๆ ที่เปิดเผยใบหน้า ราวกับว่าไม่เกรงกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น และมีความมั่นใจอย่างมากว่าต่อให้ถูกเห็น เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี
คนผู้นี้ ก็คือซือหม่าหลิง อัจฉริยะฟ้าประทานสำนักล่าสิ่งประหลาดนั่นเอง
เบื้องหน้าเขามีคนชุดดำอยู่อีกสิบกว่าคน ซึ่งเป็นสมาชิกของนกเขาราตรีทั้งสิ้น พลังบำเพ็ญแต่ละคนไม่ธรรมดา แต่ก็ระแวดระวังมากอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่พิจารณารอบๆ ก็เร่งรัดให้ขนย้ายรถไวขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีผู้อาวุโสในชุดหรูหราอีกคนหนึ่งยืนรับจันทร์บนสิ่งปลูกสร้างที่ห่างออกไป เพ่งพินิจมา ณ แห่งนี้ พลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณแผ่ออกมา
สายตาของเขามีเพียงซือหม่าหลิงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ เขาไม่สนใจ คนผู้นี้คือผู้คุ้มครองของซือหม่าหลิงที่ติดตามมาเจ็ดเนตรโลหิตด้วย
สายลมราตรีพัดเข้ามา พัดเส้นผมของซือหม่าหลิงจนสยาย ในมือที่ไพล่หลังกำลังคลึงหมุนไข่มุกสีดำอยู่พวงหนึ่ง สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจนัก
“เท่านี้เองหรือ ของที่พวกเจ้านกเขาราตรีส่งมารอบนี้น้อยเหลือเกิน”
“องค์ชายซือหม่า เรื่องนี้พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก พวกท่านยืนกรานที่จะมาทำการแลกเปลี่ยนที่เจ็ดเนตรโลหิตเสียให้ได้ แต่เจ็ดเนตรโลหิตก็เกลียดชังต่อนกเขาราตรีของข้าเหลือเกิน หลายปีก่อนเคยมีการปราบปราบขั้นเด็ดขาดอีกด้วย”
“อันที่จริงของที่พวกเราส่งมามีมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยสามส่วนก็ถูกเจ็ดเนตรโลหิตตรวจพบ กรมปราบพิฆาตเจ็ดเนตรโลหิตก็รับมือยากมาก” หนึ่งในกลุ่มคนชุดดำสิบกว่าคนด้านหน้าซือหม่าหลิงยิ้มขืนเอ่ย
“กรมปราบพิฆาต?” ซือหม่าหลิงแค่นเสียงเย็นชา รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักล่าสิ่งประหลาด ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ตัวเขาไม่สนใจเจ็ดเนตรโลหิตดินแดนเล็กๆ นี่อยู่แล้ว โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เขาไปท้าทายกับองค์ชายของยอดเขาลำดับสามต่อเนื่อง ก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้อ่อนแอเสียเหลือเกิน
ในช่วงนี้เขาก็ได้ยินชื่อกรมปราบพิฆาตมาบ้าง รู้ว่าหน่วยงานนี้ช่วงนี้กำลังตามจับกุมตัวนกเขาราตรี สิ่งนี้ทำให้เขาเกลียดชังมาก
“องค์ชายซือหม่า ข้าอยากเตือนท่าน…ทางที่ดีปิดบังตัวเสียหน่อยเถิด กรมปราบพิฆาตของเจ็ดเนตรโลหิตโดยเฉพาะกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด นับตั้งแต่เปลี่ยนเจ้ากรมมาเป็นสวี่ชิง ก็ปฏิบัติการโหดเหี้ยมเหลือแสน ทั้งยังบ้าระห่ำ…”
“สวี่ชิง? ก็แค่ตัวประกอบตัวจ้อยคนหนึ่ง ไม่จำเป็นหรอก ถ้าหากพวกเขาไม่เข้ามาก็แล้วไป แต่ถ้ากล้าเข้ามาข้าก็จะดูว่าศิษย์จากสำนักย่อยกลุ่มหนึ่งจะกล้าเข้ามาทำลายธุระของสำนักหลักอย่างไม่มีมารยาทหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าสวี่ชิงอะไรนั่นที่ไม่ใช่แม้แต่องค์ชายของยอดเขาลำดับเจ็ดเลย ต่อให้หวงอี้คุนจากสำนักโลกันต์ทมิฬสำนักหลักของพวกเขาก็ไม่กล้ามาสอดมือเรื่องของข้า!”
ซือหม่าหลิงเอ่ยเสียงเรียบ
คนชุดดำด้านหน้าเขาลังเลไปครู่หนึ่ง เมื่อจะพูดต่อ ตอนนี้เอง จุดที่ห่างออกไปก็มีเสียงแหวกอากาศดังมา และมีสัญญาณหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ระเบิดเป็นอักษร ‘โหดเหี้ยม’ ตัวใหญ่กลางอากาศ!
ขณะเดียวกัน ร่างเงาแต่ละร่างก็หวีดหวิวเข้ามา และมีเสียงเย็นชาดังก้องไปทั่วทิศทาง
“กรมปราบพิฆาตได้รับคำสั่งให้จับกุมนกเขาราตรีทั้งหมด ผู้ไม่เกี่ยวข้องจงหลีกไป!”
ขณะนี้คนชุดดำทั้งหมดหน้าเปลี่ยนสี พากันถอยหลัง ร่างศิษย์กรมปราบพิฆาตก็พุ่งเข้ามาที่นี่ แต่ตอนนี้เอง ซือหม่าหลิงก็แค่นหัวเราะ ก้าวไปเบื้องหน้า
“บังอาจนัก!”
ไฟชีวิตสี่ดวงในร่างกายก็จุดติดขึ้นทันทีจามเท้าที่ย่างก้าว กลิ่นอายน่ากลัวที่สะเทือนฟ้าจนเมฆลมเปลี่ยนสี ระเบิดครืนครันออกมาจากตัวเขา และการเผาไหม้ของไฟชีวิตสี่ดวงในร่างในขณะที่ระเบิดนี้ ราวกับมีโลกทั้งผืนถูกหล่อหลอมก่อตัวเป็นพลานุภาพ จนเหมือนกลายเป็นของจริง
เมื่อเขาก้าวไปเบื้องหน้าก็มีเสียงครืนครันดังสนั่นไปทั่วสารทิศ ศิษย์กรมปราบพิฆาตเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามากระอักเลือดสด พากันม้วนตัวกลับ
ลมพายุพัดกวาดไปทั่วทิศโดยมีซือหม่าหลิงเป็นศูนย์กลางที่ริมฝั่ง
“ส่งขึ้นเรือต่อไป”
ซือหม่าหลิงกวาดตามองศิษย์กรมปราบพิฆาตที่หน้าเปลี่ยนสีจนไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยแววตาหยามหมิ่น และเห็นว่าในนั้นก็มีสร้างฐานอยู่ด้วย
กระทั่งมีอยู่สองคนที่พอใช้ได้ คนหนึ่งมีกลิ่นอายของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า อีกคนหนึ่งมีคลื่นพลังสิ่งประหลาดของสำนักล่าสิ่งประหลาดด้วย สองคนนี้ก็คือเจ้ากรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับหนึ่งและสามนั่นเอง เวลานี้ยังไม่เข้าใกล้ราวกับว่ากำลังรออะไรอยู่
อันที่จริงวิชาที่ยอดเขาทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตฝึกบำเพ็ญก็คือวิชาของเจ็ดสำนัก แต่เห็นได้ชัดว่าระดับยังค่อนข้างต่ำ
“ไม่รู้ว่าสำนักกังวลอะไรนัก ก็แค่ฝูงนกฝูงกา” นิสัยซือหม่าหลิงหยิ่งผยองอยู่เสมอ ในสำนักของเขาเองก็เป็นเช่นนี้เช่นเดียวกัน หลังจากมาถึงเจ็ดเนตรโลหิตก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก
ส่วนกลุ่มนกเขาราตรีรอบๆ ก็จิตวิญญาณสั่นสะท้าน พวกเขาถูกกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดตามจับจนผวาไปแล้ว เวลานี้เมื่อเห็นว่ากรมปราบพิฆาตสั่นคลอนก็ผ่อนใจโล่ง ขณะเดียวกันส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่ากรมปราบพิฆาตเองก็ไม่ได้เท่าไรนี่ หลังจากเห็นสำนักสายหลักของพวกเขาแล้วก็ยังต้องก้มหน้าอยู่ดี
จึงพากันเคลื่อนไหว รถถูกส่งเข้าไปในเรือมากขึ้น แต่พริบตาที่พวกเขาเพิ่มกำลัง แสงสีดำเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียง รวดเร็วดุจสายอัสนีสีดำ
กระทั่งพูดได้ว่า นี่เป็นสายฟ้า
พริบตาที่เข้าใกล้ก็แทงคอของนกเขาราตรีชุดดำคนหนึ่งทะลุ ยังไม่ทันส่งเสียงกรีดร้อง อัสนีสีดำแหวกอากาศอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ทะลวงคอของคนชุดดำไปเจ็ดแปดคน
หลังจากที่ไหววูบ สายอัสนีก็กลายเป็นเหล็กแหลมสีดำ อักขระอัสนีแต่ละตัวก็ระเบิด ก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายอัสนีผืนหนึ่ง แผ่ขยายไปรอบๆ ด้วยพลังไม่ธรรมดา
จนถึงตอนนี้ เพิ่งส่งเสียงกรีดร้องออกมา ขณะที่เสียงดังก้อง นกเขาราตรีก็หน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่
ซือหม่าหลิงเลิกคิ้ว ไม่สนใจเหล็กแหลมสีดำ แต่เงยหน้ามองไปไกลๆ
ทิศทางที่สายตาเขาจับจ้อง เหนือผืนทะเล มีคนผู้หนึ่งเหยียบมัจฉาบรรพกาลตรงมา
เงาร่างเหนือหัวมัจฉาบรรพกาลใต้แสงยามค่ำคืน สวมชุดคลุมสีม่วง ผมยาวปลิวสยาย เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลหล่อเหลาจนทำให้คนต้องแอบอุทาน ทำให้คนอดหันไปจับจ้องไม่ได้
และเหมือนดวงตาที่เย่อหยิ่งเย็นชาของเขาจะไม่ได้สนใจ ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ค่อยๆ ใกล้เข้ามา
สายลมราตรีพัดผ่านจนเส้นผมของเขาระข้างหู และมีบางส่วนที่พัดสยายออกด้านข้างราวกับเป็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่มาถึง ปราณพิฆาตเย็นเยียบที่มากพอจำทำให้ขนลุกชูชันวูบหนึ่งรวมถึงพลานุภาพที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากคนผู้นี้ ความไม่สะทกสะท้านที่เผยออกมาจากดวงตาที่สงบนิ่งของเขายิ่งแจ่มชัดขึ้น
ราวกับว่าสะกดข่มทั้งหมดได้ สยบได้ทุกสรรพสิ่ง
ม่านตาของซือหม่าหลิงหดลงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน สมาชิกกรมปราบพิฆาตที่ถูกสะกดไว้จนไม่กล้าเข้าใกล้ก่อนหน้ารอบๆ ไม่ว่าจะยอดเขาลำดับเจ็ดหรือยอดเขาอื่น ก็ล้วนคุกเข่าลงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“คารวะเจ้ากรม!”
เสียงดุจสายอัสนีดังก้อง โดยเฉพาะสมาชิกจากยอดเขาลำดับเจ็ดที่ดวงตาร้อนแรงยิ่งกว่า โห่ร้องเสียงต่ำสุดกำลังจนกลายเป็นเสียงครืนครัน ทำให้ผู้บำเพ็ญนกเขาราตรีในที่แห่งนี้ใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง
ต่อให้เป็นเจ้ากรมยอดเขาลำดับหนึ่งกับยอดเขาลำดับสามยังล้วนถอนใจโล่งออกมา ประสานหมัดคารวะ
“ขอเตือนเจ้าเสียหน่อย อย่าได้มายุ่งเรื่องของข้า” แววตาซือหม่าเหลิงไม่เป็นมิตร เอ่ยแช่มช้า
สวี่ชิงไม่มองเขา แต่หันไปคารวะตอบเจ้ากรมยอดเขาลำดับหนึ่งและสาม จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“กรบปราบพิฆาต ยังไม่จับคนอีกหรือ”
“รับบัญชาเจ้ากรม!” เพียงพริบตา สมาชิกกรมปราบพิฆาตรอบด้านพุ่งทะยานตรงไปหาผู้บำเพ็ญนกเขาราตรี บางคนพุ่งขึ้นไปบนเรือ ปะทุการสังหารขึ้นอย่างรวดเร็ว
สมาชิกนกเขาราตรีจิตใจสั่นสะเทือน พริบตาที่เห็นสวี่ชิงปรากฏตัวก็พากันแอบร้องระงม และมีสมาชิกนกเขาราตรีหลายคนที่ถูกตามจับจนหวาดผวา ตั้งท่าหนีโดยไม่ลังเล แต่ที่แห่งนี้ถูกกรมปราบพิฆาตปิดล้อมไว้นานแล้ว เพียงพริบตาก็มีเสียงสังหารดังก้องฟ้า
“สวี่ชิง เจ้ามันรนหาที่ตาย!” เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงไม่สนใจตน จิตสังหารในดวงตาซือหม่าหลิงแรงกล้า ขณะที่ทั่วร่างส่งเสียงครืนครัน พลังบำเพ็ญปะทุขึ้น ทั้งร่างกลายเป็นอัสนีพุ่งเข้าหาสวี่ชิง มือขวาที่กลายเป็นกรงเล็บตะปบไปที่ดวงตาสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม