ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 234 ไม่เห็นใครในสายตา
บทที่ 234 ไม่เห็นใครในสายตา
สวี่ชิงไม่ชอบถูกคนรบกวนในเวลาฝึกบำเพ็ญหรือศึกษาค้นคว้า
แต่ตอนนี้เขาก้มหน้ามองมุกสีม่วงที่ลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตส่งมา แววตาแปรเปลี่ยนมาล้ำลึกขึ้น
มุกเม็ดนี้ยังแผ่กลิ่นอายข้อมูลที่ไม่ทราบที่มากลุ่มหนึ่งออกมา ทำให้วิหคทองที่หลังของเขามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเล็กน้อย ไม่นานนักก็ปรากฏข้างหลังเขา หลังจากที่จ้องเพ่งมุกเม็ดนี้ด้วยกันกับมัน ก็ค่อยๆ เผยความกระหายออกมา
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร หลังจากพึมพำก็เดินออกมาจากคุก ที่โถงรับแขกของกรมปราบพิฆาต เขาเห็นชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้นที่มาเยือน
อีกฝ่ายร่างเหยียดตรง ตอนนี้หันหลังให้สวี่ชิงอยู่ กำลังมองภาพผีร้ายแย่งชิงอาหารที่แขวนไว้บนกำแพงในโถงรับแขก แม้จะไม่ได้เปิดสภาวะแสงนภา แต่เปลวไฟที่เกิดจากการโคจรของช่องเวทร้อยยี่สิบช่องทั่วทั้งร่างกำลังลุกโชนในกายเขาอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ทุกอย่างรอบๆ เมื่ออยู่ในสายตาของลูกศิษย์ระดับรวมปราณล้วนเปลี่ยนมาบิดเบี้ยวไปหมด เหมือนว่าที่นี่กลายเป็นที่อยู่ชายหนุ่มชุดม่วงนี้ไปแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เป็นผลกับสวี่ชิง
ความบิดเบี้ยวทุกอย่างที่นี่ก็หายไปในทันใดจากการที่เท้าของเขาย่างก้าวเข้ามา
“สวี่ชิงหรือ” ชายหนุ่มที่หันหลังให้สวี่ชิงหันหน้ามา แววตาแฝงด้วยรอยสำรวจพิจารณาเล็กน้อย สายตาจับจ้องบนร่างสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่ชอบสายตาเช่นนี้ แต่เขาไม่แสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกมาข้างนอก มองผู้มาเยือนอย่างสงบนิ่ง
“ด้วยพลังไฟชีวิตสองดวง ร่วมกับเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ พร้อมด้วยพิษอันถึงแก่ชีวิต ทั้งยังมีหน้าตาเช่นนี้อีก สวี่ชิง…สระเล็กๆ อย่างสำนักเจ็ดนตรโลหิตสระนี้ไม่เหมาะกับเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มชุดม่วงเอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นก็นั่งบนที่นั่งประธานในโถงรับแขก
การเคลื่อนไหวทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ เหมือนว่าในใจเขาก็คิดว่าตำแหน่งนี้ควรจะเป็นเขาที่เป็นคนนั่งอยู่แล้ว
เพียงแต่เขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่า ในที่ว่างโล่งข้างหลังพลันมีผิงกั่วลูกหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
แล้วก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำได้เช่นไร ผิงกั่วลูกนั้นถูกคนที่มองไม่เห็นคนหนึ่งกัดหนึ่งคำ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาเลย
สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย กวาดตามองผิงกั่ว ไม่พูดอะไร รอคำของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มชุดม่วงเอ่ยราบเรียบ
“เจ้าอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะต้องไม่ได้ดั่งใจเป็นแน่ แค่เพียงมีชื่ออยู่ในอันดับทว่ามิใช่องค์ชาย รายชื่อในอันดับก็เป็นเพราะเจ้าสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ถึงได้มอบให้ สำนักเช่นนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์
“ข้าเป็นใครความจริงแล้วในใจเจ้าก็รู้ดี ข้าคือหวงอี้คุนแห่งสำนักโลกันต์ทมิฬ เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้” คำพูดของหวงอี้คุนดังก้องรอบทิศ แววตาสำรวจพิจารณาในดวงตายิ่งชัดเจน
ผิงกั่วข้างหลังเขาเดิมมีรอยฟันเพิ่มขึ้น คล้ายว่าคนที่มองไม่เห็นคนนั้นกำลังกัดอีกคำ ทว่าตอนนี้กลับชะงักค้าง เหมือนไม่ค่อยพอใจคำพูดของเขา
สวี่ชิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขารู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยพบอีกฝ่าย แต่ม้วนเอกสารและภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหวมีบันทึกของคนผู้นี้
“สวี่ชิง ข้าชื่นชมเจ้ามาก วันนี้ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้หลุดพ้นจากสำนักล่าง เข้าร่วมกับสำนักบน”
หวงอี้คุนยกมือขวาที่สวมถุงมือสีแดงมาวางไว้บนที่วางแขนเก้าอี้ ตัวเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาฉายประกายคมกล้า จับจ้องดวงตาทั้งสองของสวี่ชิง เอ่ยเน้นทีละคำๆ
“แน่นอน เงื่อนไขของทุกอย่างที่ว่านี้คือเจ้าจะต้องภักดีกับข้า”
คิ้วของสวี่ชิงขมวดมุ่นเล็กน้อย
ส่วนผิงกั่วที่ลอยอยู่ข้างหลังหวงอี้คุนในตอนนี้มีรอยกัดเพิ่มอีกสองรอยอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามันถูกกัดอย่างอาฆาตแค้น
“สวี่ชิง เจ้าอาจจะยังไม่รู้ถึงความหมายของสำนักบน” หวงอี้คุนสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของสวี่ชิง แต่ก็ไม่สนใจ หัวเราะราบเรียบ
“เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิที่เจ้าฝึกฝนชื่อว่าเคล็ดวิชาวิหคทองฝึกหมื่นวิญญาณ เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้เท้าจากสาขาใหญ่แห่งพันธมิตรเจ็ดสำนักเราก็รับรู้เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิอย่างเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเช่นกัน”
“และท่านยังรับรู้ได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย ส่วนวิชาของเจ้าก็คงได้มาโดยโอกาสบังเอิญอย่างแน่นอน แต่ผลเก็บเกี่ยวเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเทียบกับสาขาใหญ่ได้เลย ข้าพูดได้ถูกหรือไม่”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
“ดังนั้น มาสำนักบน เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของเจ้าจึงจะมีโอกาสยกระดับได้มากกว่า และใต้เท้าที่สาขาใหญ่ก็มาจากสำนักโลกันต์ทมิฬเช่นกัน ดังนั้น สำนักเราจึงมีคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ คัมภีร์นี้ความจริงแล้วเป็นวิชาที่ใต้เท้าที่สาขาใหญ่คิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงจากเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าของหวงอี้คุนก็แฝงด้วยความหยิ่งทะนง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“อีกทั้ง…คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณที่สำนักชั้นล่างฝึกฝนก็เป็นเพียงแค่ระดับต่ำเท่านั้น” หวงอี้คุนพูดพลางยกมือขวาที่สวมถุงมือสีแดงขึ้นมา แล้วถอดมันออกช้าๆ
กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากมือขวาของเขาทันทีจากการถอดถุงมือ
นิ้วมือทั้งห้าข้างขวาของเขาล้วนเป็นสีม่วงราวกับผลึกแก้ว ในขณะที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ ก็มีระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามแผ่ซ่านออกมาจากนิ้วทั้งห้า ประดุจของสมบัติของล้ำค่า!
เส้นแสงทั้งหมดรอบๆ หมองหม่นลงไปในเสี้ยวพริบตานี้ เหมือนว่านิ้วทั้งห้าดูดซับไปหมด ทำให้มันกลายเป็นต้นกำเนิดแสง
สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาจากนิ้วมือทั้งห้านี้ กระทั่งว่ารูปสัญลักษณ์วิหคทองที่อยู่บนหลังก็ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้
เปลวเพลิงในร่างกายก็เหมือนจะถูกเหนี่ยวนำไปรางๆ ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ สวี่ชิงรู้สึกว่าหวงอี้คุนคนนี้…ไม่ควรโอ้อวดนิ้วทั้งห้าที่นี่เลย
ผิงกั่วที่ลอยอยู่ข้างหลังหวงอี้คุนสั่นสะท้านไปเล็กน้อย เหมือนว่ามือที่ถือมันอยู่ตอนนี้ค่อนข้างตื่นเต้น ยิ่งมีแสงดวงตาร้อนแรงสองทางปะทุออกมาจากในนั้นรางๆ จับจ้องไปที่มือขวาของหวงอี้คุนโดยที่ตัวเขาไม่รู้สึกตัวเลย
สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง หวงอี้คุนในใจก็ได้ใจนัก ยิ่งมีความรู้สึกดูถูกและอิจฉากลุ่มหนึ่งในใจผสมปนเป ที่ได้ใจคือนิ้วทั้งห้าที่ได้มาจากความร่ำรวยและการฝึกบำเพ็ญของตัวเองในชีวิตนี้
ทุกครั้งที่เผยมันออกมาล้วนทำให้คนทั้งหลายต้องตื่นตะลึง และพลังของมันยิ่งไม่ธรรมดา
ที่ดูถูกคือสวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ อย่างไรเสียก็เป็นแค่ปลาในสระเล็กๆ เท่านั้น ต่อให้มีวาสนาอยู่บ้าง แต่เรื่องความรอบรู้ยังขาดอีกมาก
และสิ่งที่เขาอิจฉาก็คือวาสนานี้
แต่เขาเก็บซ่อนได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ขยับนิ้วมือทั้งห้าที่เหมือนหลอมขึ้นมากจากทองม่วง เปล่งประกายแสงพร่างพรายแวววาว เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“สวี่ชิง เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ นี่ก็คือเคล็ดวิชาโบราณโลกันต์ทมิฬที่ข้าฝึกฝน ชื่อว่าดัชนีโลกันต์ทมิฬ
“นิ้วทั้งห้าของข้านี้ล้วนหล่อเลี้ยงขึ้นจากวิชาทมิฬมากมายร่วมกับของวิเศษหายากล้ำค่ามหาศาล ขอเพียงถูกนิ้วใดนิ้วหนึ่งของข้าสัมผัส อีกฝ่ายก็จะถูกข้าสัมผัสไปถึงวิญญาณ ถูกข้าควบคุม มีพลังสังหารและช่วงชิง
“นี่ถึงจะเป็นหน้าตาที่แท้จริงของคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ
“หากเจ้าภักดีกับข้า หลังจากตามข้ากลับไปยังสำนักแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าขอท่านบรรพจารย์ให้มอบวิชาให้เจ้าได้ฝึกหนึ่งนิ้ว วันหน้าเมื่อสร้างคุณงามความชอบ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสได้ฝึกสองนิ้วขึ้นไป
“วิชานี้เมื่อร่วมกับเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของเจ้าถึงจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้!”
สวี่ชิงมองนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง และสังเกตเห็นว่าผิงกั่วที่อยู่ข้างหลังเขาไม่มีรอยกัดเพิ่มมานานมากแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นั้นที่อำพรางกายอยู่ สมาธิทั้งหมดอยู่ที่นิ้วมือทั้งห้านี้
ดังนั้นแล้วจึงมองหวงอี้คุนด้วยความหมายล้ำลึกแวบหนึ่ง
นอกจากนี้สวี่ชิงรู้สึกว่าแม้วิชาของคนคนนี้จะเยี่ยมยอดจริงๆ ทว่าก็ไม่ใช่ที่สุด วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณไม่จำเป็นต้องสำแดงร่วมกับอะไร
เหตุที่คนคนนี้มีความคิดเช่นนั้นเพราะวิชาที่สาขาใหญ่ของพันธมิตรเจ็ดสำนักรับรู้ในตอนนั้นเป็นเพียงแค่กระผีกของเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญณเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีวิชาที่เอามาใช้ร่วม
เขานึกย้อนถึงเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณที่ตัวเองเข้าใจ หัวใจสำคัญของวิชานี้คือความแข็งแกร่งทรงพลัง หากยังต้องใช้ร่วมกับวิชาอื่นก็จะเสียจิตวิญญาณไป
เห็นสวี่ชิงไม่พูดอะไรเลย หวงอี้คุนก็หัวเราะเยาะในใจ
“บางทีเจ้าอาจจะยังไม่ค่อยอยากยอมรับ รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรที่เจ้าจะมาซื่อสัตย์ภักดีด้วย ดังนั้นเจ้ายังไม่จำเป็นต้องให้คำตอบข้าตอนนี้ ผ่านไปสองสามวันข้าจะไปท้าประลององค์ชายสามของยอดเขาลำดับเจ็ดเจ้า”
พูดจบหวงอี้คุนก็ลุกขึ้น เอามือไพล่หลัง เดินออกไปข้างนอก ตอนที่เดินผ่านสวี่ชิงเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างสุขุมใจเย็น
“สวี่ชิง จงจำไว้ อีกไม่กี่วันคอยจับตาดูการท้าทายของยอดเขาลำดับเจ็ด เจ้าจะได้เห็นผลลัพธ์ และครั้งต่อไปที่เราได้พบกัน องค์ชายสามแห่งยอดเขาลำดับเจ็ดพ่ายแพ้ย่อยยับ วันนั้นข้าจะมาเอาคำตอบจากเจ้า
“นี่คือวาสนาของเจ้า เจ้าสำนึกไว้เถอะ”
พูดจบ หวงอี้คุนก็เดินออกไปจากกรมปราบพิฆาตโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา เหยียบแสงพรายรุ้งยามอัสดงที่ปลายขอบฟ้า เดินจากไปไกลเรื่อยๆ
“ฮ่าๆ เป็นที่อาชิงน้อยที่นี่ถึงจะสนุก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้านี่ออกเดินทางมาอย่างเก่งกาจสุดยอด ดังนั้นจึงคิดตามมาดูเรื่องสนุกสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับของวิเศษเข้าเสียได้!” ข้างสวี่ชิงมีเสียงที่เต็มได้ด้วยความตื่นเต้นยินดีของนายกองดังมา
“ข้าเพิ่งเคยเห็นคนที่เป็นฝ่ายโอ้อวดเองต่อหน้าข้าเป็นครั้งแรก…ความตื่นเต้นมากะทันหันเหลือเกิน ข้าไม่ค่อยชินเลย เมื่อครู่ข้าต้องใช้แรงมหาศาลมากถึงได้อดใจไม่ไปหักเอามาได้”
“อดใจไม่เข้าไปกัดสักคำต่างหากกระมัง” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เจ้ากรมสวี่ ในฐานะที่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งยอดเขาลำดับเจ็ด ข้าต้องตำหนิเจ้า ทำไมถึงพูดกับองค์ชายใหญ่เช่นนี้” ผิงกั่วที่ลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงถูกกัดอย่างเต็มแรงคำหนึ่ง
สวี่ชิงก้มมองเงาของตัวเองแวบหนึ่ง
เจ้าเงาทำท่ากะโผลกกะเผลก เหมือนส่วนศีรษะจะบวมด้วยเล็กน้อย คล้ายว่าถูกคนอัดมาเสียยับ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นายกอง เจ้าไปทำเรื่องอะไรมาอีกแล้ว”
ผิงกั่วชะงักค้าง
“จะเป็นไปได้อย่างไร หลังจากครั้งก่อน ก่อนนี้ที่อำพรางกายข้าก็ชอบสภาวะนี้เข้าแล้ว ไม่พูดแล้วๆ หวงอี้คุนนั่นจะท้าประลองยอดเขาเจ็ด ข้าจะไปคุยเล่นกับเจ้าสองกับเจ้าสามสักหน่อย”
ในขณะที่คำพูดดังสะท้อน ผิงกั่วก็ลอยจากไปไกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจากก็พลันชะงักกึก
“ใช่แล้ว อาชิงน้อย ครั้งนี้ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่า ครั้งนี้พันธมิตรเจ็ดสำนักมาท้าประลองยอดเขาต่างๆ ถูกอัดยับ ดูแล้วอัดอั้นเหลือเกิน แต่นี่ก็เป็นแผนของพวกปีศาจเฒ่า
“เห็นได้ชัดว่าพวกปีศาจเฒ่าอยากให้ลูกศิษย์มีจิตปฏิปักษ์กับพันธมิตรเจ็ดสำนัก ขณะเดียวกันก็จะคัดลูกศิษย์ที่คิดละทิ้งสำนัก เจ้าอย่าได้มีความคิดเป็นอื่นเชียว ไม่เช่นนั้นวันหน้าข้ามีแผนการใหญ่อะไรต้องไปหาเจ้าที่สำนักอื่น ยุ่งตายเลย”
พูดจบ ผิงกั่วก็ไปจากกรมปราบพิฆาตทันที หลังจากที่จากไปไกลแล้ว นายกองที่อำพรางกายนั้น ในดวงตาเล็กๆ บนใบหน้าที่บวมเป่งจมูกเขียวก็เผยความตกใจสงสัยออกมา
“เขาเห็นข้าจริงๆ หรือ เป็นไปไม่ได้ อำพรางกายนี่เป็นของวิเศษที่ตาแก่มอบให้ข้า หลายปีมานี้ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนอกจากอาจารย์ลุงทั้งหลายและท่านบรรพจารย์แล้ว ก็ไม่มีใครเห็นข้าได้ เป็นไปได้อย่างไร…” ท่ามกลางเสียงพึมพำ นายกองแยกเขี้ยว เหมือนว่าบนร่างจะเจ็บนิดๆ
“อาจารย์ลุงหกตาแก่นิสัยเสียนั่นลงมือหนักเกินไปแล้ว ข้าก็แค่แทะของวิเศษของเขาไปแค่คำเดียวเท่านั้น ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรือ…พอข้ากลับมาก็จับข้าไปอัดเสียยับ” นายกองโมโห กัดผิงกั่วอย่างอาฆาต จากไปอย่างรวดเร็ว
ในกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร
คำพูดของนายกองคล้ายกับการวิเคราะห์ของเขาก่อนหน้านี้ สวี่ชิงในตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าสำนักน่าจะกำลังรออะไรอยู่
“เวลาอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงไม่คิดต่อ เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนควรจะไปขบคิด ดังนั้นจึงกลับไปที่คุกทำการฝึกบำเพ็ญต่อ
เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ทีละวัน การไล่ล่าจับกลุ่มนกเขาราตรีหลังจากที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้ จากการที่พวกมันยิ่งหลบซ่อนหนักขึ้น กรมปราบพิฆาตก็เตรียมรวบตาข่ายแล้ว
และก่อนที่จะเก็บตาข่าย เพื่อป้องกันไม่ให้มีปลาเล็ดลอดจากตาข่ายออกไปได้ กรมปราบพิฆาตยังทำการวางแผนบางอย่างอีก
นั่นก็คือประกาศกฎห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืน!
“เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตประกาศใช้กฎห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผู้ที่ออกเดินทางยามค่ำคืน มีร่องรอยน่าสงสัย จับกุมตัวไว้ทุกคน!
“ขณะเดียวกัน กรมปราบพิฆาตยอดเขาทุกยอดเริ่มรวบตาข่ายได้ ทำลายแหล่งกบดานกลุ่มนกเขาราตรีทุกแห่งที่สืบได้ก่อนหน้านี้ให้หมด แก้แค้นให้กับสหายที่จากไป!
“นับจากนี้นกเขาราตรีที่สังหารได้ทั้งหมด ผลเก็บเกี่ยวทุกอย่างตกเป็นของคนคนนั้น กรมดุจคำสั่ง หน่วยดุจแหล่งกบดาน กองดุจคมดาบ ภารกิจทำลายนกเขาราตรีให้สิ้นซาก เริ่ม ณ บัดนี้!”
จากคำสั่งของสวี่ชิง เจ็ดกรมปราบพิฆาตแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างออกปฏิบัติภารกิจด้วยสีหน้าท่าทางเหี้ยมเกรียมดุดันทันที ทำการฆ่าล้างสังหารโหดเหี้ยม คืนนี้ ทั้งเมืองหลักล้วนฆ่าล้างไปทั่วทุกระแหง
บนถนนจะเห็นเงาร่างของสมาชิกกรมปราบพิฆาตนับไม่ถ้วน พวกเขาแต่ละกองล้วนทำตามคำสั่งของแต่ละกรม มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่กำหนด ทำการฆ่าและจับกุม
แหล่งกบดานทุกแห่งมีเสียงร้องอย่างโหยหวนและเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยมดังออกมา ทุกที่บนถนนจะเห็นเงาร่างของกลุ่มนกเขาราตรีที่หลบหนีการไล่ล่าสังหารจากกรมปราบพิฆาต
ยิ่งกว่านั้นประเดี๋ยวๆ ยังมีสัญญาณที่พุ่งขึ้นฟ้าระเบิดดังก้องไปทั่วทุกสารทิศจากกรมปราบพิฆาตอีกด้วย
ในเวลาเช่นนี้ก็จะมีรองเจ้ากรมของกรมต่างๆ มุ่งหน้ามาช่วยเหลือ หากพวกเขาจัดการไม่ได้ ก็จะมีเจ้ากรมมา
หากเจ้ากรมยังไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นก็จะรายงานสวี่ชิง สวี่ชิงจะลงมือเอง
ทว่าในการรวบตาข่ายคืนนี้ สวี่ชิงไม่มีโอกาสได้ลงมือ เพราะทางเหยียนเหยียนทางนั้นเข้ามาร่วมด้วยอย่างกระตือรือร้น
ข้างหลังนางมีหมึกยักษ์ตามอยู่ มุ่งไปข้างหน้าไร้ความเกรงกลัว ทุกครั้งที่เห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากกรมปราบพิฆาต นางก็จะนั่งอยู่บนเจ้าหมึกยักษ์ พุ่งไปเป็นคนแรก ทุกครั้งที่ลงมือจะพูดประโยคหนึ่งเสมอ
“เรื่องเล็กแค่นี้ก็ไม่ต้องรบกวนพี่สวี่ชิงหรอก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าเมื่อกลับไปก็บอกเขาว่าข้ามาแล้ว”
มีครั้งหนึ่ง คนที่นางลงมือช่วยคือรองเจ้ากรมคนใหม่คนหนึ่งของยอดเขาลำดับเจ็ด คนคนนี้มีพลังบำเพ็ญไฟชีวิตหนึ่งดวง เมื่อได้รับความช่วยแล้วก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ประสานมือเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบพระทัยองค์หญิงเหยียนเหยียน”
เหยียนเหยียนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว ตอบกลับไปว่า
“ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้ากรมพวกเจ้า เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สะใภ้!”
คำพูดของเหยียนเหยียนทำให้รองเจ้ากรมที่เลื่อนขั้นคนใหม่ของยอดเขาลำดับเจ็ดที่นางช่วยไว้คนนี้อึ้งตะลึง หลังจากลังเลก็ประสานหมัดพูดอีกครั้ง
“ขอบคุณพี่สะใภ้!”
เหยียนเหยียนหน้าชื่นตาบาน โยนลูกกลอนโอสถล้ำค่าเม็ดหนึ่งไป
“รักษาตัวให้ดี กรมปราบพิฆาตเรา สามีข้าคือเจ้ากรม ข้าในฐานะที่เป็นภรรยาของเขาย่อมต้องช่วยเขาดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เรื่องเล็กๆ” ระหว่างพูดเหยียนเหยียนก็เห็นสัญญาณขอความช่วยเหลืออีก ดังนั้นจึงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว