ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 239 ผู้มาเยือนจากสำนักล่าสิ่งประหลาด
บทที่ 239 ผู้มาเยือนจากสำนักล่าสิ่งประหลาด
เห็นสวี่ชิงน่ากลัวขนาดนี้ เจ้าเงาทางนั้นก็สั่นสะท้าน ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำก็ยิ่งสั่นสะท้านหนักกว่า หลังจากปรากฏตัวออกมา เขาก็เบิกตาโพลง ในสมองมีเสียงดังวิ้ง
“โอ้ สวรรค์…”
“จอมมารสวี่จะต้องเป็นมังกรที่แท้จริงอย่างแน่นอน ในนิยายล้วนเขียนแบบนี้ทั้งนั้น มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะต้องเป็นตัวละครหลักมังกรแท้จริงแน่ๆ ส่วนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องนั่น…คนคนนี้บางทีก็อาจจะใช่เหมือนกัน แต่เป็นนิยายอีกเรื่อง
“ก็ต้องดูว่ามังกรแท้จริงในนิยายสองตัวนี้ใครจะแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
“…กลัว กลัว กลัว…” เจ้าเงาตัวสั่นงันงก ระลอกคลื่นอารมณ์ปั่นป่วน
บรรพจารย์สำนักวัชระไม่ได้หัวเราะเยาะเย้ยอย่างหาได้ยาก แต่กลับเห็นด้วย เขารู้สึกว่านับตั้งแต่จอมมารสวี่จัดการตนก็ราบรื่นไร้อุปสรรคมาตลอด เปลี่ยนมาน่ากลัวเป็นที่สุด
“เอ๋ หรือว่าข้าจะมีดวงส่งเสริมมังกร หลังจากที่ได้เป็นนายของข้าก็จะยิ่งผงาดขึ้นไป”
ในตอนที่เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระต่างสั่นสะท้านหวาดกลัว พวกมันก็ได้ยินเสียงพึมพำของสวี่ชิง
“แต่ข้าก็ยังอ่อนแอมากเหลือเกิน”
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงหรี่จนเกือบปิด ซ่อนแสงสีม่วงในตาเอาไว้
“สู้เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่สยบยอดเขาลำดับหนึ่งเพียงคนเดียวไม่ได้…” สวี่ชิงส่ายหน้า เขารู้สึกว่าตัวเองยังต้องยกระดับอีกหลายด้านที่
“ข้าต้องรีบจุดไฟชีวิตดวงที่สี่ จากนั้นก็ไปดูสิว่าหลังจากช่องเวทร้อยยี่สิบช่องจะมีอะไรอยู่”
สวี่ชิงรู้สึกว่าอัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักเหล่านี้ล้วนติดอยู่ที่ช่องเวทร้อยยี่สิบช่อง ไม่ได้ก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณ ในนี้จะต้องมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน ส่วนช่องเวทร้อยยี่สิบช่องที่เขาเคยอ่านในแผ่นหยกมีบรรยายไว้ไม่มาก แต่ตอนนี้ดูแล้วคนแบบนี้ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็คงพบได้ทั่วไป แม้จะเป็นอัจฉริยะของสำนักหนึ่ง แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าบางทีในนี้อาจจะมีปัญหาและสาเหตุในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
“นอกจากนี้พิษของข้ายังทำให้รุนแรงขึ้นได้อีกนิด ข้าต้องใช้สมุนไพรพิษปริมาณมากมาให้แมลงสีดำกลืนกิน ทำให้ภูมิต้านทานของพวกมันแข็งแกร่ง เลี้ยงในลูกกลอนต้องห้ามได้นานขึ้น
“แล้วยังมีดาบสะบั้นไพศาล…วาสนานี้จะให้หายไปเช่นนี้ไม่ได้ ข้าต้องไปศาลเจ้าไพศาลอนันต์หลายๆ ที่ ไปลองสัมผัสดู
“เห็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ยังอ่อนแอเกินไปจริงๆ” สวี่ชิงถอนหายใจ ความภาคภูมิที่กำลังรบยกระดับถึงไฟชีวิตห้าดวงที่เพิ่งเกิดขึ้น มอดดับลงไปใหม่ทันที
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาสังเกตสีหน้าของสวี่ชิงอย่างละเอียดและจริงจัง มายืนยันว่าสวี่ชิงพูดตรงข้ามกับที่คิดหรือเปล่า แต่หลังจากสังเกตก็พบว่า สวี่ชิงเหมือนคิดแบบนี้จริงๆ
นี่ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระอึ้งเล็กน้อย
“นี่ยังอ่อนแอหรือ นี่ยังเรียกว่าอ่อนแออีกหรือ เช่นนั้นอะไรที่เรียกว่าแข็งแกร่ง…จอมมารสวี่ท่าทางจะเข้าใจคำว่าอ่อนแออะไรผิดไปกระมัง”
“…อ่อนแอหรือ”
เจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ ก็อึ้งไปเช่นกัน
สวี่ชิงสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ในเมื่อยังแข็งแกร่งไม่พอเช่นนั้นก็จะเปิดเผยมากเกินไปไม่ได้” สวี่ชิงพึมพำ มองเจ้าเงาที่อยู่บนพื้นและเหล็กแหลมดำที่บรรพจารย์สำนักวัชระอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง
ทั้งสองตอนนี้โง่งมไปแล้วโดยสมบูรณ์ ในใจสับสนงุนงง
“เจ้าเงา อำพรางตะเกียงแห่งชีวิตของข้าเพิ่มอีกหนึ่งชั้น จากนั้นอำพรางช่องเวทให้ข้าสิบช่อง!” สวี่ชิงเอ่ยอย่างช้าเนิบ จากนั้นก็มองไปรอบๆ เพียงสะบัดมือ ทันใดนั้นพลังร้อนแรงที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดก็ถูกดึงหอบม้วนออกมาทันทีโดยไม่เว้นแม้แต่น้อย เอามารวมไว้ที่มือขวาของสวี่ชิง
กลายเป็นเปลวไฟสีดำกลุ่มหนึ่ง ในนั้นแฝงไว้ด้วยพลังน่าหวาดกลัว
มือขวาสวี่ชิงเพียงบีบ ไฟกลุ่มนี้ก็ผสานเข้าไปในร่างของเขาทันที กรงขังรอบๆ หายไปเนื่องจากพลังของไฟ จากดินกลายเป็นเถ้าธุลีในทันที ไร้ซึ่งร่องรอย
ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงก็เอาค่ายกลมากมายออกมาจากถุงเก็บของ วางค่ายกลรอบๆ ใหม่อีกครั้ง
หลังจากที่ในกระเป๋าของเขามีหินวิญญาณเพียงพอ ก็ไม่ขี้เหนียวในด้านค่ายกลเลย ก่อนหน้านี้ซื้อไว้มากมาย ตอนนี้ดำเนินการเสร็จ สวี่ชิงก็สั่งออกไปข้างนอกอย่างราบเรียบ
“ส่งกลุ่มนกเขาราตรีเข้ามาอีก!”
ดังนั้น ไม่นานนัก สมาชิกกรมปราบพิฆาตก็ส่งนักโทษเข้ามาอีกครั้ง และพวกเขาที่เดินเข้ามาใกล้คุกก็สังเกตความพินาศย่อยยับรอบๆ แม้ทุกคนจะแปลกประหลาดใจตื่นตะลึง แต่ก็ไม่กล้าซักถาม
เวลาไหลผ่านไปสามวันเช่นนี้เอง
การท้าประลองสำนักเจ็ดเนตรโลหิตของพันธมิตรเจ็ดสำนักดูเหมือนยังคงร้อนแรงเช่นเดิม ทว่าความจริงแล้วอัจฉริยะเหล่านั้นที่มาจากพันธมิตรเจ็ดสำนัก ตอนนี้ในใจต่างมีการคาดเดามากมายผุดขึ้น
เพราะพวกเขาพบว่าหวงอี้คุนหายตัวไป
และก่อนที่เขาจะหายตัวไปได้พูดอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือสวี่ชิงทางนั้นเขาจัดการเอง ให้คนอื่นๆ รอดูผลลัพธ์ก็พอแล้ว เรื่องที่สองคือเขาบอกกับอัจฉริยะทั้งหมดว่าตัวเองจะไปท้าประลองยอดเขาลำดับเจ็ด ให้พวกเขารอดูผลลัพธ์เช่นกัน
ตอนนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ยอดเขาลำดับเจ็ดไม่มีผลลัพธ์อะไรประกาศออกมา ส่วนหวงอี้คุนหายตัวไป
เรื่องนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก และสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือสำนักโลกันต์ทมิฬกลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ ทั้งนั้นอย่างหาได้ยาก…
ดังนั้นอัจฉริยะจากพันธมิตรเจ็ดสำนักในยามที่มองไปทางยอดเขาลำดับเจ็ดและท่าเรือที่ร้อยเจ็ดสิบหกหลายครั้งสายตาล้วนแฝงด้วยรอยสงสัยและระแวงระวัง
สิ่งที่มองไม่ทะลุมักจะเป็นเพราะลำดับขั้นไม่ถึง
อัจฉริยะเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ เหตุผลนี้พวกเขาย่อมต้องเข้าใจ นอกจากนี้ ยอดเขาลำดับเจ็ดไม่เกี่ยวกับพวกเขา สวี่ชิงก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้พวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่คิดอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ทว่ามังกรมีลูกเก้าตัว แต่ละตัวล้วนแตกต่างกันไป สุดท้ายแล้วก็มีคนหลังจากที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทิ้งผลประโยชน์บางอย่างได้ ในเมื่อเรื่องที่สวี่ชิงไล่ล่าจับกุมกลุ่มนกเขาราตรี ทำให้ในอัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักมีคนไม่พอใจ
แม้อัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักจะไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนกับกลุ่มนกเขาราตรีเสียทั้งหมด ทว่าลูกค้าใหญ่ที่อยากซื้อคนเลี้ยงของวิเศษเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่ซือหม่าหลิงคนเดียวเท่านั้น
คนที่ไม่อยากปล่อยมือเรื่องคนเลี้ยงของวิเศษก็กำลังรอเหมือนกัน กำลังรอสำนักล่าสิ่งประหลาด
สำนักล่าสิ่งประหลาดอยู่ในพันธมิตรเจ็ดสำนักไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่พูดถึงระดับความขยาดที่คนอื่นๆ มีต่อพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าเลย
สำนักนี้ขึ้นชื่อว่ารักพวกพ้องและแปลกหลาด และด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะไปหาเรื่องพวกเขา เนื่องจากหลังจากที่คบค้ากับพวกสิ่งประหลาดมาเนิ่นนาน สำนักอื่นๆ มองว่าคนของสำนักล่าสิ่งประหลาดล้วนเป็นคนบ้า
ไม่เหมือนพวกคนบ้าลัทธินอกวิถี ลัทธินอกวิถีอย่างน้อยก็ทำเรื่องบ้าคลั่งต่างๆ เพื่ออุดมการณ์ แต่สำนักล่าสิ่งประหลาดต่างออกไป วิธีการลงมือของพวกเขาหลายครั้งที่พันธมิตรเจ็ดสำนักล้วนมองไม่ออก กระทั่งว่าลูกศิษย์ในสำนักสิ่งประหลาดเองก็มองความคิดของกันและกันไม่ออก
ดังนั้นเรื่องที่ซือหม่าหลิงถูกควบคุม สำนักล่าสิ่งประหลาดไม่มีทางเลิกราแน่นอน
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น หลังจากผ่านไปห้าวันที่ท่าเรือของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทะเลต้องห้ามมีเรือลอยมาลำหนึ่งอย่างโดดเดี่ยว
นี่เป็นเรือที่สร้างขึ้นจากกระดูกขาว เรือมีขนาดไม่ใหญ่แค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น ทั้งตัวเรือเรียวยาว ดูแล้วเหมือนกระดูกแขนของสัตว์อสูร
ส่วนตัวเรือกระดูกสองข้าง แม้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ ก็ยังเห็นมือผีกึ่งโปร่งแสงแกว่งไกวยื่นออกมานับไม่ถ้วน จ้วงไปในทะเลอยู่ตลอดเวลาเหมือนไม้พายมากมาย
กวาดตามองไป จำนวนมือผีบนนั้นน่ากลัวว่ามีถึงหลายพันข้าง จากการที่พวกมันจ้วงไปไม่หยุด เรือกระดูกก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างช้าเนิบ
ไม่เหมือนกับการมาเยือนของพันธมิตรเจ็ดสำนักในตอนนั้น การมาเยือนของเรือกระดูกลำนี้มีมารยาทมาก หยุดอยู่ที่นอกค่ายกลท่าเรือ มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว ผมดำยาวลากจรดพื้นคนหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
หญิงสาวคนนี้ดูแล้วอายุไม่มาก หน้าตางดงามเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ใบหน้าขาวซีดเหลือประมาณ เหมือนว่าไม่ได้เจอกับแสงอาทิตย์มาไม่รู้ต่อกี่ปีแล้ว
มือของนางถือร่มกางเอาไว้เหนือศีรษะ และเมื่อมองไปให้ละเอียดแล้วก็จะเห็น บนร่มคันนี้มีใบหน้าสิ่งประหลาดมากมาย พวกมันทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ประเดี๋ยวๆ ก็กัดทึ้งกันเอง ดุดันยิ่งนัก
มองแล้วชวนให้คนใจหวิว แต่ทุกครั้งที่มือของหญิงสาวชุดขาวหมุนด้ามจับร่ม ใบหน้าทุกดวงบนนั้นล้วนสั่นงันงก เผยแววตื่นกลัว
“ซือหม่าหรูสำนักล่าสิ่งประหลาดมาเยี่ยมเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิต” นอกค่ายกล หญิงสาวชุดขาวเอ่ยเสียงเบา เสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเย็นเยือก เหมือนลมเหมันต์พัด
ไม่นานนักค่ายกลก็เปิดออก ในขณะที่เรือกระดูกลำนี้ลอยล่อง ก็เลือกเทียบท่าที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
ในเสี้ยวพริบตาที่เทียบท่า หญิงสาวชุดขาวที่ถือร่มหน้าผีลอยขึ้นฝั่งไปเงียบๆ ตรงไปยังอย่างช้าเนิบ มุ่งหน้าไปยัง…กรมปราบพิฆาตแห่งท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
ผมของนางยาวมาก กรุยอยู่บนพื้นดิน ทุกที่ที่พาดผ่านแผ่นดินล้วนกระดุกกระดิกประหนึ่งมีชีวิต มีมนุษย์จิ๋วหน้าผีทรงกลมปรากฏขึ้นมาทีละคนๆ ขณะที่กระโดดโลดเต้นก็ตามหญิงสาวชุดขาวไปด้วย ปากก็ร้องเพลงเด็กแปลกประหลาดไปด้วย
“กระดูกหนึ่งท่อนฟาดไปเบาๆ ลูกตาสองดวงถลนออกมา
“สามทีเคาะกะโหลกเปิด สี่ลิ้นรีบมาจับไวๆ
“สหายห้าคนมีแรงมาก มือเล็กหกข้างล้วงเข้าไปข้างใน”
เพลงเด็กเหมือนมีเด็กน้อยมากมายนับไม่ถ้วนกำลังร้องอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือประโยคล้วนเต็มไปด้วยความน่าขนลุก ทำให้ทุกคนที่หญิงสาวชุดขาวเดินผ่านต่างหวาดกลัว พากันถอยหลังไม่กล้าเข้าใกล้
หญิงสาวชุดขาวเดินมาเช่นนี้ตลอดทาง ใกล้กรมปราบพิฆาตเข้ามาเรื่อยๆ
และการมาถึงของนาง เหล่าอัจฉริยะของพันธมิตรเจ็ดสำนักเหล่านั้นก็รู้ทันที แต่ละคนสัมผัสอยู่ไกลๆ ต่างสูดลมหายใจลึก
“ซือหม่าหรูแห่งสำนักล่าสิ่งประหลาด พี่สาวแท้ๆ ของซือหม่าหลิง ยิ่งเป็นผู้สืบมรรคาอัจฉริยะฟ้าประทานของสำนักล่าสิ่งประหลาดรุ่นที่แล้ว หลังจากก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณก็ได้ยินว่าปิดด่านมาโดยตลอด กำลังทะลวงวังสวรรค์ที่สอง!”
“นางมาเองเลยหรือนี่!”
“ที่มาไม่ใช่ร่างจริงของนาง แต่เป็นร่างสิ่งประหลาดร่างหนึ่งของนาง!”
“ข้าได้ยินมาว่าร่างแยกร่างนี้เป็นร่างที่ตอนซือหม่าหรูเป็นระดับสร้างฐานใช้กระดูกของตัวเองหลอมออกมา ผสานสิ่งประหลาดเข้าไป แม้จะไม่ถึงกำลังรบระดับแก่นลมปราณ แต่ว่ากันว่าสามารถสำแดงพลังสยบผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวงได้!”
“น่าจะไม่ถึงขั้นไฟชีวิตห้าดวง แต่เป็นกำลังรบไฟชีวิตสี่ดวงครึ่ง ทว่าต่อให้มีกำลังไฟเพิ่มมาครึ่งดวง ก็สามารถสยบไฟชีวิตสี่ดวงได้แล้ว!”
อัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักเหล่านี้ต่างรีบสื่อเสียงหากัน ต่างใจสั่นสะท้าน แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป เพราะสำนักล่าสิ่งประหลาดล้วนเป็นคนบ้าทั้งนั้น พวกเขากังวลว่าหลังจากที่อีกฝ่ายสยบสวี่ชิงแล้ว สู้ได้อย่างเมามันขึ้นมาจะสยบพวกเขาไปด้วย
และตอนนี้ ถนนท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก หญิงสาวชุดขาวที่อัจฉริยะเหล่านี้ต่างหวาดกลัวระแวงระวังเป็นอย่างยิ่ง จากการที่ข้างหลังมีมนุษย์จิ๋วหน้าผีทรงกลมเหมือนเม็ดถั่วมากขึ้นเรื่อยๆ กระโดดไปมา ท่ามกลางเพลงเด็กของพวกคนที่น่าขนลุกขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้เดินมาถึงหน้าประตูกรมปราบพิฆาต
ท้องฟ้าเหนือศีรษะนางมีหมอกดำรางๆ กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่งปกคลุม ปรากฏเป็นหน้าผีเหี้ยมเกรียม ก้มมองลงมายังกรมปราบพิฆาต
หน้าประตูกรมปราบพิฆาตไม่มีคน
ประตูเปิดกว้าง มองเห็นในจุดลึกบนที่นั่งประธานในโถงรับแขกมีเงาร่างเด็กหนุ่มหน้าตางดงามเลิศล้ำไม่ธรรมดาคนหนึ่ง มองมาที่นางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ผ่านลานกว้างมา
หญิงสาวชุดขาวสีหน้าเป็นปกติ จ้องมองเด็กหนุ่ม ผ่านไปนาน ใบหน้าขาวซีดก็เผยรอยยิ้มจางๆ ทั้งคนในขณะที่ท่าทีดูเหมาะสม ทุกที่ฉายความสง่างาม เหมือนหญิงสาวตระกูลผู้ดี ก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ข้ามารับน้องชายข้ากลับบ้าน”