ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 241 การเก็บงำของยอดเขาลำดับเจ็ด
บทที่ 241 การเก็บงำของยอดเขาลำดับเจ็ด
วิหคทองทะยานขึ้นไป ขณะที่ทะเลเพลิงไหลเวียน ใบหน้าบิดเบี้ยวนับไม่ถ้วนบนร่มผีคันนั้นก็ร้องเสียงแหลม คิดจะสะกดแต่ทำอะไรไม่ได้
เพียงพริบตาวิหคทองพุ่งก็มา
เสียงผีร้ายกรีดร้องกลายเป็นเสียงร้องเวทนาหวีดแหลม ร่มผีทั้งคันถูกแผดเผาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ใบหน้าสิ่งประหลาดทั้งหมด แย่งกันคิดจะหนีออกด้านนอกแต่ก็ทำไม่ได้
เพียงชั่วกระพริบตาก็ถูกวิหคทองเผาจนมอดไหม้ ขณะเดียวกันร่างของสิ่งประหลาดมากมายที่แปลงมาจากซือหม่าหรูหญิงสาวชุดขาวก็ระเบิดด้วยทะเลเพลิงของวิหคทองนี้เช่นกัน ทำท่าจะสลายหายไป
แต่ซือหม่าหรูพลังต่อสู้ไม่ธรรมดา แม้เวลานี้จะสั่นสะท้านไปทั้งใจ แต่ยังคงพุ่งไปหาสวี่ชิงจากรอบด้าน กลายเป็นใบหน้านับไม่ถ้วนทะลวงทะเลเพลิง กัดทึ้งกลืนกินร่างกายสวี่ชิงอย่างรุนแรง
ลมหยินพัดโบก คิดจะเป่าไฟชีวิตให้มอดดับ
สวี่ชิงเลิกคิ้ว ช่องเวททั้งหมดโหมขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าอำพรางช่องเวทต่อไปไม่มีความหมาย หญิงสาวตรงหน้านี้ พลังต่อสู้ไฟชีวิตสี่ยังยากจะสะกดไหว ดังนั้นช่องเวททั้งเก้าสิบช่องจึงระเบิดออกราวเตาไฟ สั่นสะเทือนฟ้า
และช่องเวทของเขาก็แตกต่างจากคนอื่น ช่องเวทของเขายิ่งใหญ่กว่า ทุกช่องมีทะเลวิญญาณถึงห้าร้อยจั้งอยู่ภายใน
ทะเลวิญญาณที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ก่อพลังเวทที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมา และด้วยการสนับสนุนของพลังเวทนี้ ระดับความร้อนแรงของไฟชีวิตสวี่ชิงจึงยิ่งน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด
ลมหยินนี้…อาจจะพัดไฟชีวิตส่วนใหญ่ให้ดับได้ แต่กลับพัดไฟชีวิตของสวี่ชิงให้วูบไหวไม่ได้เลย
ไฟชีวิตเขาเผาไหม้จนสร้างความตกตะลึงให้คนที่ได้ยินได้ เวลานี้ยอมให้สิ่งประหลาดเหล่านั้นเข้าใกล้ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงกายเนื้อของเขาก็เข้าขั้นจากการฝึกบำเพ็ญวิหคทอง
เวลานี้เลือดลมทั้งร่างระเบิดออกฉับพลัน ก่อตัวเป็นทะเลเพลิงแสงเลือด แผ่ซ่านครืนครัน เมื่อสิ่งประหลาดทั้งหมดได้สัมผัสก็กรีดร้องแหลมราวกับถูกลบทิ้งไป
ที่แปลงมาจากซือหม่าหรูเองก็ไม่เว้น ทั้งหมดแหลกสลายก่อตัวเป็นปราณหมอกพัดตลบ รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่ไม่ไกล แต่กลับมีกลิ่นอายที่น่ากลัวยิ่งกว่าแผ่ออกมาจากด้านใน
ปราณหมอกกลุ่มนี้ก็กลายเป็นอสูรร้ายขนาดยักษ์สามหัวตัวหนึ่งท่ามกลางการแผดเสียง
รูปร่างอสูรร้ายคล้ายกับพยัคฆ์ สองหัวอยู่ด้านหน้า อีกหัวหนึ่งอยู่ที่หาง พริบตาที่ปรากฏตัวรอบด้านก็เกิดลมพายุคลั่ง คลื่นพลังที่น่าตกตะลึงทำให้รู้สึกเย็นเยียบ ขณะที่ระเบิดออกรอบด้าน พยัคฆ์ผีตัวนี้ก็พุ่งไปหาสวี่ชิง
เข้าประชิดด้วยความเร็วในพริบตา
มีภูตผีจำนวนมหาศาลแผ่ออกมาจากตัวมัน กลายเป็นผีร้าย หมุนวนรอบๆ จนก่อตัวเป็นกระแสวนลมพายุที่เหมือนจะฉีกทึ้งได้ทุกสรรพสิ่ง
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกายเย็นชา ก้าวเท้าไปก้าวหนึ่ง พริบตาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าพยัคฆ์ผีตัวนั้น มือขวายกขึ้นระเบิดเพลิงพิฆาตในร่างกายจนกลายเป็นกำปั้นเปลวเพลิงขนาดยักษ์ซัดออกไป
เสียงดังตูม พยัคฆ์ผีคำรามเสียงต่ำเบี่ยงตัวฉับพลัน อ้าปากกว้างราวกับสามารถกลืนกินได้ทุกสรรพสิ่งเข้าประชิดสวี่ชิง พุ่งมาที่สวี่ชิงจะกลืนกินในฉับพลัน
สวี่ชิงสายตาสงบนิ่ง มือขวาทำปางชี้นิ้วขึ้น ทันใดนั้นทะเลเพลิงนอกร่างเขาก็แผ่ออก มัจฉาบรรพกาลตัวหนึ่งจำแลงร่าง ขนาดของมันโตกว่าพยัคฆ์ผี ปากใหญ่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าปากของพยัคฆ์ผีก็อ้าแล้วหุบ กลืนลงไปทันที
เสียงโครมดังขึ้น พยัคฆ์ผีตัวนั้นแตกซ่าน มีเสียงกรีดร้องออกมาจากตัว แต่ซือหม่าหรูก็ไม่สามัญ หลังจากที่มัจฉาบรรพกาลกลืนกินนางไปแล้ว พริบตาต่อมาก็ระเบิดร่างแหลกลาญ ปราณหมอกนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแล้วพุ่งออกมาจากด้านใน จำแลงเป็นรูปลักษณ์สิ่งประหลาดแบบที่สามกลางอากาศ
นั่นเป็นสิ่งประหลาดที่มีปีกด้านหลัง ร่างสีดำสนิทที่ดูคล้ายกับรากษส[1]
หลังจากก่อตัวก็คำรามเสียงต่ำใส่สวี่ชิง ตั้งท่าจะพุ่งไป แต่พริบตาต่อมาสายฟ้าสีดำก็แทงทะลุเมฆหมอกบนฟากฟ้าพุ่งตรงไปทางรากษส บนพื้นเองก็มีเงามืดทอดแผ่ ปกคลุมมันเอาไว้
รากษสที่แปลงมาจากซือหม่าหรูหน้าเปลี่ยนสี ฉากหลบเหล็กแหลมสีดำกับเงามืดบนพื้นฉับพลัน แต่กลับหลบสวี่ชิงไม่พ้น
สวี่ชิงกระโจนออกมา ทั้งตัวพลังมหาศาล หลังจากเข้าประชิดก็คว้าคอของรากษสนี้ไว้ กระแทกที่กำแพงที่อยู่ข้างๆ อย่างแรง
กำแพงทลายลงท่ามกลางเสียงสนั่น ขณะที่ร่างของรากษสกำลังสั่นเทิ้มอย่างบ้าคลั่ง เพลิงพิฆาตมหาศาลก็แผ่ออกมาจากมือสวี่ชิง
ดวงตาเขาเผยความโหดเหี้ยมออกมา เริ่มทำการหลอม
ช่องเวทที่เก้าสิบเอ็ดในร่างสวี่ชิง ก็เริ่มมีเค้าลางว่าจะทะลวงได้จากการหลอมครั้งนี้ในพริบตา
รากษสที่แปลงมาจากซือหม่าหรูดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย สวี่ชิงแค่นเสียงและเหวี่ยงอย่างรุนแรง กดมันไว้บนพื้นแล้วบีบ เสียงโพละดังขึ้น ร่างกายรากษสตนนี้ก็ระเบิดแหลกเละ
เมื่อเห็นว่ายังมีปราณหมอกแผ่ออกมา วิหคทองกลางอากาศก็แผดเสียง สูดรับอย่างรุนแรง และปราณหมอกก็พุ่งตรงไปในปากมันทันที กำลังจะกลืนกินจนหมด
แต่ตอนนี้เอง ปราณหมอกเหล่านี้ก็รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่สี่!
เป็นยักษ์ร่างตุ๊ต๊ะสูงนับร้อยจั้งร่างหนึ่ง เหมือนจะใช้น้ำหนักตัวที่น่าตกตะลึงฝืนนั่งลงมาต้านทานกับวิหคทอง
แต่เห็นได้ชัดว่านางยังมีคุณสมบัติไม่พอ ดวงตาวิหคทองเผยประกายเย็นเยียบออกมา กลืนกินอีกครั้ง และสวี่ชิงเองก็ไหววูบก้าวเท้ามา
เขามองรูปลักษณ์ที่สี่ของซือหม่าหรู ในดวงตาเผยประกายประหลาดออกมา
การสูดรับเมื่อครู่ทำให้เขาทะลวงหนึ่งช่องเวทในพริบตา สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงเวลานี้มองซือหม่าหรูราวกับกำลังมองสมบัติล้ำค่า
ดังนั้นหลังจากเข้าประชิดเจ้ายักษ์ตุ๊ต๊ะที่กำลังกระเสือกกระสน สวี่ชิงก็ระเบิดเพลิงพิฆาตทั่วร่าง หลังจากครอบคลุมมันไว้อย่างรวดเร็ว ก็ทำการหลอมอีกครั้ง
ในดวงตายักษ์รูปลักษณ์ที่สี่ของซือหม่าหรูเผยความตกตะลึงพรั่นพรึง ดิ้นรนอย่างรุนแรงแต่ก็สลัดไม่หลุด
เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงกับวิหคทองล้วนกำลังสูดรับ กระทั่งเงามืดบนพื้นเองก็รีบร้อนพุ่งเข้ามา ส่วนเหล็กแหลมสีดำที่ห่างออกไปก็ดูตื่นเต้นตั้งท่าจะเข้าประชิด
ดวงตาซือหม่าหรูเผยความประหลาดใจ จากนั้นจึงระเบิดรูปลักษณ์ที่สี่ของตนเองทิ้งอย่างไม่ลังเล
เสียงดังก้องฟ้า แรงปะทะบ้าคลั่งแผ่ขยายครืนครันทั่วสารทิศ นี่คือการระเบิดตนเองของพลังต่อสู้ระดับไฟชีวิตสี่ดวงครึ่ง ระดับความแข็งแกร่งของมันมหาศาลมาก ก่อคลื่นที่น่ากลัวพัดกวาดออกไป
และใช้การระเบิดตัวเองของรูปลักษณ์ที่สี่ กระดูกท่อนแขนสีดำท่อนหนึ่งก็พุ่งออกไปจากรูปลักษณ์ที่สี่ที่แตกสลาย พุ่งไปด้านนอกกรมปราบพิฆาต!
กระดูกแขนท่อนนี้ คือแหล่งกำเนิดพลังร่างแยกนี้ของซือหม่าหรู ตอนนี้นางรับรู้ถึงความน่ากลัวของสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่คิดจะต่อสู้ต่อ เมื่อปรากฏตัวก็รีบหนีอย่างรวดเร็ว
และนางก็เลือกจังหวะดีมาก พลังระเบิดตนเองที่น่าตกตะลึงเดิมสามารถสกัดกั้นการตามล่าตามทั้งหมดได้ แต่นางก็คำนวณพลังที่แท้จริงของสวี่ชิงพลาดไป
ดังนั้นพริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงก็พุ่งออกมาจากคลื่นระเบิดตัวเองของนางฉับพลัน เข้าประชิดในพริบตาแล้วคว้าเอาไว้
ในจังหวะวิกฤตกระดูกท่อนแขนของซือหม่าหรูก็ระเบิดแสงดำแยงตา มันที่รู้ว่าไม่อาจหลบหนีได้แล้ว ก็หมุนตัว ใช้กระดูกท่อนแขนนี้เคาะฟาดที่ศีรษะสวี่ชิงแรงๆ
ขณะเดียวกัน บทเพลงสิ่งประหลาดก่อนหน้า ก็ดังก้องทั่วสารทิศอีกครั้ง
“กระดูกหนึ่งท่อนฟาดไปเบาๆ ลูกตาสองดวงถลนออกมา
“สามทีเคาะกะโหลกเปิด สี่ลิ้นรีบมาจับไวๆ
“สหายห้าคนมีแรงมาก มือเล็กหกข้างล้วงเข้าไปข้างใน”
พลานุภาพในการทุบตีมากกว่าไฟชีวิตสี่ดวง เห็นว่ากำลังจะฟาดลงมา สวี่ชิงก็หรี่ตาลง ข่มความคิดที่จะสำแดงพลังตะเกียงแห่งชีวิตของตนเอง ล้วงแผ่นหยกออกมาชิ้นหนึ่ง
แผ่นหยกนี้ คือเกราะคุ้มกันปราณก่อกำเนิดที่นายท่านหกมอบให้ในตอนนั้น
แม้วันนั้นในศึกเผ่าดาราสมุทรจะใช้ไปแล้วมหาศาล พลานุภาพลดทอนลงไปมาก ไม่มีทางต้านทานพลังปราณก่อกำเนิดได้อีกแล้ว แต่ก็ยังมีพลานุภาพอยู่ระดับหนึ่ง ทานการโจมตีครั้งนี้ได้เหลือเฟือ
ดังนั้นพริบตาต่อมา เมื่อการโจมตีจากสิ่งประหลาดของซือหม่าหรูซัดลงมาก็กระแทกเข้ากับเกราะคุ้มกันของสวี่ชิง
ราวกับไข่กะเทาะหิน เกราะคุ้มกันสะท้อนพลัง ท่อนแขนนั้นส่งเสียงกร๊อบ ปรากฏรอยแตก
ขณะที่เสียงกรีดร้องดังจากภายในสู่ภายนอก สวี่ชิงยกมือขึ้น คว้ากระดูกแขนนั่นไว้ ระเบิดเพลิงพิฆาตในร่างกายทันที
ทันใดนั้นพลังวิญญาณมหาศาลก็แผ่ออกมาจากกระดูกท่อนนี้ ผสานกับร่างกายสวี่ชิง ก่อเป็นพลังเปิดช่องเวท ทำการปะทะอย่างต่อเนื่อง จนทะลวงช่องเวทเก้าสิบเอ็ดของเขาได้ทันที
วิหคทองก็เข้ามากลืนกินพร้อมกับการสูดรับของสวี่ชิง เจ้าเงาก็โถมเข้ามาเช่นกัน เหล็กแหลมสีดำก็เสียดแทงเข้ามาสูดรับในเวลาเดียวกัน
เสียงร้องแหลมบ้าคลั่งออกมาจากในกระดูกพริบตาต่อมากระดูกชิ้นนี้ก็แตกสลายลงกลายเป็นฝุ่นฟุ้ง ช่องเวทเก้าสิบสองในร่างสวี่ชิงก็เปิดออกอย่างราบรื่นเช่นกัน!
จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง มองฝุ่นจากกระดูกเหล่านั้นที่ฟุ้งออกมา
ฝุ่นเหล่านี้ไม่มีคลื่นพลังใดอยู่แล้ว แต่กลับยังมีจิตวิญญาณอยู่
จิตวิญญาณนี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นร่างซือหม่าหรูในชุดขาวเหมือนตอนแรก เพียงแต่นางในครั้งนี้เกือบจะเป็นกึ่งโปร่งใส อีกทั้งกำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
นางจ้องสวี่ชิงเขม็ง ดวงตาเผยประกายล้ำลึก น่าพรั่นพรึงยิ่ง
“วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของเจ้าไม่ธรรมดาเลย ไม่เหมือนกับที่สำนักบรรยายไว้!
“พวกผู้บำเพ็ญเจ็ดสำนักที่มาที่นี่พวกนั้นถูกเจ้าหลอกกันหมด ไฟชีวิตของเจ้าไม่ใช่สองดวง แต่เป็นสามดวง!
“ช่องเวทของเจ้าก็น่าตกตะลึง ในทุกช่องมีอาณาเขตกว่าห้าร้อยจั้ง!
“พลังต่อสู้ของเจ้าก็ไม่ใช่ไฟชีวิตสี่ดวง แต่เข้าใกล้ไฟชีวิตห้าดวงไปแล้ว!
“หากหลังจากนี้เจ้าจุดไฟชีวิตดวงที่สี่ได้ นอกเสียจากจะไม่มีตะเกียงแห่งชีวิต เจ้าก็คือเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคนที่สอง!!
“เจ้านี่ซ่อนตัวเก่งเสียจริง เจ้าต่างหากที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุคนี้…ของเจ็ดเนตรโลหิต!”
เดิมทีนางคิดว่าการมาครั้งนี้จะสะกดสวี่ชิงได้ รับน้องชายตนเองกลับไป แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเก็บงำไว้มากถึงเพียงนี้!
ทั้งๆ ที่มีพลังต่อสู้ถึงระดับไฟชีวิตห้าดวง การสะกดซือหม่าหลิงในชั่วอึดใจนั้นทำได้แน่นอน แต่กลับจงใจเผยเบาะแส เผยปรากฏการณ์ลวงๆ เหมือนให้สู้ไปสักพักแล้วค่อยสะกด
“หรือว่าเป้าหมายของเจ้าคือข้า จงใจล่อข้าเข้ามาหรือ!” พอคิดถึงจุดนี้ ซือหม่าหรูก็คิดไปถึงฉากที่อีกฝ่ายคว้ามาสูดรับกลืนกินก่อนหน้า ทั้งชีวิตนางไม่เคยเจอความอัปยศเช่นนี้มาก่อน ดวงตาเผยจิตสังหาร
“ข้ารู้การเก็บงำของเจ้าทั้งหมดแล้ว รอร่างจริงข้าออกจากด่านเสียก่อน เข้าจะสะ…”
สวี่ชิงโบกมือตบ จิตวิญญาณที่กำลังจะสลายไปของซือหม่าหรูก็สลายไป และทำให้คำพูดนางขาดห้วงไปด้วย
‘ข้าไม่ใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิต’
มองจุดที่ซือหม่าหรูสลายไป สวี่ชิงก็เอ่ยเสียงต่ำในใจ
ในหัวเขาฉายภาพความน่าเวทนาหลังจากที่หวงอี้คุนขึ้นยอดเขาลำดับเจ็ด
อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ต่อให้เป็นตัวเขาก็ยังรู้สึกว่ายอดเขาลำดับเจ็ดก็เก็บงำเก่งเสียเหลือเกิน
เช่นนายกอง
ตนเองมีการฟื้นฟูจากผลึกวารีสีม่วง แต่ในร่างกายนายกองก็ผนึกตัวตนที่น่ากลัวลึกลับไว้ชัดเจน
แต่เวลานี้เขาไม่รู้ว่าบนยอดเขาลำดับเจ็ด นายท่านเจ็ดกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ก้มหน้าลงมองกรมปราบพิฆาตท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกอย่างสนอกสนใจ
ด้านหลังเขา นายกองย่อตัวนั่งลงอยู่ตรงนั้น ในมือหยิบผิงกั่ว กินไปลูกละคำ
ในมือองค์ชายสามข้างๆ ก็ถือตะกร้าผิงกั่วอยู่ หัวเราะเหอะๆ ส่งผิงกั่วไปให้นายกองทีละลูก
“น้องสาม เจ้าไปล่อลวงสาวๆ จากสำนักเซียนชัยตระการมาได้อย่างไรกัน สอนศิษย์พี่บ้างสิ!”
“ก็ไม่มีอะไรนะ น่าจะเพราะข้ามีเสน่ห์กระมัง” องค์ชายสามใบหน้าแย้มยิ้ม
“บ้าบอ เสน่ห์ของเจ้าจะมากสักเพียงใดก็สู้อาชิงน้อยไม่ได้ ข้าคิดออกแล้ว ตอนนั้นตาแก่ไปแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ครั้งหนึ่ง พอกลับมาไม่ถึงครึ่งปี เจ้าถือป้ายแนะนำสีขาวชิ้นหนึ่งที่มีคนส่งมาจากทะเล เหมือนจะผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ก็อยู่ระดับไฟชีวิตหนึ่งดวง ดวงตามีแต่ความเกลียดชัง เจ้าคงไม่ได้มาจากแผ่นดินต้องประสงค์ใช่หรือไม่ สำนักเซียนชัยตระการครั้งนั้นก็เหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นด้วยนี่….”
นายกองเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม มององค์ชายสาม
องค์ชายสามสีหน้าปกติ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ปิดบังพี่ใหญ่ไม่ได้จริงๆ แต่ว่าศิษย์น้องอย่างข้าก็อยากรู้อยากเห็นเสียจริง ศิษย์พี่ใหญ่…ท่านฝึกบำเพ็ญใหม่มาแล้วกี่ครั้งหรือ”
นายกองกระพริบตาปริบๆ ยิ้มตาหยีตอบกลับ
“เจ้าเดาสิ”
องค์ชายสามยิ้มอบอุ่น ไม่พูดอะไรอีก ล้วงผิงกั่วส่งให้นายกอง นายกองรับและมองไปยังท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก เอ่ยทอดถอนใจ
“อาชิงน้อยคนนี้ก็เก็บงำเก่งเสียจริง ไฟชีวิตสามดวงแล้วเนี่ยนะ!! ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่ยังซ่อนอะไรไว้อีก ถ้าข้าสู้กับเขาเสียรอบหนึ่ง เขาจะตายหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ แต่เจ้าสิ่งที่อยู่ในตัวข้าจะต้องตื่นขึ้นแน่นอน แล้วถ้าถึงวันนั้นจริง อาจารย์ ท่านจะช่วยแต่เขาไม่สนใจข้าไม่ได้นะ ต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ข้าเป็นศิษย์คนโตที่ท่านรักที่สุดเลยนะ”
ส่วนองค์หญิงสอง ไม่ได้สนใจการต่อสู้เลยสักนิด และไม่สนใจศิษย์พี่ศิษย์น้องหรืออาจารย์ เอาแต่หยิบแผ่นหยกส่งสื่อเสียงให้ใครบางคนอยู่ตรงนั้น ใบหน้ายังมีแววเขินอายที่หาได้ยากอยู่อีกด้วย
นายท่านเจ็ดหันหน้าไปมองศิษย์คนที่สองของตนเองผาดหนึ่ง
“เจ้าสาวน้อยคนนี้ คนโง่ก็ยังมีความสุขอย่างคนโง่ล่ะนะ!”
จากนั้นก็มองศิษย์คนโตกับน้องสาม แม้ปกติเขาจะเอาแต่ก่นด่า แต่ในใจก็ยังรู้สึกชื่นชมกับศิษย์ของตนเองอย่างมาก ถึงอย่างไรนี่ก็มาจากการที่เขาไปยังพื้นที่ต่างๆ มากมาย คัดเลือกจากในจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากคัดเลือกหลายต่อหลายครั้งก็ดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมา คอยสังเกต ท้ายสุดก็เลือกราชาหมาป่าในกลุ่มราชาหมาป่าออกมาอีกทีหนึ่ง
ไม่ว่าจะคนใดก็ล้วนก้าวข้ามองค์ชายองค์หญิงจากยอดเขาอื่นไปไกลโข ทำการสะกดได้ตามอำเภอใจ และนี่ก็เป็นมาตรฐานในการรับศิษย์ของเขา อัจฉริยะฟ้าประทานปกติ เขาไม่เห็นในสายตาเลย
โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้เขาชื่นชมก็คือเขารู้สึกว่าศิษย์หลายคนนี้ก็เหมือนจะเรียนรู้จากตนไปไม่น้อยเลย ชอบที่จะเก็บงำเช่นเดียวกับตนเอง
ไม่มีทางเผยไพ่ตายและความลับออกมาทั้งหมดตลอดกาล หลายครั้งที่คนอื่นคิดว่ามองออก แต่อันที่จริงก็แค่จงใจเผยออกมาผิวเผินเท่านั้น
“แล้วก็น้องสี่นั่น เหมือนชอบเก็บงำมาแต่กำเนิด ไม่ต้องสอนเลย ไม่เลว
“อยู่ในโลกาวินาศ อันตรายที่ไม่รู้จัก หนทางภายหน้ายากจะคาดเดา แน่นอนว่าต้องเก็บงำ!”
“อีกทั้ง…อัจฉริยะฟ้าประทานที่พบได้ยากในอดีต เวลานี้กลับกำเนิดออกมาทีละคน ไม่เพียงแค่ในเผ่ามนุษย์เท่านั้น กระทั่งเผ่าอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน นี่เป็นลางบอกเหตุการมาถึงของยุคสมัยใหญ่ ยุคสมัยใหญ่ วาสนาครั้งใหญ่ ล้วนอันตรายทั้งสิ้น”
[1] 罗刹 รากษส อสูรชั้นต่ำนิสัยดุร้าย หากอยู่ในน้ำจะเรียกว่าผีเสื้อน้ำ หากอยู่รักษาเมืองจะเรียกว่าพระเสื้อเมือง