ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 245 กระดานหมากต้องประสงค์
บทที่ 245 กระดานหมากต้องประสงค์
“สวี่ชิง นี่เป็นที่พำนักของวังเต๋ามหาวิวัฒน์ เฉกเช่นดินแดนของสำนักวิวัฒน์แห่งข้า เจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร!” เมื่อชายหนุ่มชุดคลุมเมฆฟ้าสีครามคนนั้นได้ยินลมหายใจก็ยิ่งหอบถี่ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เอ่ยเสียงต่ำ
อันที่จริงการล้างบางนกเขาราตรีเมื่อคืน ดาบสวรรค์ของสวี่ชิงฟาดฟันนกเขาราตรีชุดคลุมดำไฟชีวิตสามดวง หลังจากที่สะกดศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าแย่แล้ว
เพราะคนที่ติดต่อแลกเปลี่ยนกับนกเขาราตรี ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เหมือนจะเหลือแค่เขาคนเดียวแล้ว
ดังนั้นขณะที่เขาตึงเครียด ก็รีบเชิญสหายเต๋าจากหุบเขาประกายวิญญาณกับสำนักสมบัติจำนงฟ้ามาที่นี่ ป้องกันไว้ก่อน
เวลานี้เมื่อเห็นสวี่ชิงมา ซ้ำยังเอ่ยเรียกชื่อของตนเองอีก โจวฉี่ฝานก็อดหดหู่ไม่ได้
สวี่ชิงมองคนที่พูดตรงหน้านี้ ตอนที่เข้ามาเขาอ่านเอกสารของอีกฝ่ายแล้ว คนผู้นี้ปกติจะเก็บเนื้อเก็บตัว นอกจากตอนที่ไปท้าดวลยอดเขาลำดับสี่ก็ออกมาข้างนอกน้อยมาก ดังนั้นภาพบันทึกจึงมีไม่เยอะ
เวลานี้หลังจากเทียบดู สวี่ชิงก็พยักหน้า
“รับสั่งจากสำนัก ให้มาจับกุมโจวฉี่ฝานที่ติดต่อกับคนของนกเขาราตรี” พูดพลาง สวี่ชิงก็ก้าวไปเบื้องหน้า เข้าประชิดในพริบตา ยกมือขวาขึ้นตะปบโจวฉี่ฝาน
ดวงตาโจวฉี่ฝานเปล่งประกายเย็นเยียบ เสียงโครมดังขึ้นนอกกายเสียงหนึ่ง เมฆาสีชาดบนชุดคลุมเขาระเบิดในพริบตา กลายเป็นเส้นสีแดงหลายเส้นเบื้องหน้าเขา ก่อตัวเป็นค่ายกลอย่างรวดเร็ว สะกดสวี่ชิงอย่างแรง ขณะเดียวกันเขาก็ถอยหลังฉับพลัน ส่งเสียงคำรามต่ำ
“ผู้คุ้มกันจาง สหายเต๋าทั้งสอง โปรดช่วยข้าด้วย!”
แทบจะพริบตาที่เขาเปิดปาก มือขวาของสวี่ชิงก็แตะเข้ากับค่ายกลเมฆาสีชาด เสียงสนั่นดังก้องสะท้านฟ้า วิหคทองด้านหลังสวี่ชิงจำแลงกาย ทะยานออกไปฉับพลัน ทันใดนั้นค่ายกลก็พังลงทันที เมฆาสีชาดทั้งหมดก็ถูกวิหคทองกลืนไปทันที
และผู้คุ้มกันด้านหลังโจวฝานก็ลังเลขึ้นมา ถอนใจก้าวออกมา แต่จากการโบกมือของสวี่ชิง ค่ายกลสำนักครอบคลุม ร่างของเขาไม่มีการต่อต้านใด ใช้พลังค่ายกลถอยออกไปจนไกลลิบอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เหมือนคนคุ้มกันสำนักล่าสิ่งประหลาดที่ถูกขับไล่ออกไปอย่างน่าเกลียดเช่นนั้น และเรื่องในวันนี้เขาก็มองออกว่าเจ็ดเนตรโลหิตกำลังจับกุมคน ขวางไปก็ไม่มีประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าตนถูกขับไล่ คนที่จะขายหน้าก็คือตนเอง ถึงโจวฉี่ฝานจะถูกจับก็ไม่มีทางเป็นอันตรายถึงชีวิต คงแค่ถูกสะกดไว้เท่านั้น ตนเองไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงชีวิตอย่างไร้ประโยชน์
ดังนั้นเขาจึงใช้ค่ายกลสำนัก ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
และหลังจากอัจฉริยะฟ้าประทานจากหุบเขาประกายวิญญาณและสำนักสมบัติจำนงฟ้าทั้งสองมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็ถอยหลัง ไม่เข้ามาช่วยเหลือ
พวกเขาไม่มีหน้าที่ต้องไปช่วยเหลือ พันธมิตรเจ็ดสำนักก็เป็นแค่พันธมิตร ไม่ใช่สำนัก
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเองก็ยังมองการที่สวี่ชิงเข้ามาออกว่าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ต่อให้พวกเขาจะลงมือช่วยเหลือก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดต้องผูกพยาบาทกับสวี่ชิงกันเล่า
ถึงอย่างไรพวกเขาที่มาที่นี้ด้วยตนเอง เพราะเห็นแก่หน้าโจวฉี่ฝานเท่านั้น ไม่ได้เป็นมิตรแท้ยามยากอะไรเช่นนั้น แค่พอประมาณก็เพียงพอ
และสวี่ชิงที่อนาคตไร้ขีดจำกัดราวกับดวงตะวันรุ่งอรุณ ยิ่งไปกว่านั้นความขัดแย้งระหว่างสำนักเกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคลและไม่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ถ้าหากมีไมตรีจิตส่วนตัวกับสวี่ชิงคนนี้ได้ แน่นอนว่าคุ้มค่ายิ่งกว่า
ดังนั้นขณะที่ถอยนี้ ทั้งสองจึงประสานหมัดให้สวี่ชิง เพื่อแสดงถึงเส้นแบ่งกับโจวฉี่ฝาน
เห็นเป็นเช่นนี้ โจวฉี่ฝานก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณอยู่แล้ว อันที่จริงที่เขาเรียกสองคนนี้มา ถ้าหากลงมือก็ยอดเยี่ยม แต่ถ้าไม่ลงมือก็ถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายของเขาแล้ว เขาหวังว่าเรื่องที่ตนเองถูกจับ จะมีพยานมากหน่อย
เช่นนี้หลังจากที่ตนเองถูกคุมขัง ก็จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ
และมีคนเห็นมากมายถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าหน้าตาของสำนักต้องป่นปี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธแค้นที่หน้าตาสำนักป่นปี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง จะมีการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งกว่า และเร่งให้ตนเองได้รับอิสรภาพกลับมาเร็วขึ้น
ขณะที่ทุกคนมีความคิดต่างกัน และกำลังพิจารณาเพื่อตนเองอยู่นั้น สวี่ชิงก็ก้าวอีกก้าว เขาก็มาอยู่เบื้องหน้าโจวฉี่ฝานจากการจำแลงของวิหคทอง ขณะที่ในดวงตาโจวฉี่ฝานเต็มไปด้วยความโกรธ สวี่ชิงก็ยกมือขวาขึ้นกำลังจะทำการสะกด
“ข้าจะไปกับเจ้า!” โจวฉี่ฝานเอ่ยขึ้นเสียงดัง
เขารู้สึกว่าปูพื้นฐานไว้พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถูกตบคว่ำ แล้วก็ถูกจับไปเหมือนซากสุนัข นั่นมันน่าขายหน้า แต่เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาจะก้มหน้าก้มตาเดินตามไปก็ไม่ได้
สวี่ชิงเลิกคิ้ว
โจวฉี่ฝานพอเห็นเช่นนี้ ใจก็สั่น แต่ยังคงรักษาสีหน้าท่าทีแข็งกร้าวและโกรธอยู่ อธิบายเป็นคำพูดออกมา
“สวี่ชิง แม้ข้าจะซื้อคนเลี้ยงของวิเศษ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเป็นผู้ใช้ ข้าไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น ข้ามาทำการซื้อแทนคนบางคนในสำนักเท่านั้น
“ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ตอนเช้าก็ดูแลจัดการคนเลี้ยงของวิเศษเหล่านั้นให้ปลอดภัยและให้คนส่งรายชื่อคนเลี้ยงของวิเศษเหล่านี้ไปยังกรมปราบพิฆาตของเจ้าแล้ว เพื่อให้พวกเจ้ารับไปได้สะดวก ถ้าคำนวนเวลา ตอนนี้น่าจะถึงแล้ว”
โจวฉี่ฝานสูดลมหายใจลึก สีหน้าเย่อหยิ่ง เอ่ยอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงประหลาดใจ และตอนนี้เองแผ่นหยกสื่อเสียงบนตัวก็สั่นไหว เขาสัมผัสดู ด้านในมีข้อมูลของกรมปราบพิฆาตปรากฏในสมองเขา
“ท่านเจ้ากรม มีคนใช้นามว่าโจวฉี่ฝานแห่งวังเต๋ามหาวิวัฒน์ ส่งรายชื่อคนเลี้ยงของวิเศษมาชุดหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมีการสดุดีเรื่องที่กรมปราบพิฆาตปราบปรามนกเขาราตรี นอกจากนั้นในการสดุดีนี้ ยังมีหินวิญญาณอีกจำนวนสองล้านรวมไปถึงยาลูกกลอนที่ไม่รู้จักอีกเม็ดหนึ่ง อีกฝ่ายแจ้งว่านี่คือลูกกลอนเปิดช่องเวท”
เห็นสวี่ชิงตรวจสอบแผ่นหยก โจวฉี่ฝานก็ผ่อนใจโล่ง แต่สีหน้ายังคงแสดงความแข็งกร้าวและโกรธเคืองอยู่
สวี่ชิงเงยหน้า มองโจวฉีฝานอย่างพินิจผาดหนึ่ง ค่อยๆ ลดมือขวาลง
“ไปเถอะ” พูดจบ สวี่ชิงก็หันหลังเดินออกไปด้านนอก
โจวฉี่ฝานแค่นเสียงเย็นชา เชิดคางขึ้น เดินติดตามสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว เดินออกจากประตูเรือนพำนักของวังเต๋ามหาวิวัฒน์ท่ามกลางความนิ่งงันของศิษย์รอบๆ แต่ละคน
แข็งกร้าวมาตลอดทางจนถึงคุกใหญ่กรมปราบพิฆาต
จนเขาเห็นห้องขังที่จัดให้ตนเองมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าห้องขังของซือหม่าหลิงที่กำลังหายใจรวยริน เขาก็ถอนใจโล่ง
“ยังดีที่ข้าตอบสนองเร็ว ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ หัวคงจะกุดไปแล้วจริงๆ”
หลังจากนั้น เขาก็มองเห็นศิษย์น้องหวงอี้คุนกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่น่าเวทนายิ่งกว่า ภาพนี้ทำให้เขาตกตะลึง แม้จะเดาไว้ว่าการสาปสูญของหวงอี้คุนเกี่ยวข้องกับสวี่ชิง แต่เมื่อเห็นความน่าเวทนาของอีกฝ่ายด้วยตนเอง เขาก็รู้สึกลึกๆ ว่าการเตรียมตัวครั้งนี้ของตนเองนั้นถูกต้องที่สุด
ขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นว่าตรวนของตนเองมีสิบแปดห่วง แต่ซือหม่าหลิงกับหวงอี้คุนคือยี่สิบห่วง
“ดูท่าสวี่ชิงคนนั้น ก็เป็นพวกมีเหตุผลอยู่นะ”
โจวฉี่ฝานทอดถอนใจ และยิ่งรู้สึกพึงพอใจกับวิธีการของตนเอง ครั้งนี้เพื่อที่จะคลี่คลายสถานการณ์เรื่องนี้ พูดได้ว่าวิธีลับวิธีแจ้งทั้งหมดก็ใช้ไปจนหมดแล้ว จึงนำหน้าตากลับมาได้สำเร็จเช่นนี้
เขาแตกต่างกับซือหม่าหลิง เขาเป็นพวกยอมให้ตนเองก้าวหน้า การให้ความร่วมมือเพื่อตรวจสอบ หน้าตาของเขาไม่เสียหายสักเท่าไร แต่ที่ป่นปี้คือสำนัก ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมเช่นนี้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นซือหม่าหลิงกับหวงอี้คุนได้สติ และใช้สายตาซับซ้อนมองมายังห้องขังที่มีโต๊ะมีเก้าอี้กระทั่งมีเบาะรองนั่งของตน สายตาที่ไม่อาจพรรณนาได้ของพวกเขา ทำให้โจวฉี่ฝานรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
ส่วนโลกภายนอก เรื่องท้าดวลก็เงียบหายไปหมดจากการที่โจวฉี่ฝานถูกจับกุม ไม่มีคนดำเนินการต่ออีก และงานเฉลิมฉลองของเจ็ดเนตรโลหิตก็ดำเนินต่อไป
ส่วนสวี่ชิง หลังจากจัดการนกเขาราตรีไปจนสิ้น เขาก็เตรียมจะออกจากสำนักเสียรอบหนึ่ง
สถานที่ที่เขาจะไป คือแดนต้องห้ามปักษาราชัน
เขาสามารถซื้อสมุนไพรรวมถึงยาพิษในสำนักได้มาพอสมควรแล้ว แต่การหลอมแมลงสีดำ หลังจากดำเนินมาถึงฝูงที่สิบหก ก็เผชิญกับสภาวะคอขวด
เมื่อเป็นเช่นนี้แผนการหลอมลูกกลอนพิษต้องห้ามก็ได้รับผลกระทบ
ไปต่อไม่ได้
หลังจากสวี่ชิงค้นคว้าก็รู้สึกว่าระดับของสมุนไพรพิษไม่เพียงพอ เขาต้องการพิษที่ร้ายกาจและชั่วร้ายกว่านี้ให้แมลงสีดำสูดรับ ทะลวงสภาวะคอขวดนี้เสีย
ของอย่างสมุนไพรพิษยาพิษ สวี่ชิงรู้สึกว่าจุดที่เหมาะสมที่สุดรอบๆ นี้คือแดนต้องห้ามปักษาราชัน
และนายกองยังบอกว่ามีซากปรักหักพังที่สืบทอดดาบสะบั้นไพศาลอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน สวี่ชิงจึงตัดสินใจว่าครั้งนี้จะไปดูเสียหน่อย
หลังจากตัดสินใจเช่นนี้ หลายวันต่อมา สวี่ชิงก็เริ่มซื้อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแดนต้องห้ามปักษาราชัน
ตำแหน่งของแดนต้องห้ามอยู่ใกล้ๆ สำนัก และยังเป็นพื้นที่ฝึกต่อสู้ของยอดเขาลำดับหนึ่งอีกด้วย ดังนั้นขั้วอำนาจที่เข้าใจแดนต้องห้ามปักษาราชันที่สุดทั่วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ก็คือยอดเขาลำดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิต
เอกสารและข้อมูลแน่นอนว่าต้องมีอยู่ไม่น้อย
แต่สวี่ชิงไม่เชื่อคนของยอดเขาลำดับหนึ่ง ดังนั้นจึงยอมจ่ายราคามากกว่าเพื่อซื้อเป็นของตนเองมาเทียบ ขณะเดียวกันก็ล้วงเอกสารออกมาอ่าน รวมถึงไปสืบหาที่กรมข่าวกรองอีกด้วย
ท้ายสุดบนข้อมูลนับร้อยชุด เขาก็สรุปข้อมูลที่ครบถ้วนได้ชุดหนึ่ง
ในนี้รวมถึงสถานที่ที่มีพิษที่เขาเลือกไว้อีกหลายแห่ง รวมไปถึงจุดที่อยู่ของสิ่งประหลาดที่จะมอบพิษให้กับเขาได้บางแห่ง
สวี่ชิงหลังจากที่เปรียบเทียบรายละเอียดบางอย่างในนี้หลายครั้ง ก็เข้าใจได้ละเอียดยิ่งขึ้น
ดังนั้นเขาก็เริ่มเตรียมสิ่งของเพื่อจะไปยังแดนต้องห้ามปักษาราชันรวมถึงพื้นที่เหล่านี้โดยเฉพาะ และแอบซื้อสิ่งของ ขณะเดียวกันก็สั่งการให้เอาเลือดจากพวกนกเขาราตรีที่คุมขังไว้คนละหยด
นกเขาราตรีถูกคุมขังไว้หลายพันคน เลือดของคนเหล่านี้บรรจุไว้ในขวดสิบเอ็ดใบ เมื่อสวี่ชิงตรวจสอบเสร็จ ก็เก็บเข้าไปในถุงเก็บของ
เลือดเหล่านี้ ตอนที่เขาเข้าตรวจสอบสถานที่สิ่งประหลาดของแดนต้องห้ามปักษาราชัน สามารถใช้เป็นเงินเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของได้
และระหว่างที่สวี่ชิงจัดเตรียมของ ต่างสำนักก็ยังคงมีการมาเยี่ยมเยือนอย่างต่อเนื่อง
ทุกวันมีขั้วอำนาจสำนักที่แตกต่างกันเข้ามา ขณะที่เจ็ดเนตรโลหิตยิ่งคึกคัก ก็มีขั้วอำนาจใหญ่ที่ทำให้ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตต้องวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งมา
แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ หนึ่งในหกขั้วอำนาจใหญ่มณฑลรับเสด็จราชัน…สำนักเต๋านอกวิถี!
ลัทธินอกวิถีของปักษาสวรรค์ทักษิณ อันที่จริงก็คือสายย่อยของสำนักเต๋านอกวิถีแห่งมณฑลรับเสด็จราชัน ดังนั้นการมาเยือนของคนจากเต๋านอกวิถี จึงทำให้ลัทธินอกวิถีในปักษาสวรรค์ทักษิณสนใจอย่างมาก
สำนักเต๋านอกวิถีมากันห้าคน
สวี่ชิงไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่เขารู้จากเอกสารทางการ ห้าคนนี้ล้วนเป็นบุตรแห่งศาสดาของสำนักเต๋านอกวิถี เทียบเท่ากับลำดับองค์ชายองค์หญิง
และตอนที่ตรวจสอบภาพบันทึกบุตรแห่งศาสดาทั้งห้าของสำนักเต๋านอกวิถีจากในเอกสารทางการ จู่ๆ สวี่ชิงที่ถือเอกสารอยู่ในมือก็ชะงัก
ใบหน้าเขาค่อยๆ เผยความประหลาดใจ และค่อยๆ กลายเป็นความทรงจำ
“พี่ชายของนางหรือ”
ในกลุ่มบุตรแห่งศาสดาทั้งห้าของสำนักเต๋านอกวิถี มีคนหนึ่งสวี่ชิงเคยพบในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด
พี่ชายของเด็กสาวที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าคนนั้นนั่นเอง
“ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง”
หัวของสวี่ชิงมีเด็กสาวที่ใบหน้าเล็กสกปรกมอมแมมคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะแล้วยิ้มให้กับตนเองฉายขึ้นมา ตอนที่เกล็ดหิมะร่วงโรย นางหยิบลูกกวาดเม็ดหนึ่งยื่นส่งมาให้กับเขา
“พี่เด็กน้อย ทุกครั้งที่ข้าไม่มีความสุข แม่ของข้าก็จะเอาลูกกวาดให้ข้ากิน ข้ากินไปกินมาก็ร่าเริงแล้ว
“นี่เป็นลูกกวาดเม็ดสุดท้ายของข้า ข้าให้ท่าน
“พี่เด็กน้อย ต้องร่าเริงเข้าไว้นะ!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ไม่เข้าไปถามไถ่ เขาคิดถึงประโยคนั้นของปรมาจารย์ไป่
“ขอแค่ยังไม่ตาย สุดท้ายก็จะพานพบกัน”
หลายวันผ่านไป ตอนที่เตรียมตัวเข้าสู่แดนต้องห้ามปักษาราชันเสร็จสรรพ ในช่วงดึกของวันนี้ สวี่ชิงก็ออกจากท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ใช้เส้นทางผ่านยอดเขาลำดับหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังแดนต้องห้ามปักษาราชันยามค่ำคืน!
ขณะที่สวี่ชิงออกไป ในหอสูงยอดเขาลำดับเจ็ดเจ็ดเนตรโลหิต ระหว่างที่แสงจันทร์สาดส่อง ชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นในชุดคลุมสีดำ ในดวงตามีลำแสงพาดผ่านเป็นประกายเลือนลาง กำลังนั่งอยู่อีกด้านของกระดานหมากกับนายท่านเจ็ด กำลังวางหมาก
ชายชราคนนี้ก็คือเสี่ยเลี่ยนจื่อบรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิต ลำแสงในดวงตาคือสิ่งที่ขอบเขตระดับใหญ่สำแดงออกมา สิ่งนี้คือขั้นแรกของระดับหวนสู่อนัตตา มีชื่อว่าพันสายทลายฟ้า
ลำแสงในดวงตานี้ ทุกเส้นล้วนเป็นมหามรรคาสายหนึ่ง
ในหอสูงนอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ข้างๆ ยังมีหญิงสาวกลางคนอีกคน หญิงสาวคนนี้สวมชุดชาววัง ดูแล้วสูงส่งไม่ธรรมดา เวลานี้สีหน้าไร้อารมณ์ กำลังรินน้ำชาให้กับคนทั้งสอง
ถ้าหากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ เพียงมองแวบเดียวก็คงจำหญิงสาวกลางคนคนนี้ได้ น้าของติงเสวี่ยนั่นเอง
ตอนนี้บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อยกถ้วยชาขึ้นจิบ จ้องมองนายท่านเจ็ดที่กำลังครุ่นคิดว่าจะลงหมากต่อไปอย่างไร ยิ้มขึ้นมา
“เจ้าเจ็ด เจ้าว่าถ้ากระดานหมากนี้คือพันธมิตรเจ็ดสำนัก พวกเขาจะเดินต่อไปอย่างไร ถึงอย่างไรเจ็ดสำนักนี้ก็ก่อสงครามใหญ่โตจนรู้กันไปทั่ว ตั้งท่าจะเข้ามาสำเร็จโทษเจ็ดเนตรโลหิตอย่างห้าวหาญ ทำเช่นนี้ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ที่ใดกัน” เสี่ยเลี่ยนจื่อเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบ
“ข้ารู้ว่าบรรพจารย์กำลังทดสอบข้า แต่ข้าน้อยโง่เขลานัก ข้าไม่ทราบหรอก” นายท่านเจ็ดจงใจทำเป็นไม่รู้
“เจ้านี่นะ ยังชอบเก็บงำเหมือนเคย” เสี่ยเลี่ยนจื่อยิ้มส่ายหัว
นายท่านเจ็ดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน เหมือนครุ่นคิดว่าคิดออกแล้วว่าจะเดินหมากต่อไปอย่างไร จึงหยิบตัวหมากแล้ววางลงในกระดาน
“กระดานนี้ถ้าวางด้านล่าง ต่อให้จะกินหมากไปเจ็ดตัว แต่ก็ไม่มีความหมายใดนัก แต่ถ้าหากวางไว้ด้านบน แค่กินหมากตัวนี้เสีย พื้นที่นี้ของข้าก็จะได้ประโยชน์สูงสุดไม่ใช่หรือ เช่นเดียวกับพันธมิตรเจ็ดสำนักที่ยิ่งใหญ่อยู่แดนใต้ พลังดุจสายรุ้ง แต่อันที่จริงเป้าหมายของเขาคือด้านเหนือแน่
“ด้านเหนือมีแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ พันธมิตรเจ็ดสำนักก็จ้องตาเป็นมันมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักเซียนล้ำบารมีคอยขัดขวางการพัฒนาของเจ็ดสำนักไว้ สกัดกั้นทุกวิถีทาง เจ็ดสำนักคงไม่ใช่ดังเช่นปัจจุบันนี้แน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้ก็ใกล้จะได้ผลลัพธ์แล้ว”
“และการทำให้สำนักเซียนล้ำบารมีต้องลำบาก ก็สะดวกกับงานของเราเช่นกัน” นายท่านเจ็ดเอ่ยขึ้นเสียงเบา