ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 264 เจ้าไม่หนีหาย ข้าจะไม่ทอดทิ้ง
บทที่ 264 เจ้าไม่หนีหาย ข้าจะไม่ทอดทิ้ง
ด้านนอกเจ็ดเนตรโลหิต จิตสังหารโถมฟ้า คนกลุ่มหนึ่งอยู่ในท่าทีมาดร้าย
ด้านในเจ็ดเนตรโลหิตยังคงเคร่งขรึม เจ้ายอดเขาแต่ละคนบนท้องฟ้าล้วนสีหน้าสงบนิ่ง
สวี่ชิงได้ยินเสียงโทสะพุ่งขึ้นฟ้าด้านนอกค่ายกลดังมาจากทางด้านหลัง เขาไม่หันหน้ากลับไป ยังคงก้มหน้า ชูจอกชาในมือขึ้นสูง
นายท่านเจ็ดที่นั่งอยู่ด้านบนไม่หันไปมองโลกภายนอกเช่นกัน เหมือนว่าทั้งหมดด้านนอกไม่มีความหมายใด สิ่งเดียวที่สนใจคือศิษย์ที่ทำพิธีการฝากตัวเป็นศิษย์ไปแล้วกว่าครึ่งคนนี้
เขายกมือขึ้น โบกมือผ่านอากาศ ทันใดนั้นจอกชาที่สวี่ชิงยกสูงก็ลอยออกตรงมาทางเขา จนมาอยู่ในมือของนายท่านเจ็ด ไม่ได้นำมาดื่ม แต่วางไว้บนโต๊ะข้างๆ
ชาจอกนี้ มีชื่อว่าชาเพ่งพินิจ ห้ามดื่ม
ตอนนี้องค์หญิงสองและองค์ชายสามที่อยู่ข้างๆ แม้สีหน้าจะเคร่งขรึม แต่องค์ชายสามก็ยังแอบขยิบตาให้สวี่ชิงเป็นการทักทาย ในดวงตามีแววหยอกเย้า
“ชาผ่านพิธี!”
เสียงของนายกองดังก้อง ส่งชาจอกที่สองให้ สวี่ชิงเดินขึ้นหน้าสามก้าว ขณะที่ชูจอกชาขึ้น ด้านนอกประตูสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีเสียงสะเทือนฟ้าครืนครัน
และเห็นผู้บำเพ็ญสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่ระดมกำลังเข้ามาโจมตีอยู่ไกลๆ ตอนนี้หลังจากเข้าประชิดเจ็ดเนตรโลหิต ก็ไม่หยุดยั้งแต่อย่างใด ปราณกระบี่หลายสายกระทั่งการระเบิดที่รุนแรงยิ่งกว่ากลายเป็นแสงเจิดจ้าแยงตา ซัดเข้ามายังเจ็ดเนตรโลหิต
ค่ายกลคุ้มกันเจ็ดเนตรโลหิตเปิดขึ้นฉับพลัน สกัดปราณกระบี่นับพันหมื่นจนฟ้าสะเทือนดินสะท้าน กึกก้องคำราม เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งเจ็ดเขา
และค่ายกลของเจ็ดเนตรโลหิตก็แตกต่างกับก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด การสำแดงออกมาเวลานี้ราวกับลบล้างสิทธิ์พันธมิตรเจ็ดสำนักไปแล้วอย่างสมบูรณ์ มองสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าเป็นศัตรูภายนอกเรียบร้อย
เสียงดังกึกก้องไปทั่วฟ้า แต่เจ้ายอดเขาทั้งหลายที่อยู่บนท้องนภาของเจ็ดเนตรโลหิตก็ยังคงไม่ใส่ใจ สีหน้าของพวกเขาก็ทำให้ศิษย์จากยอดเขาต่างๆ สงบลง ชมพิธียอดเขาลำดับเจ็ดร่วมกับพวกเขาต่อไป
แสงสีม่วงของยอดเขาลำดับเจ็ดในตำหนักใหญ่ นายท่านเจ็ดไม่มองโลกภายนอก โบกมือหยิบชาจอกที่สองที่สวี่ชิงชูขึ้นมา
ชาจอกที่สองมีชื่อว่าชาผ่านพิธี จิบหนึ่งครั้งแสดงถึงอาจารย์ยอมรับในตัวศิษย์ เวลานี้นายท่านเจ็ดยกขึ้นจิบที่อึกหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะ
“ชาศรัทธา!” เสียงนายกองดังออกมา ยื่นชาจอกที่สามให้สวี่ชิง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เดินไปอีกสามก้าว ครั้งนี้มาอยู่เบื้องหน้านายท่านเจ็ด คุกเข่าลงชูจอกชาขึ้น
เสียงครืนครันภายนอกยิ่งรุนแรงขึ้น จนมีเสียงหนึ่งดังสนั่นราวอัสนีสวรรค์กว่าก่อนหน้านนี้ ระเบิดครืนครัน
นั่นคือปราณกระบี่สีเลือดยาวถึงหมื่นจั้ง หนึ่งกระบี่ฟาดลงมาบนเกราะคุ้มกันเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ค่ายกลทานรับต่อไม่ไหวในพริบตานี้ แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ ปราณกระบี่หมื่นจั้งนี้กลายเป็นผู้อาวุโสชุดทองคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสคนนี้ก้าวมา ปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าเจ็ดเนตรโลหิตในพลัน แสงกระบี่หลายสายด้านหลังพุ่งหวีดหวิวไปด้านหลังเขา กลายเป็นศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าอีกหลายคน
ทุกคน จิตสังหารคุกรุ่น
ทุกคนท่าทีมาดร้าย
“เสี่ยเลี่ยนจื่อ เจ้า…” กระบี่ที่ฟาดค่ายกลก็คือบรรพจารย์หลิงอวิ๋น ในดวงตาเขามีลำแสงพาดผ่าน พลังบำเพ็ญสั่นฟ้าสะเทือนดิน หลังจากมาถึง เพิ่งจะเอ่ยปาก แต่พริบตาต่อมาเขาก็ใช้จิตวิญญาณกวาดไปบนยอดเขาลำดับเจ็ด มองเห็นสวี่ชิงที่คุกเข่าชูจอกชา และมองเห็นนายท่านเจ็ดที่กำลังรับถ้วยชาจากสวี่ชิงอยู่
เขามีชีวิตมาเนิ่นนาน และยังเป็นถึงบรรพจารย์สำนัก จะไม่รู้ถึงความหมายของฉากนี้ได้อย่างไร
“รับศิษย์หรือ” จิตสังหารในดวงตาบรรพจารย์หลิงอวิ๋นแรงกล้า แผ่ไอเย็นเยียบออกมาทั่วร่าง ทุกสิ่งที่ดวงตาจับจ้อง ราวกับมองวิญญาณคนตาย
“คนที่ทำร้ายหลานชายข้า แย่งชิงตะเกียงแห่งชีวิตสำนักข้าไป กลับกำลังฝากตัวเป็นศิษย์หรือ เสี่ยเลี่ยนจื่อ ข้าประหลาดใจเสียจริง เจ้าไปเอาความกล้ามาจากแห่งหนใด ถึงได้กล้าทำเช่นนี้!”
“หลิงอวิ๋น มีเรื่องอะไรรอให้ลูกเขยข้าคนนั้นรับศิษย์เสร็จเสียก่อนค่อยว่ากัน” เสี่ยเลี่ยนจื่อยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบ เจ้ายอดเขาทั้งหกในม่านหมอกก็สีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด
ภาพนี้ทำเอาหลิงอวิ๋นม่านตาหดเล็กลง ในใจดำดิ่ง วันนี้เจ็ดเนตรโลหิต ทำให้เขารูสึกแตกต่างจากสิ่งที่เขารู้ก่อนหน้านี้มาก!
ต่อให้แรงกดดันจากภายนอกตำหนักใหญ่แสงสีม่วงยอดเขาลำดับเจ็ดจะรุนแรงสะเทือนฟ้า แต่นายท่านเจ็ดยังคงไม่หันไปมอง หลังจากยกจอกชาของสวี่ชิง เขาก็ก้มหน้ามองสวี่ชิง ค่อยๆ เอ่ยต่อหน้าธารกำนัลเจ็ดเนตรโลหิตที่มาชมพิธี ท่ามกลางจิตสังหารที่แผ่ซ่านไปทั้งใต้หล้าของโลกภายนอก
“เด็กน้อย พิธีการก็ส่วนพิธีการ ข้าแค่จะถามใจเจ้า เจ้าจะยอมฝากตัวเป็นศิษย์ข้าด้วยใจจริงหรือไม่”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองดวงตาของนายท่านเจ็ด เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา
“ท่านอาจารย์”
นายท่านเจ็ดพอได้ยินก็หัวเราะ
“ดีมาก ศิษย์ของข้า ถ้าเจ้าไม่หนีหาย ข้าก็จะไม่ทอดทิ้ง!” เขาพูดพลางชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือขวาแตะที่น้ำชา ดีดเบาๆ ไปที่สวี่ชิง พิธีฝากตัวเป็นศิษย์ก็เสร็จสิ้นจากการพรมน้ำชา!
เสียงระฆังดังก้องในเจ็ดเนตรโลหิต ครั้งนี้ไม่ใช่ยอดเขาลำดับเจ็ดเพียงยอดเขาเดียว แต่ดังก้องกังวานมาจากทั้งเจ็ดยอดเขาพร้อมกัน สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
“วันนี้รับศิษย์คนที่สี่แล้ว ถือเป็นเรื่องมงคล พวกเจ้าตามข้าออกไปดูข้างนอกด้วยกันหน่อย ทำไมถึงเอะอะมะเทิ่ง แล้วกล้าเอ่ยให้ข้าส่งศิษย์ออกไป”
นายท่านเจ็ดพูดออกไป บรรพจารย์หลิงอวิ๋นบนท้องฟ้าโลกภายนอกก็หัวร่ออย่างโกรธา ข้างกายเขามีผู้บำเพ็ญกลางคนที่หน้าตาคล้ายกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมาก เวลานี้สีหน้าปั้นยาก ก้าวเท้าออกมาและกลายเป็นกระบี่เลือดอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปยังตำหนักใหญ่แสงสีม่วงยอดเขาลำดับเจ็ด คลื่นพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดวูบหนึ่งปะทุจากร่างของเขาต่อเนื่อง ขณะที่สะเทือนไปทั้งแปดทิศ ความแข็งแกร่งของคลื่นพลังก็สูงกว่าปราณก่อกำเนิดปกติ ราวกับเข้าใกล้จุดสูงสุดของระดับปราณก่อนกำเนิดไปแล้วเรียบร้อย
เขาที่แปลงกายกระบี่เลือดก็มาถึงยอดเขาลำดับเจ็ดในพริบตา มาถึงเบื้องหน้าตำหนักใหญ่แสงสีม่วง ตอนที่เพิ่งจะพุ่งไปถึง นายท่านเจ็ดก็ลุกขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ ก้าวออกมาสู่โลกภายนอก เพียงโบกมือส่งๆ อย่างไม่ใส่ใจใส่กระบี่เลือดที่พุ่งเข้ามาสังหาร
พริบตาต่อมา กระบี่เลือดที่เข้าใกล้นายท่านเจ็ดนั้นก็สั่นสะท้านอย่างแรงก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเสียงกรีดร้องแหลมออกมาจากด้านใน
เห็นได้ว่าปราณก่อกำเนิดกลางคนที่กลายเป็นกระบี่เลือดคนนั้นร่างลอยม้วนออกไปราวกับว่าวสายป่านขาด ร่างกายกว่าเก้าส่วนก็ปริแตกอย่างควบคุมไม่ได้ เจ็บหนักเจียนตาย
ปริแตกเช่นนี้มิอาจหวนคืน แทบจะพริบตาที่เขากรีดร้อง เลือดเนื้อของเขาก็แหลกเละกลายเป็นหมอกเลือดหลายกองกลางอากาศ
มีเพียงปราณก่อกำเนิดของเขาที่เหาะเหินออกมาด้วยอาการลนลานพรั่นพรึง จ้องมองคนที่เดินออกมาจากตำหนักใหญ่แสงสีม่วง ด้านหลังมีพวกของสวี่ชิงทั้งสี่คนติดตามมา…นายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดเพียงโบกมือร่างกายผู้บำเพ็ญสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็แหลเละจนเหลือแค่ปราณก่อกำเนิดคนนี้ ตำแหน่งสูงมากในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า เป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
เขาก็คือลูกชายคนเดียวของบรรพจารย์หลิงอวิ๋น บิดาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงพุ่งมาสังหารอย่างโกรธแค้น
แต่ตอนนี้เขากรีดร้องอย่างน่าเวทนา กระทั่งปราณก่อกำเนิดเองก็ยังหม่นลง เลือนลางราวกับจะดับสูญ
ใจสั่นสะท้านจนไม่อาจพรรณนาได้ เขารู้พลังของตนเองดี แต่อีกฝ่ายแค่โบกมือก็พังกายเนื้อของตนเองได้ พลังบำเพ็ญเช่นนี้…ทำเขาใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเขารู้สึกบางอย่างอย่างแรงกล้าว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะสังหารคน มิเช่นนั้นปราณก่อกำเนิดของตนเองไม่มีทางหนีออกมาได้แน่
“เจ้าไม่ใช่ระดับปราณก่อกำเนิด เจ้าคือระดับซ่อนวิญญาณ” บิดาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องร้องออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ เวลานี้ศิษย์ของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็พากันจิตวิญญาณสั่นคลอน หน้าเปลี่ยนสีจากการที่เขาถอยมา
มีเพียงบรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มองนายท่านเจ็ดอย่างพิจารณา
“เก็บงำไว้มิดชิดถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้าเมื่อครู่ก็ยังมองไม่ออก พลังบำเพ็ญของเจ้าไม่ใช่ซ่อนวิญญาณธรรมดาเสียด้วย น่าจะเปิดสมบัติลับไปแล้วถึงสามชิ้น
“แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอหรอกนะ เสี่ยเลี่ยนจื่อ เจ้ายังมีวิธีการอะไรอีก งัดออกมาได้เลย”
นายท่านเจ็ดยิ้ม ไม่พูดจา หลังจากเดินออกมายืนที่ด้านนอกตำหนักใหญ่แสงสีม่วง ก็มองเสี่ยเลี่ยนจื่อบนท้องฟ้า
เสี่ยเลี่ยนจื่อก็มองนายท่านเจ็ด ดวงตาเผยแววชื่นชม จากนั้นก็มองบรรพจารย์หลิงอวิ๋น ดวงตามีประกายโหดเหี้ยม
“สู้กันสักตั้งแล้วค่อยว่ากัน!”
ขณะที่พูด เสี่ยเลี่ยนจื่อก็โยกไหว แสงไหลในดวงตาปะทุขึ้นกลายเป็นเส้นสีเลือดหลายสาย พุ่งเข้าหาบรรพจารย์หลิงอวิ๋น
บรรพจารย์หลิงอวิ๋นแค่นเสียงเย็น เมื่อโบกมือปราณกระบี่รอบๆ ก็ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งมาประหัตประหารกับเสี่ยเลี่ยนจื่อในพริบตาทั้งที่สองคนต่อสู้กัน ลมเมฆเปลี่ยนสี ท้องฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างพวกเขาทะยานสู่ท้องนภา เสียงครืนครันดังสนั่นดุจอัสนีสวรรค์แผ่ลามออกไปทุกทิศทางอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กิ้งก่านภาบรรพกาลที่อยู่ในเมฆหมอก ก็คำรามเสียงทุ้มใส่ศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า เจ้ายอดเขาทั้งหกของเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ในนั้นก็แผ่พลังบำเพ็ญออกมาเช่นกัน จนทำให้ฟ้าดินสั่นไหว พลังอำนาจน่าตกตะลึง
เมื่อรวมกับนายท่านเจ็ดที่ยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาลำดับเจ็ด ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่ยกทัพเข้ามาปราบปรามอย่างมาดร้าย จะถอยก็ลำบากจะรุกก็ยากเข็ญ
ปราณก่อกำเนิดหลายคนในนั้นหนังศีรษะชากันหมด มองนายท่านเจ็ดอย่างพรั่นพรึง
ความห่างชั้นระหว่างปราณก่อกำเนิดกับซ่อนวิญญาณ เป็นเช่นเดียวกับตวามต่างชั้นระหว่างไฟชีวิตหนึ่งดวงกับไฟชีวิตหกดวง ถ้าหากนายท่านเจ็ดต้องการ เขาสามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้โดยไม่ละเว้นไว้แม้แต่คนเดียวในพริบตา
ความห่างชั้นเช่นนี้ ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าพากันตึงเครียด และสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็มีระดับซ่อนวิญญาณด้วยเช่นกัน แต่นั่นคือเจ้าสำนักของพวกเขา หลังจากบรรพจารย์ออกเดินทาง เจ้าสำนักก็ต้องคอยอยู่คุ้มกันสำนัก
และไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้เพียงแค่มีบรรพจารย์ระดับหวนสู่อนัตตา และต่ำกว่าหวนสู่อนัตตาก็ยังมีระดับซ่อนวิญญาณที่สูงกว่าปราณก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งด้วย!
ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่สั่นสะท้าน กระทั่งศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตเองก็ต่างตกตะลึง แต่พอคิดถึงตำนานในยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ก็ไม่ได้แปลกเท่าไรนัก
บรรดาเจ้ายอดเขาของเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ในเมฆหมอกก็รู้อยู่แล้วอย่างชัดเจน ไม่มีท่าทีเกินคาดเลยแม้แต่น้อย ส่วนศิษย์รอบๆ แท่นบูชาเต๋ายอดเขาลำดับเจ็ดรวมถึงพวกสวี่ชิงก็มองหน้ากันไปมา
“ข้าสงสัยว่าตาแก่น่าจะยังซ่อนอะไรไว้อีก” ศิษย์พี่สามเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“น้องสาม มั่นใจหน่อย มันต้องเป็นอย่างนั้นนั่นล่ะ” นายกองยิ้ม
สวี่ชิงมองนายกองกับศิษย์พี่สามผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร ส่วนเรื่องศิษย์พี่หญิงข้างๆ เวลานี้กำลังหยิบตราหยก ส่งสื่อเสียงออกไปไม่หยุด ราวกับไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องทั้งหมดภายนอกเลย
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าบอกแล้วอย่างไร ตอนแรกที่ข้าเห็นเจ้าก็รู้สึกมีวาสนากับเจ้า พอกลับไปดูดวงชะตา เจ้าก็คือศิษย์น้องของข้า” ศิษย์พี่สามหันหน้ามายิ้ม หันไปมองสวี่ชิง
“แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจัดการเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ต้องรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้ที่พันธมิตรเจ็ดสำนักมาท้าทาย พวกองค์ชายยอดเขาอื่นหลายคนอาจจะไปโอ้อวดอยู่บ้าง แต่ยอดเขาลำดับหนึ่งคือทุ่มสุดกำลังเลยทีเดียว”