ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 269 ราวกับวัฏจักร
บทที่ 269 ราวกับวัฏจักร
มองสภาพนายกอง สวี่ชิงถอนหายใจออกมา
“ทำไมเจ้ากินเยอะถึงเพียงนี้”
“หากข้าไม่กินมากถึงเพียงนี้ มีหวังเจ้าได้สูดรับไปหมดน่ะสิ เจ้ามันสูดรับได้ทั้งตัวเลยนี่!” นายกองแอบคิดว่าไม่ใช่ว่ามาแอบกินคนเดียวหรือไง ตนเป็นคนตัวการสำคัญแท้ๆ จะแอบกินคนเดียวมันก็เรื่องปกตินี่ แต่ทำไมเจ้าสวี่ชิงถึงร้ายได้ขนาดนี้ ดันมารู้ทันอีก
“เจ้าคิดจะกินคนเดียวใช่หรือไม่” นายกองได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว มองสวี่ชิงอย่างหวาดหวั่น
สวี่ชิงมองตาของนายกอง ส่ายศีรษะอย่างจริงจัง
ขณะที่นายกองสงสัย สวี่ชิงก็เข้ามาประคองตัวเขา
“ต้องโทษทฤษฎีชุบเลี้ยงหมาป่าของตาแก่เลย เจ้าว่ามีเรื่องที่อาจารย์ไม่มอบทรัพยากรให้ศิษย์เช่นนี้ที่ใดบ้าง เจ้าดูพวกยอดเขาอื่นสิ ศิษย์อยากได้อะไรอาจารย์ก็ให้อย่างนั้น ส่วนพวกเราทางนี้…” นายกองถอนหายใจ
สวี่ชิงไม่พูด เขาเข้าใจรูปแบบของนายท่านเจ็ด ให้วิชาแก่ศิษย์ได้ ให้สมบัติรักษาชีวิตได้ ปกป้องได้ แต่กลับไม่ยอมให้มีผู้คุ้มครองติดตามรวมถึงทรัพยากร
ทั้งหมดต้องพึ่งพาตัวเองไขว้คว้ามา มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถกลายเป็นราชันหมาป่า ไม่เช่นนั้นก็จะเลี้ยงจนกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านไป จุดนี้เห็นได้จากตัวนายกองและศิษย์พี่สาม พวกเขาใช้ทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ทรัพยากรฝึกบำเพ็ญมา
“แล้วก็เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องนั่น ครั้งหน้าถ้าเจ้าเจอพวกสมบัติเดินได้แบบนี้แล้วจะจัดการอีกล่ะก็ เรียกข้าด้วยสิ พวกเราจะได้รวยไปด้วยกัน” นายกองจ้องสวี่ชิงตาปริบๆ
สวี่ชิงรีบพยักหน้า ประคองนายกองออกจากหุบเขา กลับไปยังเรือกลยักษ์
ไม่นานนัก เรือกลยักษ์ก็ส่งเสียงครืนครัน ครั้งนี้ไม่ใช่การส่งข้าม แต่เป็นการเดินเรือตรงไปยังแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ระหว่างทางก่อนที่ฟ้าจะสาง นายกองน่าจะกินมากเกินไป การย่อยมีปัญหาจนชักกระตุก นายท่านเจ็ดก็ทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จัดการตบเขาจนสลบแล้วส่งตัวไปพักผ่อน จากนั้นก็เรียกสวี่ชิงให้มาดูตะวันขึ้นด้วยกัน
ศิษย์พี่สามก็ไปอยู่กับพวกศิษย์หญิงยอดเขาลำดับสอง ไม่เคยกลับมาเลย ดังนั้นบนเรือของยอดเขาลำดับเจ็ด นอกจากศิษย์ทั่วไปแล้ว ก็เหลือแค่สวี่ชิงกับนายท่านเจ็ดเท่านั้น
ตอนนี้ลมทะเลพัดความชื้นเข้ามา โหมฟองน้ำสีดำกระเซ็นใส่นายท่านเจ็ดที่หัวเรือ และถูกพลังไร้ลักษณ์วูบหนึ่งจนสลายหายไป
สวี่ชิงยืนอยู่ข้างกายนายท่านเจ็ด มองท้องฟ้าดำมืดที่ห่างออกไปเช่นเดียวกัน
“เจ้าสี่ เจ้ารู้เรื่องแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์บ้างหรือไม่” นายท่านเจ็ดเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เข้าใจไม่เยอะมากขอรับ” สวี่ชิงส่ายศีรษะ อยู่ต่อหน้านายท่านเจ็ด เขาก็ยังต้องสงวนท่าทีไว้อยู่
“แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มณฑลรับเสด็จราชันเป็นเพียงแค่มุมมุมหนึ่งเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเพียงมุมเดียว ขนาดก็ยังเท่ากับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณสิบแห่งรวมกัน”
นายท่านเจ็ดเอ่ยราบเรียบ เล่าเรื่องมณฑลรับเสด็จราชันให้สวี่ชิงฟัง
“ทั้งมณฑลรับเสด็จราชันเป็นเหมือนกับคาบสมุทร ทะเลล้อมทั้งสามด้าน ด้านในมีภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยที่ทอดยาวเหนือจรดใต้ มีแม้น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพพาดผ่านจากฝั่งตะวันออกและตะวันตกตัดสลับกัน ภูเขามีลักษณะเป็นเทือกเขา ด้านในมีไม้ยืนต้นนับแสนต้น ล้วนเป็นภูเขาสูงชัน มีสำนัก ต่างเผ่า สิ่งประหลาดอยู่นับไม่ถ้วน
“แม้แหล่งน้ำเป็นแม่น้ำที่ดี เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเซียน น้ำในแม่น้ำยังชะล้างไอพลังประหลาดได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงต้องช่วงชิงมา มันไหลจากด้านนอกมณฑลเข้าสู่สำนักเซียนล้ำบารมีที่ครองพื้นที่ของมณฑลรับเสด็จราชันทางฝั่งตะวันออกไปแล้วสามส่วน ไหลออกไปจากอาณาเขตของขั้วอำนาจพวกเขา พาดผ่านภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย เข้าสู่แดนต้องห้ามเสียงวิญญาณ จากนั้นจึงไหลสู่มหาสมุทรที่ปลายทางด้านตะวันตก
“และที่ที่ตัดสลับกับภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย เดิมทีมีแม่น้ำสาขาอยู่สายหนึ่งที่จะไหลไปตามแม่น้ำใต้เทือกเขา ไหลเข้าสู่พันธมิตรเจ็ดสำนัก แต่หลายปีก่อนสำนักนำบารมีสร้างเขื่อนกั้นต้นน้ำเอาไว้ ทว่าช่วงก่อนหน้านี้ เขื่อนใหญ่ของสำนักนำบารมีพังถล่ม น้ำของแม่น้ำก็เริ่มไหลคดเคี้ยวไปยังพันธมิตรเจ็ดสำนักอีกครั้ง
“ตำแหน่งที่พันธมิตรเจ็ดสำนักตั้งอยู่ คือส่วนใต้ของเทือกภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ชายขอบของทะเลต้องห้าม และอีกด้านของเทือกเขาคือเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา”
“ส่วนลัทธินอกวิถีกับเขาภูตคีรีใต้ ก็อยู่ขนาบข้างแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพทางฝั่งตะวันตก หลังจากแม่น้ำทางนั้นผ่านแดนต้องห้ามเสียงวิญญาณไปก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทอย่างสมบูรณ์ จากแม่น้ำที่ดีกลายเป็นชั่วร้าย เหมาะกับพลังมารร้ายของเขาภูตคีรีใต้มาก และเดิมทีแท่นมรรคานอกวิถีนั้นก็แปลกประหลาดมาก ดูไม่ได้รับการดูแลมากเท่าไร
“สุดท้ายคือเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ตั้งอยู่ที่แดนหิมะด้านเหนือสุด และเป็นพรมแดนระหว่างมณฑลอื่นๆ”
นายท่านเจ็ดพูดถึงตรงนี้ ที่ขอบฟ้าห่างไกล ท้องฟ้าราวถูกเผาไหม้ ทะเลเพลิงขนาดยักษ์ลอยเอ่อขึ้น สวี่ชิงเงยหน้าจ้องมอง จึงค่อยๆ มองเห็นตะวันสีแดงดวงหนึ่งราวกับลูกไฟขนาดยักษ์ค่อยๆ ปรากฏในสายตา
“พักผ่อนเถิด อีกสองวันพวกเราก็ถึงแล้ว ตอนที่ลงจากเรือ จัดการสะกดพวกคนของพันธมิตรเหล่านั้นเสียหน่อย ที่ต้องเก็บงำก็เก็บงำ ที่จะเปิดเผยก็เผยมันออกมา” นายท่านเจ็ดส่งสื่อเสียงเข้ามา ร่างเงาสลายไป
สวี่ชิงมองตะวันสีแดงที่งออกไป นั่งลงขัดสมาธิเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปสองวัน ตอนที่เส้นขอบฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นสุดลูกหูลูกตาของคนจากเจ็ดเนตรโลหิต ในที่สุดท้องของนายกองก็กลับมาเป็นปกติ และเริ่มกระโดดโลดเต้นอีกครั้ง องค์ชายสามเองก็คำนวณเวลากลับมา
องค์ชายองค์หญิงยอดเขาอื่นบนเรือกลยักษ์แต่ละคนดวงตาเปล่งประกายคมปลาบ กำหมัดถูมือ ความรู้สึกล้างอายเด่นชัดออกมาเป็นพิเศษ
จนกระทั่งเรือกลยักษ์เข้าใกล้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เมืองที่ดูยิ่งใหญ่น่าตกตะลึงเมืองหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิง
ความใหญ่ของเมืองนี้มองไม่เห็นที่สิ้นสุด พอเทียบกับเจ็ดเนตรโลหิตก็เหมือนกับเมืองเมืองหนึ่ง ไม่ว่าจะขนาด จำนวนคน หรือจะระดับความหรูหราฟุ่มเฟือย ก็ห่างชั้นกันโข
ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบสิ่งก่อสร้างก็แตกต่างพอสมควร สิ่งที่สวี่ชิงสัมผัสได้จากสถานที่แห่งนี้ ดูคล้ายจะผสานรูปแบบของผืนอินทนิลเข้าไป เต็มไปด้วยอำนาจและบรรพกาลขณะเดียวกันก็ยังไม่ขาดความประณีตงดงาม
สวี่ชิงมองเห็นยอดเขาขนาดยักษ์ที่รูปร่างแตกต่างกันอยู่เจ็ดลูกไกลๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ พวกมันใหญ่โตมโหฬารมากราวกับว่าเมืองเมืองนี้สร้างบนภูเขา และทั้งยังเชื่อมต่อกันอีกด้วย เช่นนี้ถึงได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่อลังการถึงเพียงนี้
เขาทุกลูกล้วนแผ่พลานุภาพที่น่าตกตะลึงออกมา บนยอดเขามีเทวรูปตั้งตระหง่าน รูปร่างแตกต่างกันไป มีทั้งรูปร่างมนุษย์ มีทั้งอสูรทะเล มีทั้งหอคอยสูง และยังมีกระบี่ยักษ์ที่เหมือนจะเหินฟ้าอีกเล่มด้วย
แทบจะในพริบตาที่เรือกลยักษ์ทั้งเจ็ดลำของเจ็ดเนตรโลหิตเข้าเทียบท่า ก็มีระฆังดังกังวานขึ้นในเมืองแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนักทั้งหมดสิบสองครั้ง
นี่เป็นตัวแทนของพิธีการอันสูงส่ง กระทั่งระดับชั้นบรรพจารย์ก็ยังมาถึงสองคน เป็นบรรพจารย์ของยอดเขาลำดับสองและลำดับหก ขณะเดียวกัน ยังมีเจ้าสำนักอีกสองสำนักด้วย
นอกจากนี้ ชายฝั่งท่าเรือ ศิษย์พันธมิตรเจ็ดสำนักแต่ละคนก็ยืนหน้าขรึมคอยต้อนรับ แต่ในดวงตากลับมีความระแวดระวังและความไม่เป็นมิตร
โดยเฉพาะศิษย์ของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่อยู่ด้านในพวกนั้น แต่ละคนแววตาเย็นชา เหลือบมองคนของเจ็ดเนตรโลหิต สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่สวี่ชิง
อันที่จริงไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ศิษย์จากสำนักอื่นก็พากันมองสวี่ชิง หลังจากกวาดตามอง ศิษย์ชายในนี้ส่วนใหญ่สายตาซับซ้อน ส่วนศิษย์หญิงกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป ในดวงตาค่อยๆ เผยความตกตะลึงออกมา
ตอนที่พวกเขามองไปทางสวี่ชิง เหล่าองค์ชายองค์หญิงบนเรือกลยักษ์หลายลำของเจ็ดเนตรโลหิต ก็พากันก้าวออกมา หลังจากที่ทุกคนปรากฏตัวก็ระเบิดพลังบำเพ็ญทั่วร่าง เปิดช่องเวทในร่างกาย เข้าสู่สภาวะแสงนภา ขณะเดียวกันตะเกียงแห่งชีวิตก็จุดเผาไหม้ขึ้น
ถึงแม้จะไม่ใช่ไฟชีวิตสี่ดวง แต่ทุกยอดเขาล้วนมีเอกลักษณ์ของตนเองอยู่ มีวิธีการเสริมเพิ่งพลังต่อสู้ ทำให้ร่างกายตนเองมีพลังในการทำลายขีดจำกัด
เพื่อที่เจ็ดเนตรโลหิตจะขึ้นเป็นสำนักบน เตรียมการมาหลายปี แผนการใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่ารวมไปถึงการเติบโตของศิษย์ด้วย พูดได้ว่าศิษย์ในรุ่นนี้ เป็นผลลัพธ์ผลพวงจากการเอาใจใส่ของแต่ละยอดเขา
แม้พันธมิตรเจ็ดสำนักจะสามารถทำถึงจุดนี้ได้เช่นกัน แต่หลังจากที่ทุกคนเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าจะไม่เกิดสภาพโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งอีก เมื่อปรากฏตัว ท่วงท่าพลังประดุจสายรุ้งยาว สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ
พวกเขาบ้างก็มีสิ่งประหลาดแผดเสียงประหลาดอยู่นอกร่างกาย บ้างก็เต็มไปด้วยอาวุธเวทระดับสูงทั้งตัว บ้างก็ทุกก้าวที่ก้าวออกมีคลื่นค่ายกลแผ่ออกมา และยังมีบางคนที่ดูเหมือนปกติ แต่ทั้งตัวกลับมีรูปสักการะอสูรร้ายอยู่
ชั่วขณะหนึ่ง ศิษย์ทั้งเจ็ดสำนักบนฝั่งมีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายต่อต้านอย่างรุนแรง
และในฐานะที่เป็นสำนักบนแน่นอนว่าศิษย์พันธมิตรเจ็ดสำนักก็มีจุดที่ทำให้ตกตะลึงเช่นกัน แต่ละคนแผ่พลังออกมา พากันเดินขึ้นหน้า
ขณะที่กลิ่นอายทั้งสองฝ่ายทัดทานกันนั้น สวี่ชิงเดินออกมาด้วยสีหน้าปกติ สายตามองริมฝั่ง ไม่พบใครที่ตนรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
อัจฉริยะฟ้าประทานพวกนั้นที่ไปเจ็ดเนตรโลหิตก่อนหน้านี้ไม่อยู่เลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาเดาออกว่าครั้งนี้เจ็ดเนตรโลหิตจะพาเหล่าองค์ชายองค์หญิงมาได้อย่างชัดเจน ที่ก่อนหน้านี้มีเรื่องอย่างการอ่อนข้อให้ ตอนนี้มาถึงที่นี่ก็คือจะมาล้างอายนั่นเอง
แม้สวี่ชิงจะไม่อยากแสดงตัวให้เด่นนัก แต่อาจารย์ขอมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้ในจังหวะที่ศิษย์ยอดเขาต่างๆ ลงจากเรือ ผู้บำเพ็ญพันธมิตรเจ็ดสำนักที่ริมฝั่งก้าวออกมาพร้อมกันจนเกิดการสยบด้วยพลานุภาพขึ้น สวี่ชิงก็ก้าวออกไปด้วยเช่นกัน
พอก้าวออกไป ฟ้าดินเปลี่ยนสี
กลิ่นอายโถมสวรรค์วูบหนึ่ง ระเบิดออกมาจากร่างสวี่ชิงฉับพลัน จนทำให้เมฆลมตีเกลียว ทั้งแปดทิศโหมลมพายุครืนครัน กระทั่งแสงตะวันเวลานี้ก็เหมือนจะลำเอียงไปรวมอยู่ที่ตัวสวี่ชิง
ไม่ต้องพูดถึงสายตาเลย
พริบตานั้น สวี่ชิงในชุดคลุมม่วงปักลายทอง บนศีรษะสวมกวานสวรรค์ม่วงสูงสุด สองฉัตรเหนือศีรษะ ฉัตรหนึ่งสีดำ มีเปลวไฟไหลเวียนรอบวง ราวกับมันกลายเป็นรัศมีเหนือศีรษะจักรพรรดิ แผ่พลานุภาพสั่นสะเทือนวิญญาณออกมาท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของคนทั้งหมด
อีกฉัตรหนึ่งมีเจ็ดสี แสงเจิดจ้าแยงตา ขณะที่หมุนก็ทำให้มันดูไม่ธรรมดา มีเสียงลมสะท้อนก้อง ราวกับเสียงที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไพเราะเสนาะหู ขณะเดียวก็ก็ทำให้คลื่นเมฆลมผันผวน สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังเขามีเสียงแผดคำรามดังกึกก้องนภา เป็นวิหคทองขนาดมหึมา เหินอยู่เหนือศีรษะสวี่ชิง จ้องมองศิษย์ที่อยู่ริมฝั่ง
รวมกับใบหน้าหล่อเหลาของสวี่ชิง ทำให้เขาเวลานี้ ราวกับเป็นจักรพรรดิที่เดินย่ำสู่โลกมนุษย์ ราวกับอยู่คนละโลก!
ภาพนี้ทำให้ศิษย์พันธมิตรเจ็ดสำนักริมฝั่งต่างหน้าถอดสี จิตวิญญาณมีเสียงอื้ออึงราวกับมีอัสนีสวรรค์สะท้อนก้อง ต้องก้าวถอยหลัง
จากนั้น สวี่ชิงเดินตรงไปเบื้องหน้า พลังต่อสู้ไฟชีวิตหกดวงแผ่แรงกดดันที่น่าครั่นคร้ามจนกลายเป็นคลื่นพลังน่าสะพรึงไร้เทียมทานปะทุขึ้นมา ทำให้ศิษย์ริมฝั่งแต่ละคนที่ถอยหลังไปเหงื่อแตกพลัก ดวงตาเผยความหวาดกลัว และถอยหลังไปอีกครั้ง
คนเดียว สะกดทั้งแถบ!
ภาพนี้ ราวกับเป็นภาพฉายซ้ำ เหมือนกับตอนที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องย่างก้าวเข้าสู่เจ็ดเนตรโลหิต
เพียงแต่ว่าสวี่ชิงในตอนนี้ ทำให้รู้สึกขลาดเขลา ทำให้รู้สึกพรั่นพรึง ทำให้คนจับตามองได้ยิ่งกว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในครั้งนั้น เพราะฉัตรของเขามีถึงสองฉัตร!
“สวี่ชิง!”
“อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิง!”
“เขาจับกุมองค์ชายของแต่ละสำนักไป เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ถูกเล่นงานจนพ่ายแพ้ สวี่ชิงพลังไฟชีวิตหกดวงคนนี้น่ากลัวมาก ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขาด้วย!”
“มีวิชาระดับจักรพรรดิ ตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงคอยหนุนนำ และร่างกายของเขาก็งดงามอย่างไร้คำพรรณนา นี่คือคุณสมบัติที่ไม่มีใครเทียบได้เลย!”