ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 271 ทั้งระดับบนระดับล่างล้วนเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น
บทที่ 271 ทั้งระดับบนระดับล่างล้วนเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น
“เรื่องนี้เจ้าสามรับผิดชอบกระจายข่าว ข้ารับผิดชอบรับหน้าเจรจา สวี่ชิงเจ้าอยู่เฉยๆ เป็นพระเอกก็พอ เจ้าสี่ส่วน ข้าสองคนสามส่วน” นายกองเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้ว ข้าจะไปกระจายข่าว บอกว่าสวี่ชิงก็จะท้าสู้กับอัจฉริยะฟ้าประทานของพันธมิตรเหมือนกัน” ศิษย์พี่สามยิ้มตาหยี เอ่ยเสียงเบา
“ใช่แล้ว บอกว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ท้าสู้ทั้งหมด แต่เลือกสู้สามสี่คน ทำการท้าสู้เป็นตาย!” นายกองเอาผิงกั่วออกมา กัดกินอีกคำ
“รายชื่อโดยละเอียดยังไม่ได้กำหนด ข้ากำลังพิจารณาว่าจะท้าสู้ใคร” สวี่ชิงคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น สามคนมองหน้ากัน
นายกองคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ศิษย์พี่สามหน้าตาอ่อนโยน สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง
“เอาตามนี้แล้วกัน คนของพันธมิตรพวกนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ขอเพียงแค่มีสมองสักหน่อยล้วนคิดได้ว่าต้องส่งของกำนัลมาสักหน่อยแล้ว” นายกองกระแอมไอแล้วมองซ้ายมองขวา
“พวกเจ้าสองคนแช่ต่อเลย ข้าจะไปสระอื่นดูสักหน่อย ที่นี่ลูกศิษย์หญิงน้อยเหลือเกิน” พูดแล้วนายกองก็ลุกขึ้นจากไป ศิษย์พี่สามก็บิดขี้เกียจ หลังจากบอกกับสวี่ชิงสองสามคำแล้ว ก็เข้าไปใกล้ลูกศิษย์จากสำนักอื่นๆ ที่อยู่ในสระ ใบหน้าแฝงด้วยความอ่อนโยน หน้าตาท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัย
สวี่ชิงไม่สนใจ หลับตากำหนดลมหายใจเงียบๆ
แต่ไม่นานนักสวี่ชิงก็ลืมตา เขาเห็นลูกศิษย์หญิงของพันธมิตรคนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ตน ใบหน้าแดงเรื่อ นั่งลงอย่างระมัดระวัง
ส่วนศิษย์พี่สามทางนั้น สวี่ชิงกวาดสายตาไป พบว่าเขากำลังพูดคุยหัวเราะกับลูกศิษย์พัธมิตรกลุ่มหนึ่ง ท่าทางสมัครสมานกลมเกลียวมาก
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้ว่าเนื่องจากพลังวิญญาณของสระน้ำลบล้างการอำพรางบางอย่างของตัวเอง
แม้จะไม่ได้หายไปหมด นอกเสียจากคนใกล้ชิดคุ้นเคยกันดีแล้วยากที่จะมองออกให้ทันที แต่ต่อให้เปิดเผยออกมาเพียงบางส่วน แต่รูปโฉมของเขาก็ยังคงฉายความงดงามล้ำออกมาอยู่ดี
หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิต่อไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ต้องลืมตาขึ้น
รอบๆ เขามีลูกศิษย์หญิงมาอีกสามคน แต่ละคนล้วนนั่งรอบตัวเขา ต่างซุบซิบพูดคุยคล้ายว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของเขา กระทั่งว่ามีลูกศิษย์หญิงที่ใจกล้ามากคนหนึ่ง สังเกตเห็นสวี่ชิงลืมตาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ศิษย์น้องผู้นี้ เจ้าอยู่สำนักใดหรือ หน้าตาไม่คุ้นเลย”
สวี่ชิงไม่พูดจา หลับตาลง
เวลาไหลไป หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม นายกองกินผิงกั่วพลางครวญเพลงหงุงหงิงกลับมาจากที่ไกล เขารู้สึกว่าสระอื่นก็ไม่น่าสนใจ ลูกศิษย์หญิงน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นแล้วจึงกลับมาหาสวี่ชิงและเจ้าสาม
แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้สระน้ำ มองเห็นที่นี่ชัดเจนแล้ว นายกองก็ตาเบิกกว้างทันที เพลงหยุดชะงัก ผิงกั่วยังลืมที่จะกัดกิน เขามองไปยังสระน้ำที่ก่อนจากไปยังค่อนข้างว่างโล่งอยู่เลยอย่างอึ้งตะลึง
ที่นี่ตอนนี้…ผู้บำเพ็ญเยอะมาก อีกทั้งกว่าครึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์หญิง
เจ้าสามอยู่ข้างสระ โอบซ้ายกอดขวา กำลังซุบซิบอะไรกับลูกศิษย์หญิงสี่ห้าคน ประเดี๋ยวๆ ก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับลูกศิษย์หญิงเหล่านั้น
และอีกข้างหนึ่ง เงาของสวี่ชิงบริเวณหลืบมุมได้หายไปแล้ว รอบๆ บริเวณที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญหญิง
ภาพนี้ทำให้นายกองถอนหายใจ เขารู้แล้วว่าทำไมสระอื่นๆ ลูกศิษย์หญิงถึงได้น้อย ดังนั้นแล้วจึงรีบก้าวไปเร็วๆ อย่างไม่ยอมจำนน จะลงสระเช่นกัน
แต่ที่นี่คนเยอะมาก นายกองกำลังจะลงไป ลูกศิษย์หญิงใบหน้ากลมมีกระคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
“ตรงนี้ไม่มีที่แล้ว เจ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่โตอย่าได้ลงมาอีกเลย ไปสระอื่นไม่ได้หรือไร”
เห็นศิษย์พี่ใหญ่ถูกตำหนิ เจ้าสามก็หัวเราะ ลูบๆ ศีรษะของลูกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นจากสระ ดึงนายกองที่ใบหน้าบูดบึ้งจากไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าสี่เล่า” นายกองหันกลับไปมองสระน้ำ
“เจ้าสี่ไปตั้งนานแล้ว ส่วนสถานการณ์ที่นี่เกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่ท่านยังเดาไม่ออกอีกหรือ”
“รูปโฉมงดงาม บ่อเกิดแห่งหายนะ” นายกองทอดถอนใจอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิงในตอนนี้กลับที่พักแล้ว กำลังขัดสมาธินั่งสมาธิ พลังวิญญาณในกายเขาเข้มข้น ต้องพูดจริงๆ เลยว่าแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพวิเศษอัศจรรย์จริงๆ สวี่ชิงรู้สึกว่าหากฝึกบำเพ็ญในนั้นนานๆ ต่อให้เป็นคนที่ในร่างมีไอพลังประหลาดเยอะเพียงใด ไอพลังประหลาดก็จะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ
แม้จะไม่สามารถแก้ได้ถึงต้นตอ ยังคงมีไอพลังประหลาดก่อขึ้นช้าๆ แต่ฝึกฝนที่นี่ระยะยาว ทำได้ถึงไอพลังประหลาดน้อยนิดจนแทบไม่มีก็นับว่าทำได้
“มิน่าเล่า พันธมิตรถึงได้กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามทำลายเขื่อนสำนักนำบารมี ผันน้ำจากแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพมา” สวี่ชิงเงยหน้า ทอดสายตามองไปทางทิศตะวันออก
ทิศนั้นเป็นเขตพ้นที่ตั้งของสำนักเซียนล้ำบารมี และเป็นบริเวณที่แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพไหลเข้าและออก มีแม่น้ำสสามช่วงอยู่ในพื้นที่ของสำนักเซียนล้ำบารมี
จินตนาการได้ว่าสำนักเซียนล้ำบารมีที่มีแม่น้ำสายนี้ไหลผ่าน ย่อมได้ผลประโยชน์ที่ได้ย่อมมีมากที่สุด
สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิต่อ
หนึ่งคืนผ่านไป
ยามเช้าวันที่สองมาเยือน กลุ่มเจรจาที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจัดตั้งกลุ่มขึ้นก็เริ่มพูดคุยกับพันธมิตรเจ็ดสำนักอย่างเป็นทางการ หารือรายละเอียดเรื่องเลือกสถานที่และเข้าร่วม
เรื่องราวที่เกี่ยวพันกับการเข้าร่วมของสำนักบนสำนักหนึ่งเป็นการกำหนดบ่งบอกว่าการหารือครั้งนี้ไม่มีทางสิ้นสุดโดยจบเร็ว เรื่องแต่ละด้านที่เกี่ยวพันในนั้นยุ่งยากซับซ้อนนัก ยกตัวอย่างเช่น การขยายค่ายกล การรับช่วงต่อกิจการ และการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ และอื่นๆ อีกมากมาย
ในฐานะที่สวี่ชิงในฐานะที่เป็นสมาชิกเข้าร่วม หลังจากร่วมได้เพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกน่าเบื่อนัก จึงกลับมายังที่พักฝึกฝนต่อเสียเลย เขาผสานตะเกียงลมครวญเจ็ดสีไว้ในกายได้แล้ว อีกทั้งหลังจากควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ สวี่ชิงก็พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ
นั่นก็คือ…หลังจากที่มีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงแล้ว พวกมันเพิ่มพลังให้กันเองด้วย!
เรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นสมาธิทั้งหมดจึงอยู่กับเรื่องนี้ ไปทำการค้นหาและทดลองอย่างละเอียด
และส่วนองค์ชายองค์หญิงจากยอดเขาอื่นๆ ที่เลือกไม่เข้าร่วมด้วยเหมือนเขาก็มีจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่แล้วแค่มาให้เห็นหน้าแล้วหาเหตุผลชิ่งหนีออกมา เริ่มทำการท้าสู้
ไม่นานนักลูกศิษย์สำนักอื่นๆ ในพันธมิตรก็แตกตื่นฮือฮา
องค์ชายองค์หญิงยอดเขาต่างๆ ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต การท้าสู้อย่างของพวกเขาฮึกเหิมมาก ทรงพลังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดเขาที่หนึ่งมีองค์ชายสองเป็นตัวแทน พุ่งตรงไปยังสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
ยอดเขาอื่นๆ ก็เช่นกัน เพียงพริบตา ผู้นำระดับสูงหารือรายละเอียด ลูกศิษย์กลับจิตต่อสู้สู้รบท่วมฟ้า ทำให้คำซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ในพันธมิตรส่งผลกระทบกว้างขึ้นเรื่อยๆ เป็นระลอกคลื่น ส่งผลกระทบกว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งผ่านไปสามวัน ในยามที่ทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องรายละเอียดของการย้ายและเข้าร่วมต่างๆ อยู่ตลอด การท้าสู้ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกับเจ็ดสำนักก็มาถึงจุดเดือด แม้จะมีทั้งแพ้และชนะ ทว่า สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในด้านรัศมีอำนาจเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่า
โดยเฉพาะ…จากข่าวหนึ่งการที่แพร่ออกไปของข่าวหนึ่ง ลูกศิษย์ทั้งพันธมิตรก็ฮือฮาแตกตื่นทันที
ข่าวนี้เกี่ยวกับสวี่ชิง เป็นเรื่องเป้าหมายที่เขาจะเลือกท้าสู้นั่นเอง
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป อัจฉริยะยอดเขาต่างๆ ของพันธมิตรต่างอยู่ไม่เป็นสุข พวกเขารู้ดีถึงตัวตนของสวี่ชิง ดี เป็นเหมือนกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ กำลังรบไฟชีวิตหกดวง สามารถสู้กับผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์หนึ่งวังได้
ผู้บำเพ็ญเก่งกล้าเลิศล้ำน่ากลัวเช่นนี้ไม่มีใครอยากสู้ด้วย โดยเฉพาะในข่าวยังบอกอีกว่า เป็นการต่อสู้เป็นตาย เช่นนี้แล้วยิ่งทำให้คนจิตใจหวาดผวา
และหากหลบเลี่ยงไม่สู้ก็เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีหน้าตา ดังนั้นในนั้นก็มีคนฉลาดเหมือนกับโจวฉี่ฝาน แอบติดต่อกับนายกองอย่างลับๆ มอบของกำนัล แสดงความเป็นมิตร
เรื่องนี้ไม่นานนักก็ถูกผสมโรงกระจายข่าวออกไป ดังนั้นแล้วอัจฉริยะยอดเขาต่างๆ ที่กังวลว่าจะถูกท้าสู้ก็ส่งบ่าวผู้ติดตามแอบออกไปติดต่อแสดงความเป็นมิตรอย่างลับๆ
เรื่องนี้ย่อมดังไปถึงหูผู้นำระดับสูงของพันธมิตร ดังนั้นแล้ววันนี้ในยามที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตหารือรายละเอียดทั้งหมดล้วนได้รับการเห็นชอบระดับหนึ่งแล้ว ตัวแทนฝ่ายพันธมิตรก็แสดงความไม่พอใจต่อนายท่านเจ็ดที่เป็นตัวแทนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
“ลูกศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ของพวกเจ้าสำนักเจ็ดโลหิตท้าสู้เจ็ดสำนักก็ช่างเถิด ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน”
“แต่สวี่ชิงคนนั้นมีกำลังรบไฟชีวิตหกดวงยังออกไปท้าสู้ นี่ไม่ใช่การรังแกกันหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ใช่พันธมิตร แต่ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ!”
“ก็ยังไม่ได้ท้าสู้มิใช่หรือ” นายท่านเจ็ดยิ้มเอ่ย
“ที่เกินสมควรที่สุดก็คือเรื่องนี้ เจ้าเจ็ด ลูกศิษย์สองสามคนของเจ้าล้วนกำลังล่อเหยื่อจับปลากกันทั้งนั้น! กระทั่งว่าเจ้าใหญ่ของเจ้ายังปล่อยข่าวลือออกไปว่า ใครให้น้อยก็จะเขียนชื่อของคนคนนั้นลงไปในรายชื่อท้าสู้”
“นี่เกินสมควรไปแล้วจริงๆ ตะกละตะกลามเหลือเกิน ไปเรียนมาจากใครกัน!”
นายท่านเจ็ดกระแอมแห้งๆ
“ตะกละตะกลามเกินไปแล้วจริงๆ แต่ว่าล้วนเป็นเด็กน้อยทั้งนั้น ก็แค่เล่นสนุกเฉยๆ พวกเจ้าจะจริงจังกันทำไมถึงเล่าจริงจังกันได้ ใช่แล้ว เรื่องสิทธิ์อำนาจค่ายกลหลังจากสำนักข้าย้ายมาตรงนี้นี่ข้ายังมีข้อสงสัย มาๆๆ พวกเรามาหารือรายละเอียดกัน”
ตัวแทนของพันธมิตรได้ยินดังนั้นก็ไร้คำพูด แอบพูดในใจว่านี่มันคนประเภทใดกัน ในใจอดกังวลกับสถานการณ์ของแปดพันธมิตรในอนาคตขึ้นมานิดๆ อย่างอดไม่ได้
เขารู้สึกว่าสำนักเจ็ดโลหิตรังสีโจรมากเหลือเกินจริงๆ
“หลายปีก่อนนี้ไม่ใช่แบบนี้นี่นา…” ตัวแทนพันธมิตรถอนหายใจ ตั้งใจจะไม่ไปสนใจ แต่นายท่านเจ็ดยิ้มตาาหยีพลางดึงเขาไปสนทนาจริงๆ
เวลาก็ผ่านไปอีกสองวันเช่นนี้เอง รายละเอียดหารือของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและพันธมิตรก็เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ และจับมือกันอย่างเป็นทางการ ประกาศแจ้งกับมณฑลต้อนรับรับเสด็จราชันทั้งมณฑล ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่จับตามองเรื่องนี้ในนั้น เริ่มทำการวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรแปดสำนักใหม่อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์ ให้เริ่มทำการย้ายสำนัก ตามแผนการต้องแล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน
นอกจากนั้นทางพันธมิตรก็จะสร้างค่ายกลส่งข้าม ให้การเดินทางมาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสะดวกยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน การท้าสู้ขององค์หญิงองค์ชายจากยอดเขาต่างๆ กับเจ็ดสำนักก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่ตอนนี้มีคนที่จับตามองไม่มากแล้ว ความสนใจของทุกคนอยู่ทางสวี่ที่สวี่ชิงทางนั้น อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะท้าประลองใคร
ในเมื่อ ลูกศิษย์ที่ส่งยื่นมิตรไมตรีออกไปก็ไม่น้อยเลย และหลังจากที่ทุกคนจับตามองเหตุการณ์ต่อจากนี้ของเรื่องนี้ นายท่านเจ็ดหาวันตำหนิลูกศิษย์ของตนทั้งสามคนนี้อย่างเข้มงวดต่อหน้าคนมากมาย
กล่าวว่าล้วนเป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตร จะท้าสู้เป็นตายกันภายในไม่ได้ ยิ่งกล่าวถึงกำลังรบของสวี่ชิงเช่นนี้ ไม่เหมาะที่จะไปรังแกคนในสมาชิกพันธมิตร
ส่วนใบหน้าพวกสวี่ชิงทั้งสามคนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความละอายใจ ให้ความรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์ตำหนิจนได้สติ ต่างเอ่ยปากแสดงท่าทีรู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงยกเลิกการท้าสู้…
ทำให้เรื่องนี้จบลงอย่างงดงาม
ภาพนี้ทำมำให้ลูกศิษย์เจ็ดสำนักที่ส่งไมตรีจิตออกไปอย่างหวงอี้คุนและโจวฉี่ฝานต่างทำได้แค่เพียงยิ้มขื่น พวกเขาย่อมมองออกว่านี่เป็นละครที่ศิษย์อาจารย์สี่คนจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแสดง
“เจ้าเล่ห์จริงๆ!”
“เป็นถึงระดับซ่อนวิญญาณกลับร่วมกับลูกศิษย์ทำแบบนี้…”
“แต่พวกเราก็พูดอะไรไม่ออกไม่ได้ ทุกประโยคของเขาล้วนยืนอยู่เป็นบนเหตุเป็นผล”
ในขณะที่ลูกศิษย์พันธมิตรส่วนมากรู้สึกว่าถูกวางแผนโดนตลบหลัง ในสำนักล่าสิ่งประหลาดก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังออกมา ซือหม่าหรูเดินออกมาจากสถานปิดด่าน นางทะลวงขั้นไม่สำเร็จ วังสวรรค์วังที่สองยังไม่อาจก่อขึ้นมาได้
แต่เห็นความอเนจอนาถน่าสังเวชของน้องชาย และนึกถึงการแตกดับของร่างแยกของตน ดังนั้นแล้วจึงออกจากด่านก่อนกำหนด
เรื่องแรกที่หลังจากออกจากด่านคือ นางส่งหนังสือท้าประลองไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ท้าประลองสวี่ชิง!
เรื่องนี้แตกตื่นฮือฮาไปทั่วทันที ต้องรู้ว่าซือหม่าหรูเป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ การท้าประลองของนางดูเหมือนรังแกคนอ่อนแอกว่า แต่ทุกคนกลับไม่คิดเช่นนั้น กลับรู้สึกว่านี่เป็นศึกที่พลังของทั้งสองฝ่ายไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
หลังจากที่สวี่ชิงแทนที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแล้ว ก็เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของพันธมิตรแปดสำนัก สามารถสยบผู้บำเพ็ญวังสวรรค์ได้
ศึกนี้ ในฐานะที่สวี่ชิงในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เขาปฏิเสธได้ยาก และนายท่านเจ็ดก็ได้ถ่ายทอดเสียงมาหาเขา
“เก็บซ่อนงำอย่างเหมาะสม สู้โดยไม่ต้องกังวล ฉายความน่าเกรงขามของสำนักเราออกมา นอกจากนี้ซือหม่าหรูนังหนูคนนั้นมีหัวใจสองดวง หัวใจด้านขวามีประโยชน์กับเจ้าเป็นอย่างมากในวันข้างหน้า!”
ดังนั้น หลังจากที่คิดๆ แล้ว จิตสังหารฉายวาบในดวงตาสวี่ชิง คิดถึงผลเก็บเกี่ยวของตะเกียงลมครวญเจ็ดสีที่ตนศึกษาค้นคว้าในช่วงนี้ จึงตอบซือหม่าหรูไปประโยคหนึ่งว่า
“สู้เป็นตายเท่านั้น หากตกลงก็มา”