ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 274 นรกบนดิน
บทที่ 274 นรกบนดิน
ก่อนจะมาพันธมิตร ในม้วนเอกสารของสำนัก สวี่ชิงได้อ่านคำบรรยายของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา
ภูเขาสะกดมรรคาหมื่นลี้โครงกระดูกราวขุนเขา กระดูกราวป่า
ที่นั่น หนังมนุษย์ติดกันเป็นแผ่น ผมกลายเป็นพรม ลมพัดผมแห้งกรอบทำให้พื้นปูไปด้วยสีดำ
ทุกที่ที่มองไปล้วนเป็นดินโคลนที่แปรเปลี่ยนมาจากเนื้อหนังเน่าเปื่อยนับไม่ถ้วน ทำให้คนเห็นแล้วขวัญผวาสยดสยอง
ยิ่งมีกระดูกกองรอบต้นไม้ ศีรษะกลายเป็นผลบนต้นไม้ เจ็บปวดร้องครวญครางแต่ไม่ตาย เลือดสดๆ ไหลรินให้ปีศาจเทพชั่วร้ายที่ผ่านไปมาได้ดื่มกินดับกระหาย
เขาศพทะเลเลือด กลิ่นคาวเลือดคลื่นเหียนสะอิดสะเอียน เป็นนรกบนดินชัดๆ
ในพื้นที่ทำปศุสัตว์หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดรัฐ มีเผ่ามนุษย์และมีต่างเผ่า ล้วนเป็นอาหารทั้งนั้น
กินหนึ่งรัฐ หล่อเลี้ยงหนึ่งรัฐ
นี่ก็คือคำบรรยายเกี่ยวกับเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาในม้วนเอกสารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
และนรกบนดินแห่งนี้อยู่ติดกับพันธมิตรแปดสำนัก ติดทะเลเหมือนกัน เพียงแต่มีเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยกั้นเอาไว้เท่านั้น
สวี่ชิงรู้ว่าทำไมสำนักจึงเลือกที่นี่ ด้านหนึ่งเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตร แม้ที่นี่จะอยู่ใกล้กับภูเขาสะกดมรรคาที่สุด แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในมณฑลรับเสด็จราชัน หากอีกฝ่ายโจมตีที่นี่ก็เป็นการเปิดสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกด้านหนึ่งคือที่นี่อยู่ใกล้กับแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพสายย่อยที่สุด ไอพลังวิญญาณเข้มข้น ภายใต้การหล่อเลี้ยงไร้รูปร่างจะทำให้ไอพลังประหลาดในตัวลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตถูกชำระล้างอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันผลประโยชน์จากการแยกสายแม่น้ำที่นี่ทะลุผ่านทั้งเมืองสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มากที่สุด เพราะทั้งสองข้อรวมกันแล้วจะทำให้เมืองใหม่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายพลังเซียนที่เข้มข้นอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนสายย่อยเป็นของทั้งพันธมิตร แต่ทางแม่น้ำที่แยกออกไป เป็นทรัพย์สมบัติของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตตามข้อสัญญา
ขณะเดียวกัน เขตเมืองสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแถบนี้ก็เพิ่งจะราคาขึ้นในช่วงนี้ ก่อนที่สายย่อยของเร้นเซียนยังไม่มา ที่นี่ไม่มีค่าอะไร
แต่พวกนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของสวี่ชิงเท่านั้น รายละเอียดเป็นอย่างไร เนื่องจากช่วงนี้เข้าไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วย และไม่อาจเข้าร่วมการหารือของผู้นำระดับสูงระหว่างสำนักกับเหล่าบรรพจารย์ได้ จึงไม่อาจล่วงรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
เขาระแวงระวังเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคามาก และภาพนี้ก็ทำให้เขาตระหนักได้อีกครั้งว่าโลกใบนี้ไม่มีแดนสุขาวดี ความสงบสุขเบื้องหน้าที่แสดงออกมาคือใช้พลังความสามารถสร้างขึ้น อีกทั้งใช่ว่าจะไม่มีราคาที่ต้องจ่ายหากจมจ่อมอยู่ในโลกสุขาวดีแต่ไม่ทำตนให้แข็งแกร่ง ไม่ช้าก็เร็วก็จะกลายเป็นอาหารของคนอื่น
‘เรื่องอย่างดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเช่นนี้ยังอาจเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสงบสุขเลย’ สวี่ชิงดึงสายตาที่มองไปทางภูเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคากลับมา รู้สึกว่าตัวเองก็ยังคงอ่อนแอเหลือเกินเหมือนเดิม
‘รอสำนักใหม่สร้างเสร็จ จะไปหาท่านอาจารย์ศึกษาเคล็ดวิชาพลังวิเศษบ้าง ข้าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!’ดวงตาสวี่ชิงฉายแววมุ่งมั่น สูดลมหายใจลึก เฝ้ารักษาการรอบๆ ต่อไป
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง เมืองหลักสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเปลี่ยนโฉมใหม่ เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ถนนทุกสาย สิ่งก่อสร้างทุกแห่ง ค่ายกลทุกค่าย ภายใต้ความขยันขันแข็งของลูกศิษย์และคนทั่วไปก็สร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปที่ส่งข้ามมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมืองที่แต่เดิมดูแล้วค่อนข้างโล่งว่างมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
ยอดเขาทั้งเจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ทยอยมาถึงเช่นกัน จัดให้อยู่ตำแหน่งใจกลางเมือง ส่วนทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทางนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมไม่มีทางปล่อยไป ย้ายภูเขาเจ็ดลูกจากเทือกเขาสัจธรรมเข้าไปใหม่ แล้วใช้ค่ายกลปกคลุม
อีกทั้งจัดลูกศิษย์คอยเฝ้าคุ้มกันเอาไว้ แม้จะไม่เหมือนในอดีต แต่จากการที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลายเป็นสำนักบน ไม่ว่าจะเป็นทะเลต้องห้ามหรือทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ในช่วงระยะสั้นๆ นี้ไม่มีขั้วอำนาจใดมาหาเรื่อง
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตร ตำแหน่งบางอย่างในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็จำเป็นต้องรวมให้เป็นหนึ่ง เช่นนี้แล้วถึงจะเป็นสมาชิกของพันธมิตรได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนัก สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในอดีตนั้นไม่มีเจ้าสำนักตำแหน่งนี้
ตอนนี้มีแล้ว
การดำรงตำแหน่งของนายท่านเจ็ดไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ทั้งนั้น กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ส่วนผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดคือคู่ฝึกเต๋าของเขา ซึ่งก็คือน้าของติงเสวี่ย
ในขณะเดียวกันตำแหน่งผู้อาวุโสก็ถูกปรับเป็นผู้คุมกฎ มีเพียงผู้ที่มีพลังบำเพ็ญระดับปราณก่อนกำเนิดขึ้นไปเท่านั้นจึงจะถูกเรียกว่าผู้อาวุโส เป็นขอบเขตพลังบำเพ็ญระดับเดียวกับเจ้ายอดเขาในตอนนี้
จากที่กล่าวมานี้ก็จะเห็นรูปแบบโครงสร้างของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต มีความหวังว่าในอนาคตเจ้ายอดเขาทุกคนล้วนก้าวสู่ระดับซ่อนวิญญาณได้
เรื่องการเข้าร่วมพันธมิตรของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็นับว่าสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งจากการปรับตำแหน่งต่างๆ แล้ว ต่อจากนี้มีเรื่องรอให้จัดการมากมาย สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่างต่างยุ่งกันจนหัวหมุน
ทุกคนมีภาระหน้าที่ที่มั่นคงหนึ่งถึงสองอย่าง
สำหรับการฝึกบำเพ็ญประจำวันของลูกศิษย์ สำนักก็ไม่ได้บีบบังคับ ในขณะเดียวกับที่รับประกันการฝึกบำเพ็ญของลูกศิษย์ เพื่อเร่งให้เรื่องทุกอย่างในสำนักเสร็จเร็วขึ้น สำนักก็นำทรัพยากรออกมามหาศาล มอบเป็นรางวัลเพิ่มเติมในภารกิจ
เรื่องที่ไม่ต้องไปทำสงครามเป็นตายก็ได้ทรัพยากรแบบนี้ทำให้ทุกคนต่างกระตือรือร้นกันเป็นอย่างยิ่ง
ทางสวี่ชิงก็ได้รับภารกิจประจำที่สองเหมือนกัน เขาต้องร่วมกับสหายร่วมสำนักสำแดงวิชาเวทที่เขตท่าเรือ ดันทะเลต้องห้ามที่ตลบอวลไปด้วยไอพลังประหลาดที่ท่าเรือออกไปอีกนิด เพื่อสะดวกลูกศิษย์คนอื่นๆ ถมทะเลได้อย่างราบรื่น สร้างท่าเรือขึ้นมา
เนื่องจากสวี่ชิงนับจากที่มาเยี่ยมเยือนก็อยู่ในพันธมิตรมาโดยตลอด ยิ่งมีความรุ่งโรจน์ในเสี้ยวพริบตาที่ขึ้นฝั่งมา และในศึกที่สู้กับซือหม่าหรู สร้างอำนาจสะกดน่าตื่นตะลึงกับทุกคน
นี่ทำให้เขาเหมือนกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในตอนนั้น เจิดจ้าเปล่งประกาย
แม้ตอนนี้พันธมิตรจะไม่ได้ประกาศ แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของพันธมิตรแปดสำนักในยุคนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้นแล้ว ในพันธมิตรที่เปิดกว้าง คนที่สงสัยใคร่รู้ย่อมมีจำนวนไม่น้อย
ดังนั้น ตอนนี้ที่เขตท่าเรือ ในยามที่สวี่ชิงร่วมสำแดงเวทกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ทำให้น้ำทะเลซัดโหมหอบม้วนดังสนั่นหวั่นไหว ขยายออกเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง ก็จะเห็นลูกศิษย์ของสำนักต่างๆ จำนวนไม่น้อยล้อมดูจากที่ไกลๆ
สำหรับพวกเขาแล้ว การเข้าร่วมของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตคือเรื่องใหญ่ของพันธมิตร ย่อมต้องมาดูสักหน่อยอยู่แล้ว
ในบรรดาผู้มาเยือนมีลูกศิษย์หญิงมากเป็นพิเศษ หลังจากเห็นเงาร่างของสวี่ชิงปรากฏก็ต่างตาวาววาบ ส่งเสียงซุบซิบฮือฮา
ภาพนี้ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเห็นกันจนชินตา หลายวันมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้ นอกจากมีความสะท้อนใจแล้ว ประเดี๋ยวๆ ก็มองสวี่ชิงที่สำแดงเวทด้วยสีหน้าสงบนิ่งกลางอากาศ
สวี่ชิงเมินเรื่องพวกนี้ สำแดงเวทอย่างมีสมาธิ
เขาพบว่าในภารกิจของสำนักประเภทนี้ความจริงแล้วแฝงไว้ด้วยทักษะการฝึกบำเพ็ญ
ยกตัวอย่างเช่นการดันทะเลในตอนนี้ จากการที่เขาโคจรคัมภีร์แปรสมุทร เขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มาจากทะเลต้องห้าม ทำให้น้ำทะเลที่เขาบังคับต้องรักษาอยู่ในสภาวะทุ่มสุดกำลังอยู่ตลอด ถึงจะทำให้มันไม่ซัดกลับมาได้
นี่เกี่ยวพันถึงความเสถียรและความแข็งแกร่งของพลังเวท
พลังกดดันของน้ำทะเลเหมือนหินลับก้อนมหึมา สามารถใช้มันมาฝึกฝนตัวเองได้
มีการค้นพบและตระหนักรู้ถึงจุดนี้ สวี่ชิงย่อมตั้งใจขึ้นไปอีก
และในตอนที่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญทางนี้ ติงเสวี่ยก็มาหา
นางสวมเมฆาคล้อยม่วงครามทั้งชุด เรือนผมงามเกล้าเป็นหางม้า ข้างหลังแบกกระบี่หยกสลักหงส์ไว้เล่มหนึ่ง ทั้งคนดูแล้วงดงามสง่า ลมทะเลเพียงพัด ก็เผยรูปร่างอรชร ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำนั่นและดวงตาที่ไร้เดียงสาไม่เป็นพิษภัยก็เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูให้นางขึ้นอีกหลายส่วน
นางก้าวมา แววตาแฝงด้วยความสงสัยใคร่รู้ ประเมินเหล่าลูกศิษย์หญิงที่มองพี่สวี่ชิงของตนมาจากที่ไกลๆ พวกนั้นก่อน แล้วยิ้มน้อยๆ ในขณะที่สวี่ชิงสำแดงเวทเสร็จสิ้นนั่งขัดสมาธิปรับสมดุล นางก็เดินมาข้างๆ สวี่ชิง
“พี่สวี่ชิง”
สวี่ชิงลืมตาทั้งสองข้าง มองติงเสวี่ยแวบหนึ่ง พยักหน้า
“พี่สวี่ชิง ช่วงนี้ข้าเรียนเรื่องสมุนไพรมากมาย ปรุงน้ำยาสมุนไพรเซียนร้อยวิญญาณได้ขวดหนึ่ง ข้าดื่มเองแล้วรู้สึกว่ารสชาติพอใช้ได้แต่สรรพคุณยาไม่รู้ว่าด้อยไปหน่อยหรือไม่…” พูดถึงตรงนี้ติงเสวี่ยก็สังเกตเห็นว่าคิ้วของสวี่ชิงขมวดเล็กน้อย ดังนั้นแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า
“พี่สวี่ชิง ท่านน้าเขยข้ายุ่งมาก ท่านน้าก็เหมือนกัน ท่านตาก็หายไปไม่เห็นหน้า ทำได้แค่มาขอร้องพี่สวี่ชิงแล้ว พี่สวี่ชิงท่านมีเวลาช่วยชี้แนะเสวี่ยเอ๋อร์สักหน่อยหรือไม่”
ติงเสวี่ยท่าทางน่าเอ็นดู เสียงอ่อนละมุนทอดยาวไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแฝงความออดอ้อนไว้รางๆ
สวี่ชิงได้ยินสามคนที่ติงเสวี่ยอ้างถึงก็ทำได้เพียงแค่เงียบนิ่ง พยักหน้า
ติงเสวี่ยดวงตาฉายแววดีใจ หยิบขวดออกมาขวดหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือยื่นตั๋ววิญญาณที่ราคาไม่น้อยม้วนหนึ่งออกไปให้ด้วย
มองตั๋ววิญญาณแวบหนึ่ง ความรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากถูกรบกวนตอนฝึกบำเพ็ญในใจสวี่ชิงก็หายไปเล็กน้อย หยิบขวดลูกกลอนขึ้นมากวาดตาดู ความเข้าใจในสมุนไพรของเขา เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าไม่มีพิษ จากนั้นก็ดื่มลงไปรวดเดียว
“พอใช้ได้”
ติงเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจ แต่นางรู้กาลเทศะ หลังจากพูดคุยง่ายๆ ไม่กี่ประโยคก็หันหลังจากไปอย่างสง่างาม สายตากวาดไปยังลูกศิษย์หญิงของพันธมิตรที่มองมาทางนี้จากที่ไกลๆ พวกนั่นก็แค่นเสียงพูดในใจ
‘ยัยพวกแพศยา กล้ามาแย่งพี่สวี่ชิงกับข้ารึ พวกเจ้าอยู่ไกลได้ยินบทสนทนาไม่ชัด สิ่งที่เห็นคือข้าเดินมามอบยาให้พี่สวี่ชิง แล้วเขาก็ดื่มมันลงไป
‘นี่ก็คือการประกาศความเป็นเจ้าของ!
‘แต่ว่าคนพวกนี้ไม่นับเป็นอะไร กู้มู่ชิงก็ถูกข้าเขี่ยออกไปแล้ว ตอนนี้ปิดด่านทะลวงระดับสร้างฐาน ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของข้าตอนนี้ก็คือเหยียนเหยียน!’ นึกถึงเหยียนเหยียน ติงเสวี่ยก็กัดฟันกรอด กำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี เจ้าจงเหิงที่อยู่ไกลๆ ก็ตามมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
เขาเองก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ตอนนี้สวี่ชิงเหมือนตะวันกล้ากลางท้องฟ้า เขาก็ยังไม่ยอมแพ้จากติงเสวี่ย มีความรู้สึกเหมือนว่าสักวันหนึ่ง เมื่อติงเสวี่ยหันกลับมา คนที่รอเจ้า ยังรอคอยอยู่ที่โคมไฟส่องแสงริบหรี่ตรงนั้นมาโดยตลอด
นึกถึงภาพฉากนี้ เจ้าจงเหิงก็ซาบซึ้งเองก่อนที่สายตาจะยิ่งฉายความแน่วแน่
สวี่ชิงสังเกตเห็นภาพนี้ ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กที่ในตอนเพิ่งเข้าสำนักยังไร้เดียงสากับเรื่องระหว่างชายหญิง รู้เพียงแค่ว่ากระโจมที่มีขนนกในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดมีคนมากมายไปที่นั่นบ่อยๆ คนนั้นอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้จากการที่เติบโตขึ้น เขาได้เห็นจากหวงเหยียนและศิษย์พี่สามมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีแรงดึงดูดสักเท่าไร
ดังนั้นแล้วจึงไม่สนใจ ฝึกฝนต่อเนื่อง ดันทะเลต่อไป
จวบจนหลายวันจากนั้น จากการสร้างท่าเรือเสร็จสิ้น สวี่ชิงก็ไม่รับภารกิจอีก แต่สื่อเสียงหานายท่านเจ็ด
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากรู้ว่าทำไมอัจฉริยะฟ้าประทานของพันธมิตรถึงติดอยู่ที่ไฟชีวิตสี่ดวง ไม่ทะลวงขั้นวังสวรรค์ แล้วก็…ข้ารู้สึกว่าเคล็ดวิชาของข้าน้อยไปนิด ขอท่านอาจารย์โปรดแถลงไข”
“มาหาข้าที่สำนัก” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงของนายท่านเจ็ดก็ดังสะท้อนในใจสวี่ชิง
สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาฉายแวววาดหวัง พุ่งตรงไปที่สำนักทันที
ยอดเขาทั้งเจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ตำหนักเจ้าสำนักก็ยังคงเลือกอยู่ที่ยอดเขาลำดับเจ็ด เมื่อสวี่ชิงมาถึง เพิ่งจะถึงยอดเขาก็เห็นน้าของติงเสวี่ย ซึ่งก็คือคู่ฝึกเต๋าของนายท่านเจ็ดใบหน้าแฝงด้วยความโมโห เดินออกมาจากในตำหนักหลัก
“คารวะอาจารย์แม่” สวี่ชิงรีบคารวะทำความเคารพ
อาจารย์แม่ฝีเท้าหยุดชะงัก มองๆ สวี่ชิงด้วยสีหน้าอ่อนโยนลง
“เจ้าสี่เจ้าน่ารักมาก ติงเสวี่ยบอกข้าว่าเจ้าฝึกบำเพ็ญอย่างตั้งใจ คุณสมบัติยิ่งเหนือกว่าผู้อื่น ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ต่อให้บางครั้งนางเอาแต่ใจ แต่เจ้าก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของนาง ปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเสมอมา เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ ไม่เหมือนใครบางคน อายุปูนนี้แล้ว ทั้งชีวิตไม่เคยจะมีคำพูดอ่อนหวานอบอุ่นสักประโยค สมควรแล้วที่จะอยู่ตัวคนเดียว!”
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์แม่ยังกรุ่นโกรธอยู่ พูดจบก็โยนขวดสีม่วงขวดหนึ่งให้สวี่ชิง
“นี่คือลูกกลอนพันวิญญาณหล่อเลี้ยงจิต เข้าไปแล้วเอาให้อาจารย์เจ้าด้วย ข้าขี้เกียจจะเอาให้เขาด้วยตัวเองแล้ว”
พูดจบอาจารย์แม่ก็จากไป
สวี่ชิงสีหน้าประหลาดใจ มองขวดยาในมือ หลังจากเดินเข้าไปในตำหนักเจ้าสำนัก ก็เห็นนายท่านเจ็ดสีหน้าฉายความเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังคงวาดภาพบนกำแพง ภาพที่วาดคือแผนที่มณฑลรับเสด็จราชัน
และบนภาพวาดภาพนี้ มีตำแหน่งหนึ่งที่ทำให้สายตาสวี่ชิงจ้องเพ่ง
ตรงนั้น นายท่านเจ็ดวาดคนนั่งขัดสมาธิทำสมาธิคนหนึ่ง!