ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 278 จอมเซียนจื่อเสวียน
บทที่ 278 จอมเซียนจื่อเสวียน
สวี่ชิงเดินอยู่บนสะพานเส้นที่แปดที่ทอดตัวไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ใต้สะพานคือแม่น้ำที่พลังเซียนเข้มข้นโหมบ่าไหลผ่าน
ท้องฟ้าเหนือสะพาน แสงพรายสีแดงค่อยๆ จางหายไป
สวี่ชิงมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่คืบคลานมาถึงช้าๆ มองดวงจันทร์กระจ่างที่ลอยออกมา ก่อนจะดึงสายตากลับมาช้าๆ เดินกลับไปยังเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต ไปหาจางซานทางนั้น
เส้นทางกลับ เขาได้รับข้อความถ่ายทอดเสียงจากจางซานบอกว่าเรือใหญ่เวทซ่อมเสร็จแล้ว
วันที่ไม่มีเรือเวทสวี่ชิงไม่ค่อยคุ้นชินเลย ดังนั้นตอนนี้หลังจากกลับมาถึงเมืองหลัก ต่อให้ความมืดจะมาเยือน เขาก็ยังไปหาจางซานก่อนในทันที
ในลานกรมขนส่งของจางซาน สวี่ชิงมองเห็นเรือใหญ่เวทของตัวเอง
ตัวเรือขนาดหกร้อยกว่าจั้งน่าตื่นตะลึง รูปร่างมีทั้งส่วนที่เหมือนและไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ส่วนมากปรากฏที่หัวเรือและท้ายเรือ
หัวเรือไม่ใช่กิ้งก่าทะเลอีกต่อไป แต่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าขนาดมหึมาเหมือนหน้ากากเหล็ก
ส่วนท้ายเรือก็เห็นได้ชัดว่าเรือกลยักษ์ที่มาเยี่ยมเยือนในตอนนั้นได้ให้แรงบันดาลใจกับจางซาน เขาออกแบบให้มันมีหางเก้าหาง
แม้จะเล็กกว่ามาก แต่หางทุกหางล้วนเอ่อล้นไปด้วยค่ายกล มีพลังแตกต่างกัน
ใบเรือทั้งแปดเพิ่มเป็นสิบหกใบ ไม่ใช่แค่จำนวนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นแต่ใหญ่ขึ้นด้วย
“สวี่ชิง เรือเวทของเจ้าลำนี้มาถึงขีดจำกัดสูงสุดของระดับขั้นเรือใหญ่เวทแล้ว โดยพื้นฐานก็เป็นครึ่งก้าวสู่เรือศึกเวทแล้ว
“ทักษะที่ข้าคิดค้นทั้งหมดล้วนใส่มาในนี้ ไม่ใช่แค่บินและดำน้ำได้เท่านั้น แต่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นหน้ากากแล้วแอบซ่อนด้านในได้ด้วย” จางซานยืนอยู่บนเรือเวท แม้สีหน้าจะเหนื่อยล้า แต่น้ำเสียงยังคงฉายความภาคภูมิใจ
สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง ประสานหมัดโค้งคารวะจางซานสุดตัว
“แม้ค่าใช้จ่ายครั้งนี้จะมหาศาล แต่ผลเก็บเกี่ยวจากท่าเรือที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็มากพอที่จะจ่าย
“นอกจากนี้ ข้ายังคิดค้นพลังระเบิดตัวเองให้มันโดยเฉพาะอีกด้วย ข้าบอกเจ้าตรงๆ เลย จุดที่ข้าให้ความสำคัญอยู่ที่หลังจากที่มันระเบิดตัวเองแล้วพลังของมันจะยิ่งใหญ่เพียงใด
“เรือใหญ่เวทของเจ้าทนการระเบิดตัวเองได้หลายครั้งจากการปรับแต่งของข้า ในนั้นมีตัวเรือสามชั้นมากพอที่จะให้เจ้าใช้มันระเบิดตัวเอง” สวี่ชิงพูดพลางมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“ในนั้นมีคุณสมบัติเทพไม่น้อยเลย มีพลังมากเพียงพอ ทันทีที่กระตุ้นกำลังรบไฟชีวิตสามดวงสุดกำลัง ก็ไม่อาจระเบิดโจมตีได้แม้แต่น้อย
“ตอนนี้ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของมันคือขาดดวงวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงทิ้งให้หัวเรือไร้หน้า
“ความจริงในวิชาของสำนักได้มีแนะนำเรื่องวิญญาณเอาไว้ ข้ารู้ว่าเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนคือคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ข้าเองก็เหมือนกัน เจ้าคงจำได้ว่าในเคล็ดวิชาบอกไว้ว่า คัมภีร์นี้เมื่อฝึกถึงขั้นบริบูรณ์ ในช่องเวททุกช่องจะสามารถสะกดวิญญาณของศัตรูได้กลุ่มหนึ่งใช่หรือไม่
“หลังจากสำเร็จขั้นบริบูรณ์แล้ว เจ้าใช้ช่องเวทสะกดวิญญาณศัตรู หลอมรวมมันไว้ด้วยกัน บรรจุเข้าไปในเรือใหญ่เวท ก่อเป็นวิญญาณของเรือใหญ่เวท ให้มันยกระดับกลายเป็นเรือศึกเวท!”
จางซานดวงตาฉายประกายลุกวาว
“นี่เป็นเรือลำแรกที่ข้าต่อได้ใกล้เคียงกับเรือศึกเวทมาก สวี่ชิง ในตอนที่เจ้าระเบิดเรือครั้งหน้า จำเอาไว้ว่าในตอนที่เก็บกวาดสนามต่อสู้ก็เก็บเศษซากบางอย่างกลับมาด้วย อย่าทิ้งไปทั้งหมด เจ้าเอากลับมาข้าจะได้รู้ถึงจุดบกพร่องของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น” จางซานมองสวี่ชิง
สวี่ชิงก็ตื่นตะลึงใจหวั่นไหวไปกับเรือเวทที่จางซานต่อขึ้นลำนี้เหมือนกัน เมื่อได้ยินก็พยักหน้าแรงๆ เขารู้สึกว่าจางซานพูดมีเหตุผลมากๆ ดังนั้นหลังจากที่พูดคุยกับจางซานถึงรายละเอียดแล้ว ก็เอ่ยลา
จวบจนเมื่อมองสวี่ชิงเดินจากไปไกลจนลับสายตา จางซานก็หาวออกมา ความเหน็ดเหนื่อยปรากฏออกมาชัดขึ้น ในช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไรเพราะต่อเรือเวทให้สวี่ชิง
ด้านหนึ่งเพราะมิตรภาพ ด้านหนึ่งคือจางซานคันไม้คันมือ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรือเวทที่ตนต่อขึ้น หลังจากที่สวี่ชิงระเบิดมันหลังจากสู้ศึกใหญ่แล้ว จะฉายส่วนที่ตัวเองร่วมออกแบบออกมาให้เห็น
“ครั้งที่แล้วเป็นเพราะทักษะของข้ายังไม่สมบูรณ์ ครั้งนี้ไม่แล้ว” จางซานได้ใจ สูบกล้องยาสูบ กลับไปพักผ่อน
สวี่ชิงจากไปอย่างพอใจ เขารู้สึกว่าจางซานไม่ควรอยู่ที่กรมขนส่งจริงๆ ทักษะของเขาอยู่ในระดับที่สูงมากเลยทีเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าจางซานพอใจกับชีวิตในตอนนี้ แม้จะยกระดับพลังบำเพ็ญช้า แต่สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจของจางซานเหมือนบอกกับเขาว่า สำหรับจางซานแล้ว ขอเพียงเขากับนายกองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นจางซานก็จะปลอดภัยไร้กังวล
“หากมีโอกาสจะต้องตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อเลย!”
สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ไปยังท่าเรือ
ในช่วงแรกของการสร้างเมืองเขาเลือกท่าจอดเรือของตัวเองแล้ว ตอนนี้เมื่อมาถึงก็ปล่อยเรือใหญ่เวท สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบก็เหยียบย่างขึ้นไป เปิดการอำพราง กลับเข้ามาในห้องเรือจากระลอกคลื่นโหมซัดของผิวน้ำ
เขามองไปรอบๆ ทุกอย่างไม่ต่างอะไรไปจากเรือใหญ่เวทของเขาก่อนหน้านี้เลย
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอย่างพอใจ ขณะที่ตัวเรือโคลงเคลงเบาๆ จิตใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลงจากอิทธิพลของความฝันนั้น
นั่งสมาธิอยู่นาน จวบจนกลางดึก สวี่ชิงลืมตาขึ้น สิ้นสุดการฝึกบำเพ็ญของวัน ตรวจสอบแมลงสีดำตัวจิ๋วที่กินวุ้นเซียนเข้าไปรุ่นนั้น หลังจากพบว่าพวกมันยังคงหลับสนิท สวี่ชิงก็เริ่มศึกษาวิชาเวทที่นายท่านเจ็ดถ่ายทอดให้
สำหรับเรื่องการฝึกบำเพ็ญ สวี่ชิงตั้งใจมาก มานะบากบั่นมาก
เวลาหมุนผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน
สามวันนี้สวี่ชิงไม่ได้ออกจากเรือเวท และไม่ได้ไปกรมคุ้มครองพิเศษ จิตใจของเขาจมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญและการศึกษาค้นคว้าเคล็ดวิชา ช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยสองของเขาก็เริ่มแตกร้าวแล้วเช่นกัน
จวบจนวันที่สาม สวี่ชิงที่กำลังนั่งสมาธิก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกตัวเรืออย่างเหนื่อยหน่าย มองไปในความมืดนอกเรือ
นายกองนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น โยนผิงกั่วเข้ามาในเรือใหญ่เวทของสวี่ชิง
เนื่องจากมีการป้องกัน ส่วนนายกองก็มีพลังแปลกประหลาดอัศจรรย์ ทำให้ผิงกั่วที่ถูกโยนมาสัมผัสเข้ากับการป้องกันก็ไม่ได้แหลกละเอียด แต่กระเด้งกลับไป
หลังจากมาถึงมือ เขาก็กินคำหนึ่ง แล้วโยนออกไปอีกครั้ง ท่าทางเหมือนสนุกมาก สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงเดินออกมา นายกองก็กวักมือ
“อาชิงน้อยคืนนี้มีธุระอะไรหรือไม่”
สวี่ชิงมองผิงกั่วที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือนายกองก่อนจะพยักหน้า
“มี”
“ไม่มีก็ดีแล้ว ไปทำเรื่องเล็กๆ อะไรกับข้าหน่อย ช่วงนี้ข้าขาดสภาพคล่อง คิดว่าจะขายนิ้วของเจ้าทึ่มหวงให้เขา ก่อนหน้านี้ได้หารือกันเอาไว้แล้ว เขาไปรวบรวมเงิน คืนนี้แลกเปลี่ยนกัน” นายกองตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ไปกับข้าเถอะ ช่วงก่อนหน้านี้เจ้ากลับบ้านข้ายังไปกับเจ้าเลย” นายกองกระแอมไอ
สวี่ชิงเดินออกมาจากเรือเวท หลังจากมาอยู่บนฝั่งแล้วก็เอ่ยถามว่า
“ทำการแลกเปลี่ยนที่ไหน”
“ที่ตีนเขาสำนักโลกันต์ทมิฬ” เมื่อนายกองเห็นสวี่ชิงรับปาก ก็ลุกขึ้นอย่างดีใจ ให้ผิงกั่วสวี่ชิงผลหนึ่ง โอบไหล่เขาก่อนจะเอ่ยอย่างลึกลับว่า
“อาชิงน้อย เป็นเจ้าที่มีความสัมพันธ์ดีกับพี่ใหญ่ เจ้าสามนั่นได้ยินข้าพูดแบบนี้ก็หนีหายไปไม่เห็นเงา เจ้าวางใจ พี่ใหญ่รักเจ้า ช่วงนี้ข้าขบคิดแผนการใหญ่แผนหนึ่ง ถึงตอนนั้นเดี๋ยวพวกเราไปด้วยกัน”
“ไปแลกเปลี่ยนที่นั่นท่านไม่กลัวเป็นกับดักหรือ” สวี่ชิงถาม
นายกองดวงตาฉายประกายตื่นเต้นยินดี เอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าก็กำลังวาดหวังเอาไว้อยู่เลย
“อีกทั้งหากเจ้าไปกับข้า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ตาแก่จะต้องมาแน่ๆ ถ้าข้าคนเดียวเขาคงขี้เกียจจะสนใจ” นายกองกะพริบตาปริบๆ
สวี่ชิงมองนายกองอย่างพินิจแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า
ไม่นานนัก ทั้งสองก็ฉวยโอกาสยามฟ้ามืดเดินทางไปจากท่าเรือ ตรงไปยังเขตของสำนักโลกันต์ทมิฬ พวกเขาเดินทางมาอย่างรวดเร็วตลอดทาง ยามเที่ยงคืนก็มาถึงตีนเขาสำนักโลกันต์ทมิฬ บริเวณที่นายกองและหวงอี้คุนนัดกันไว้
ตรงนี้เป็นศาลา ห่างไปจากตรงนี้ไม่ไกลก็คือสำนักโลกันต์ทมิฬ
สำนักโลกันต์ทมิฬสูงตระหง่านเสียดฟ้าท่ามกลางความมืด แม้จะมีแสงไฟประปรายแต่มองภาพรวมแล้วก็ยังคงมืดมิด ที่ยอดเขามีรูปแกะสลักอยู่ ภายใต้ดวงจันทร์เป็นภาพพื้นหลัง ก็ทำให้เค้าโครงของรูปปั้นชัดเจนขึ้นเป็นพิเศษ
นั่นเป็นรูปสลักของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ยืนอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองทะเลต้องห้าม
ต่อให้มีระยะห่างประมาณหนึ่ง แต่สวี่ชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากรูปปั้น น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าวัตถุชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
และทั้งสำนักโลกันต์ทมิฬก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความลึกลับ
จะอย่างไร หากพูดจากพื้นฐานแล้วยอดเขาลำดับเจ็ดก็เป็นสาขาย่อยแยกจากสำนักโลกันต์ทมิฬในตอนนั้น เคล็ดวิชาของพวกเขาก็มีจุดที่เหมือนกัน และประธานพันธมิตรคนปัจจุบันก็มาจากสำนักโลกันต์ทมิฬ เป็นศิษย์พี่ของบรรพจารย์ยุคนี้
เมื่อวันนั้นสวี่ชิงได้เห็นบรรพจารย์ยุคนี้อยู่ไกลๆ ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแวบหนึ่ง แต่ถูกบดบังอำพราง มองไม่ชัด
ตอนนี้ในขณะที่กำลังมองไปที่ไกลๆ นายกองก็ย่อตัวนั่งข้างๆ เอ่ยเสียงต่ำทุ้มว่า
“คำนวณเวลาดูแล้ว เจ้าทึ่มหวงน่าจะใกล้ถึงแล้ว”
สวี่ชิงเก็บสายตากลับมา รอกับนายกอง
เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป เงาร่างของหวงอี้คุนก็ยังไม่ปรากฏ นายกองเลิกคิ้วสูง ในตอนที่หยิบแผ่นหยกสื่อเสียงออกมาส่งสื่อเสียง พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าบนฟ้ามีเงาร่างหนึ่งเดินมาจากข้างนอกพันธมิตร
เงาร่างนี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ก้าวเข้ามาในค่ายกลพันธมิตรอย่างเงียบเชียบ เพียงก้าวเดียวก็มาถึงนอกสำนักโลกันต์ทมิฬ ขณะกำลังจะเข้าไปในสำนักก็เหมือนสังเกตเห็นสวี่ชิงกับนายกองที่ตีนเขาจึงหยุดชะงักกลางท้องฟ้า ก้มหน้ามองลงมา
หลังจากหยุดชะงัก รูปร่างหน้าตาของเขาก็ปรากฏ
เป็นสตรีที่งดงามน่าหลงใหล
ผมดำยาวทิ้งตัวอยู่ที่หลัง ใช้แถบผ้าสีชมพูรัดเอาไว้เบาๆ กระโปรงทอดาราสีม่วงระยิบระยับเป็นประกาย รอบๆ ยิ่งมีหมอกพรายรุ้งลอยอวลบางเบา ประดุจเทพเซียน หาใช่มนุษย์บนโลกโลกีย์
สตรีผู้นี้ใบหน้าขาวผุดผ่อง เอวคอดอรชร คิ้วเรียวบางคล้ายกลัดกลุ้มแต่ไม่กลัดกลุ้ม ดวงตาที่เหมือนปิติสุขยินดีแต่ก็ดูไม่ยินดี อายุเผินๆ เหมือนเด็กสาว แต่มองให้ละเอียดแล้วดวงตาของนางแฝงความสุขุมลุ่มลึกเหมือนหญิงสาว
คล้ายว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่นางไม่รู้ คล้ายว่าเพียงการเคลื่อนไหวเดียวของเจ้า นางก็รู้ว่าเจ้าคิดอะไร สิ่งที่เจ้าประสบพบเจอ นางล้วนเคยประสบพบเจอมาก่อน ชีวิตที่เจ้าไม่เคยมีไม่เคยประสบ นางประสบพบเจอมามากยิ่งกว่า
ตอนนี้บนท้องฟ้า สายตาของนางมองมาที่ตีนเขา จับจ้องมาที่ร่างของสวี่ชิง หัวเราะเบาๆ ก้าวเดินมาหา
หนึ่งก้าวอยู่กลางอากาศ หนึ่งก้าวมาอยู่ที่ตีนเขา พลังกดดันมหาศาลที่ไม่อาจบรรยายได้ก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างจากการมาเยือนของนาง ทำให้สวี่ชิงและนายกองต่างหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะถอยหลัง เสียงแผ่วเบาก็กังมาจากท้องฟ้า
“พวกเจ้าอย่าขยับ”
เพียงแค่ประโยคเดียวดุจดั่งคำสั่งประกาศิต นายกองร่างสั่นสะท้าน จำได้ว่าอีกฝ่ายคือบรรพจารย์ของสำนักโลกันต์ทมิฬ สมญานามจอมเซียนจื่อเสวียน
สวี่ชิงไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่าย แต่หัวใจของเขาสั่นสะท้านบ้าคลั่ง ร่างไม่อาจขยับได้เลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงหญิงสาวงดงามชวนหลงใหลคนนี้เดินมา เมินนายกอง ตรงมาอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง ลมหอมกรุ่นพัดกระจาย
ใบหน้าขาวเนียนละเอียดฉายความงามที่สั่นสะท้านวิญญาณและความเป็นผู้ใหญ่ ร่องรอยห้วงอารมณ์ในดวงตาของนางหายไป ฉายแววอย่างผู้ล่าจ้องมองเหยื่อออกมา
สายตาของหญิงสาวคนนี้ก็จับจ้องมาที่ดวงตาของสวี่ชิงขณะที่เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง แล้วค่อยๆ ไล่ลงมาที่ปาก ไหปลาร้า มายังหน้าอก มาถึงท้อง
สายตาของนางเหมือนหวานเชื่อม สง่างามช้าเนิบ
สุดท้ายก็ยกนิ้วเชยคางสวี่ชิงขึ้น พ่นลมหายใจหอมกรุ่น
“เด็กน้อย เจอกันอีกแล้ว เจ้ามาสำนักโลกันต์ทมิฬดึกดื่นเช่นนี้คือหลงทางมาหรือไร”