ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 281 ถ้ามีเรื่องผิดปกติจะต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่เป็นแน่
บทที่ 281 ถ้ามีเรื่องผิดปกติจะต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่เป็นแน่
คนรอบๆ ยากจะสังเกตเห็นรายละเอียดนี้ มีเพียงสวี่ชิงที่ใช้สิ่งประหลาดในเงาของตนเอง ตอนที่สังเกตจึงมักจะสนใจเงาของคนอื่นด้วย
และพริบตาที่สวี่ชิงมองไป เงาของเขาก็แผ่คลื่นอารมณ์ตื่นเต้นทันที
“กิน…พวก…เดียวกัน…”
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้บรรพจารย์สำนักวัชระอธิบาย สวี่ชิงก็เข้าใจสิ่งที่เจ้าเงาจะสื่อออก หรี่ตาลงเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยแช่มช้า
“ถ้ามีเรื่องผิดปกติจะต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่เป็นแน่
“โดยเฉพาะเรื่องขุดลอกน้ำ ไม่เหมือนว่าจะขุดจริงๆ แต่ดูเหมือนเพื่อดึงดูดความสนใจพวกเขามากกว่า”
นายกองเห็นภาพนี้ก็หัวเราะ สั่งการออกไป
“ช่วยเหลือหรือ น่าสนใจ พวกเจ้า ไปจับเจ้ารัฐเล็กๆ นี้มาถามหาสาเหตุเสียหน่อย เรื่องนี้ผิดปกติ ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้กฎเกณฑ์ของพันธมิตร”
ไม่นานนัก จากสายรุ้งยาวที่มาใกล้ ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตก็นำตัวชายชราร่างอ้วนในชุดคลุมสีเหลืองคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือ พริบตาที่มาถึง ชายชราคนนี้ก็ตัวสั่นเทิ้ม ทิ้งตัวคุกเข่า เอ่ยเสียงสั่นพร่า
“ท่านจอมเซียน โปรดช่วยรัฐเล็กๆ ของเราด้วย!!”
จากการร้องไห้คร่ำครวญของเจ้ารัฐคนนี้ สวี่ชิงกับนายกองก็ค่อยๆ เข้าใจสาเหตุ
รัฐแห่งนี้ มีชื่อว่ารัฐอ้อยอิ่ง
บรรพชนคืออดีตผู้บำเพ็ญสร้างฐานสำนักเล็กๆ คนหนึ่ง เนื่องจากหมดหวังจะทะลวงขั้น จึงอพยพมาที่นี่ จนกลายเป็นกลุ่มก้อน ภายหลังรวบรวมผู้ประสบภัย ค่อยๆ ก็กลายเป็นรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ชีวิตในแต่ละวันยากลำบาก แต่สำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งที่พึ่งพาอุทิศแด่ภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ภายใต้การคุ้มครองของภูเขาก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ และยังมีอาหารที่แฝงไอพลังประหลาดไว้ด้วย ก็ยังพอประทังชีวิตไว้ได้
แม้อายุขัยจะสั้นลง แต่ในโลกใบนี้ ก็ไม่มีอะไรให้ร้องขออีกแล้ว
แต่ทั้งหมดก็เปลี่ยนไปเพราะแม่น้ำสาขาของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนปรากฏขึ้น
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ในนั้นมีขั้วอำนาจปะปนกัน เดิมก็เป็นสถานที่ที่มีการฆ่าฟันกันไม่หยุด
การที่มีน้ำในแม่น้ำก่อให้เกิดการขยับขยายโครงสร้าง ดังนั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน สำนักเล็กที่เคยให้ความคุ้มครองพวกเขา ก็ถูกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดต่างเผ่าสามคนที่เป็นคนนอกล้างสำนัก
หลังจากสังหารจากชนชั้นสูงสู่ชั้นรากหญ้าจนหมดสิ้น ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดต่างเผ่าสามคนจึงยึดสถานที่นี้ไป
และเพราะศรัทธาเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าอนุไตรวิญญาณ ต้องการให้รัฐเล็กๆ ในบริเวณนี้ทั้งหมดส่งน้ำในแม่น้ำปริมาณมากแลกกับความสงบสุข
ถ้าหากส่งไม่ถึงเป้าตามเวลาที่กำหนด พวกมันก็จะมากินคนหนึ่งพันคนทุกวัน ท้ายสุดถ้าไม่กินหมดทั้งรัฐ ก็ต้องส่งน้ำในปริมาณที่เพียงพอให้
เห็นได้ชัดว่าอนุไตรวิญญาณนี้คว้าโอกาสที่พันธมิตรแปดสำนักอนุญาติเผ่ามนุษย์โดยนัย จึงมีความต้องการเช่นนี้
ถึงอย่างไรให้มนุษย์สามัญไปนำน้ำมา พันธมิตรแปดสำนักจะไม่ห้ามปราม
และปริมาณที่พวกเขาต้องการก็มหาศาล และไม่ขุดลอกน้ำมาอย่างโจ่งแจ้ง จึงมีแผนการนี้
“ตอนนี้พ้นกำหนดไปแล้ว อนุไตรวิญญาณพวกนั้นเข้ามาจับคนหนึ่งพันกินทุกวัน ตอนเช้าตรู่วันนี้เพิ่งกลับไป หากพรุ่งนี้ยังไม่เพียงพอ พวกเขาก็จะกลับมาอีก ข้าทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้แค่ขุดลอกน้ำเพื่อดึงดูดความสนใจของจอมเซียน” เจ้ารัฐนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญ แต่ก็แค่รวมปราณเท่านั้น
การคาดเดาก่อนหน้าของสวี่ชิงถูกต้อง การขุดลอกน้ำคือการขอความช่วยเหลือของพวกเขา
เวลานี้สายตาล้ำลึกของเขา กวาดไปที่เงาของเจ้ารัฐที่ตกกกระทบบนดาดฟ้าเรือ
หูซ้ายในเงาของอีกฝ่ายก็ไม่มีเช่นกัน
แต่จากมุมมองจึงเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะเจ้ารัฐคนนี้ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ รักษาท่าทีการเอียงหัวหันข้างไว้ตลอด จึงทำให้เงาของเขายิ่งมองออกได้ยาก
มีเพียงคนที่มีความตั้งใจเท่านั้น ที่จะเห็นรายละเอียดของเงาในพริบตาที่เขาโขกหัวลงพื้นได้
“อนุไตรวิญญาณหรือ” นายกองหรี่ตาลง ในดวงตาสวี่ชิงล้ำลึก พวกเขาทั้งสองคนมีประสบการณ์เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะนายกองที่เป็นพวกฉลาดทันคน ย่อมมองสิ่งที่เจ้ารัฐพูดออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
ส่วนสวี่ชิง สิ่งที่เจ้ารัฐคนนี้พูดมาคือเรื่องจริง แต่อีกฝ่ายยังปิดบังอะไรอยู่อย่างเห็นได้ชัด
ทว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้ตัดสินในทันที หลังจากถามถึงสถานที่ที่พวกอนุไตรวิญญาณอยู่ ก็ส่งศิษย์ออกไปค้นหา รออยู่หลายชั่วยาม หลังจากศิษย์กลับมารายงานข้อมูล นายกองก็ยิ้มมองสวี่ชิง
“ที่แกร่งที่สุดคือสร้างฐานไฟชีวิตสองดวงสามคน” นายกองยกมือขวาแตะบนเรือใหญ่ เปิดค่ายกลเรือ จากนั้นก็มีคลื่นอักขระไร้รูปร่างกางออกมาทันที กวาดไปรอบด้านในพริบตา
อาณาเขตที่ครอบคลุมกว้างมาก หลังจากที่นายกองปรับการระบุพื้นที่ และใช้ค่ายกลเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง ก็ยืนยันได้ว่าพื้นที่ที่ระบุ ไม่มีผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณ สอดคล้องกับข้อมูลที่ศิษย์ออกไปตรวจสอบด้านนอกทั้งหมด จึงพยักหน้าให้
“ค่ายกลตรวจสอบของพันธมิตรใช้งานได้ดีจริงๆ สวี่ชิง ให้คนออกไปทลายพวกอนุไตรวิญญาณเลยเถอะ” ระหว่างที่พูด นายกองก็จัดศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตด้านหลัง ให้พวกเขาออกไปจัดการเรื่องนี้
สวี่ชิงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะตามออกไปดูหน่อย”
นายกองยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมองสวี่ชิง ไม่ถามอะไรมาก พยักหน้าให้
“ต้องการให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่”
“ไม่ค่อยสะดวก” สวี่ชิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ส่ายหัว เขาไม่คิดจะปิดบังอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นสวี่ชิงรู้สึกว่าต่อให้นายกองยังไม่ทันสังเกตเห็นตอนนี้ พอจบเรื่องคิดทวนเสียหน่อยเดี๋ยวเขาก็ระแคะระคายเอง
ถึงอย่างไร ก็ห้ามดูถูกคนอื่นโดยเด็ดขาด
แทนที่จะจบเรื่องแล้วให้นายกองมาเดามั่วซั่ว ก็สู้บอกไปเลยว่าเป็นความลับของตนจะดีกว่า
การพิจารณาของสวี่ชิงไม่ผิด นายกองฟังคำสวี่ชิงจบ ก็ยิ้มละไม ไม่ถามอะไรอีก
สวี่ชิงร่างไหววูบ ย่ำอากาศออกไป ร้องเรียกศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตอีกนับร้อย ตรงไปยังภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยพร้อมกัน
ต่อให้ยืนยันไปหลายรอบแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาด แต่ด้วยนิสัยของสวี่ชิง ทำให้เขายังเรียกคนไปมากขึ้น
มองแผ่นหลังของสวี่ชิง สายตานายกองเผยความพึงพอใจ
“อาชิงน้อยไม่ได้เห็นข้าเป็นคนอื่นจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่สงสัย ทุกคนล้วนมีความลับของตนเองสินะ”
นายกองหยิบผิงกั่วออกมาลูกหนึ่ง กวาดตามองไปยังเงาใต้เท้าของเจ้ารัฐที่สั่นเทิ้มตรงหน้ารวมไปถึงหูซ้ายที่หายไปในเงานั่นด้วย หัวเราะออกมาเบาๆ ร้องเรียกให้หยุดเดินเรือ รอสวี่ชิงกลับมา
ตอนนี้เอง ท้องฟ้าเหนือภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย สวี่ชิงพาศิษย์ยอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตนับร้อย พุ่งหวีดหวิวไปด้วยความเร็วน่าตกตะลึง
สมาชิกเหล่านี้สามส่วนเป็นรวมปราณขั้นบริบูรณ์ ที่เหลือคือสร้างฐาน
คนที่จะเข้าร่วมกับกรมคุ้มครองพิเศษได้แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา จำเป็นต้องเป็นหัวกะทิในหัวกะทิ แม้ในบรรดาคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ก่อไฟชีวิต แต่คนที่มีไฟชีวิตหนึ่งดวงมีอยู่ยี่สิบกว่าคน ไฟชีวิตสองดวงหกคน ไฟชีวิตสามดวงหนึ่งคน
เจ้าใบ้ก็เป็นหนึ่งในนี้ พลังบำเพ็ญรวมปราณขั้นบริบูรณ์ แต่จิตสังหารของเขาเข้มข้นมาก ถ้าได้ลงมือคือไม่สนใจชีวิต ถือว่าโดดเด่นในกลุ่มผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณ
ขอบเขตเช่นนี้ เว้นเสียแต่จะพบกับแก่นลมปราณสองวังสวรรค์เท่านั้น เช่นนั้นก็พอจะปราบปรามได้
และหลังจากเข้าใกล้ ภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยก็สะท้อนในตาสวี่ชิงอย่างชัดเจน ด้านในเทือกเขานี้มีภูเขานับไม่ถ้วน ป่ารกทึบทั่วอาณาบริเวณ ตัวป่าภายใต้การสะท้อนของแสงยามเย็นก็ราวกับซุกซ่อนภูตผีเอาไว้ ดูแล้วเต็มไปด้วยความอึมครึม
กระทั่งพื้นดินอยู่ใต้ป่า แสงตะวันยังส่องเข้าไปได้ยาก มืดมิดไปหมด
บนพื้นบ้างเป็นดินโคลน บ้างเป็นร่องแตก ซ่อนความอันตรายและสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วนไว้
ตอนเพิ่งเข้าใกล้ สวี่ชิงก็ได้ยินคลื่นที่สิ่งประหลาดแผ่ออกมาจากป่าทึบที่ห่างออกไปไกลลิบ ไม่ใช่เป้าหมายการเดินทางนี้ของเขา แต่สวี่ชิงก็ยังมองไป ความชั่วร้ายวูบหนึ่งทะยานขึ้นมาจากทิศทางนั้นในพริบตา ปกคลุมกลุ่มสวี่ชิงรอบด้าน
สวี่ชิงสีหน้าปกติ เงาใต้เท้าแสยะยิ้ม
แทบจะพริบตาที่มันแสยะยิ้ม ความชั่วร้ายที่สิ่งประหลาดนี้ก่อตัวขึ้นก็สลายหายไปในพริบตา ราวกับว่าถูกทำให้ตกใจ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สวี่ชิงไม่สนใจ ทะยานตรงไปที่เป้าหมาย กลิ่นคาวเลือดวูบหนึ่งค่อยๆ ซ่านกำจายออกมาจากป่าทึบของภูเขาใหญ่สีดำ เห็นว่าบนต้นไม้ของที่นี่ แขวนศีรษะของมนุษย์และอสูรรวมถึงต่างเผ่าไว้มากมาย เลือดสดหยดลงไปบนโครงกระดูกเน่าเปื่อยใต้ต้นไม้
พื้นดินยังมีเนื้อเน่าจนกลายเป็นโคลนอยู่หลายแอ่ง
ทั้งหมดกำลังเลียนแบบสภาพเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองตำแหน่งกลางภูเขาที่ห่างออกไปอย่างเย็นชา ที่นั่นมีถ้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เสียงเอะอะดังออกมาจากในนั้น แผ่ก้องไปไกล
มีต่างเผ่าที่ดูโหดเหี้ยมบางตน แบกศพมนุษย์อสูรที่ย่างจนเกรียมหลายร่างเดินเข้าไปในถ้ำ
ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงสายตายิ่งเย็นเยียบ เอ่ยเสียงเรียบว่า
“เข้าไปสังหาร นอกจากตัวการหลัก สังหารทิ้งให้หมด!”
“ทราบ!” ศิษย์กรมคุ้มครองพิเศษร้อยกว่าคนด้านหลังเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายพุ่งตรงไปเบื้องหน้า เพียงพริบตาก็ไปถึงตำแหน่งปากถ้ำ
ต่างเผ่าที่กำลังแบกอาหารเหล่านั้นก็ตกตะลึงพรึงเพริด ไม่ทันได้ส่งเสียง ศีรษะก็หลุดลอย ขาดใจตายในพริบตา
คนที่ลงมือคือเจ้าใบ้ ในมือเขามีกริชเล่มหนึ่ง เวลานี้เลียเลือดบนกริช โน้มตัวต่ำพุ่งไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว พุ่งตรงไปยังปากถ้ำ
คนอื่นๆ ก็พุ่งไปเช่นกัน ชั่วขณะหนึ่งในถ้ำก็มีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังออกมา และมีเสียงกรีดร้องแหลมดังก้อง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ สาวเท้าเดินไป เหล็กแหลมสีดำลอยอยู่ด้านนอก เจ้าเงาแผ่ลามไปตามพื้น
จากการที่สวี่ชิงเข้าไปในถ้ำ ทุกแห่งที่เดินผ่านล้วนเป็นศพ
บางครั้งบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยิ้มเหี้ยมควบคุมเหล็กแหลมแทงร่างศพ ทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ ศพที่ถูกแทงก็จะกรีดร้องออกมา และตายสนิท
เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นพวกแกล้งตาย
ส่วนเจ้าเงาตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจพวกที่แกล้งตาย มันแผ่ความปรารถนาอย่างแรงกล้าออกมา นำทางสวี่ชิงเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำนี้
ไม่นาน หลังจากเสียงต่อสู้ด้านหน้าเงียบไป สวี่ชิงก็เดินมาถึงส่วนลึกสุดในถ้ำ
ที่นั่นมีวิมานขนาดใหญ่อยู่ มองเห็นโพรงขนาดจั้งกว่าอยู่ด้านบน ซึ่งเห็นท้องฟ้าราตรีที่แสงยามเย็นด้านนอกเพิ่งลาลับไป
บนพื้นมีเครื่องเรือน อาหารรวมถึงศพของต่างเผ่ามากมายกระจัดกระจายระเกะระกะไปหมด
ศิษย์กรมคุ้มครองพิเศษอยู่ที่นี่กันหมด จับเป็นต่างเผ่ายี่สิบกว่าคนมาสะกดคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
ในดวงตาต่างเผ่าเหล่านี้ล้วนเผยความตะลึงพรั่นพรึง ในนี้มีสามคนที่มีพลังบำเพ็ญไฟชีวิตสองดวง ตอนนี้บาดเจ็บสาหัส จ้องมองสวี่ชิงที่เดินมาหาพวกเขาอย่างหวาดกลัว
“ท่าน พวกข้า…” คนที่พูดคือผู้บำเพ็ญที่ผมเป็นเปลวเพลิง มีเกล็ดเต็มตัว และเป็นหนึ่งในไตรวิญญาณที่พลังบำเพ็ญสูงสุดของที่นี่
สวี่ชิงไม่สนใจ โบกมือ คนที่พูดยังไม่ทันพูดจบ หัวก็ระเบิดในพริบตา ดับดิ้นทันที
ภาพนี้ทำให้ต่างเผ่าคนอื่นที่ถูกคุมตัวอยู่ พากันสูดปาก หวาดกลัวถึงขีดสุด ไม่กล้าพูดอะไร
สวี่ชิงก็ไม่พูด กวาดสายตาเรียบนิ่งไปบนเงาของต่างเผ่าเหล่านี้ทีละคน ท้ายสุดก็ไปหยุดอยู่ที่ต่างเผ่าที่มีปีกด้านหลังคนหนึ่ง
ต่างเผ่านี้คืออันดับสองของไตรวิญญาณ
เขามองสวี่ชิงอย่างสั่นเทา เมื่อจะพูด แต่พริบตาต่อมาสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว และไม่รู้ว่าหลุดจากพันธนาการได้อย่างไร ไหววูบทะยานหนีไปทางปากถ้ำด้านบน
รวดเร็วยิ่ง
แต่ในตาเขากลับเผยความไม่อยากเชื่อและความสะพรึง เหมือนว่าสิ่งที่ควบคุมร่างกายอยู่ ไม่ใช่เจตจำนงของตนเอง
และไม่ใช่เงาของสวี่ชิง
แต่เป็นเงาของต่างเผ่าคนนี้เอง!