ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 282 นาย…ข้าเชื่อฟัง…
บทที่ 282 นาย…ข้าเชื่อฟัง…
ประกายเย็นเยือกฉายวาบขึ้นในดวงตาสวี่ชิง ร่างไล่ตามออกไปทันที เจ้าเงายิ่งแผ่ลามออกไปอย่างไร้รูปร่าง อ้าปากมหึมาที่คนนอกมองไม่เห็น มาพร้อมด้วยความกระหายและบ้าคลั่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขมือบกลืนกินต่างเผ่าที่หลบหนีตนนั้นอย่างดุดัน
ต่างเผ่าตนนั้นเพิ่งจะทำการโจมตีกลับ แต่ความแตกต่างของพลังบำเพ็ญทั้งสองฝ่ายมหาศาลนัก ทำให้เขาไม่อาจต้านทานได้ เพียงพริบตาสวี่ชิงก็ไล่ตามทัน แล้วคว้าคอของเขาเอาไว้
ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประประโยชน์ รู้สึกเพียงเปลวไฟมหาศาลไหลตามมือสวี่ชิงทะลักเข้ามาในร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน เจ้าเงาของสวี่ชิงตอนนี้ก็มาพร้อมความเหี้ยมโหดและปรารถนามหาศาล เข้าปกคลุมไปที่เงาของต่างเผ่าตนนี้
เสียงกรีดร้องคำรามที่คนนอกไม่ได้ยินพลันดังออกมาจากเงา
“ฆ่าล้างที่นี่ให้หมด กลับเรือไปรอข้า” สวี่ชิงทิ้งไว้ประโยคหนึ่งก็คว้าต่างเผ่าที่อยู่ในมือพุ่งไปยังถ้ำสวรรค์บนฟ้า ไปจากที่นี่ทันทีท่ามกลางเสียงขานรับอันเคร่งขรึมของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ข้างนอกตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้ว สวี่ชิงคว้าต่างเผ่าตนนั้น ความเร็วน่าตื่นตะลึง มาถึงยังยอดเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หลังจากสำรวจรอบๆ แล้วก็ก้มหน้า มองเงาใต้แสงจันทร์ของต่างเผ่าที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาฉายความสิ้นหวังออกมาอย่างเย็นชา
เงาของมันบิดเบี้ยว ดิ้นรนไม่หยุด ในครรลองสายตาสวี่ชิง เงาของตัวเขาเองก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายกำลังฉีกทึ้งกัดกินกัน เหมือนศัตรูคู่อาฆาต
ระลอกคลื่นชั่วร้ายและบ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากในเงาของต่างเผ่า ความรู้สึกประเภทนี้เหมือนกับครั้งแรกที่สวี่ชิงได้เจอกับเจ้าเงาในป่าฐานที่มั่นคนเก็บกวาดตอนนั้น
เต็มไปด้วยความคิดอันป่าเถื่อนและดุร้าย
จวบจนเมื่อสวี่ชิงสยบกำราบเจ้าเงาหลายครั้งความป่าเถื่อนดุร้ายนี้ถึงได้หายไปแปรเปลี่ยนมาเชื่อฟังในภายหลัง แต่สวี่ชิงรู้ว่ามันยังมีความพยศดื้อดึงในสันดานอยู่โดยตลอด
‘แม้สิ่งประหลาดที่เหมือนกับเจ้าเงาในโลกนี้จะพบเห็นได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริงๆ ด้วย’ สวี่ชิงพึมพำในใจ สายตาผละจากเจ้าเงามาจับจ้องที่ร่างของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าตนนี้
อีกฝ่ายน่าจะเหมือนตน ถูกเงาโจมตีในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต แต่สิ่งที่ต่างกันคือเขาเป็นนาย ส่วนอีกฝ่ายเป็นทาส
“หากไม่มีผลึกวารีสีม่วง เกรงว่าในป่าฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ในเสี้ยวพริบตาที่ได้เจอเจ้าเงาในวันนั้น ข้าก็คงไม่ใช่ข้าแล้ว” สวี่ชิงพึมพำ เพราะเขาเห็นในกายของต่างเผ่าตนนี้ ไอพลังประหลาดไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญคนอื่นเลย
ไม่เหมือนกับตนที่ไม่มีไอพลังประหลาดเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่านี่คือหนึ่งในข้อแตกต่างของนายกับทาส
สยบเงาไม่ได้ก็ทำได้เพียงถูกควบคุมเท่านั้น เป็นเหมือนกระดองที่แท้จริงของมัน เมื่อมันนึกอยากสวม ก็สวมได้ทุกเวลา
ตอนนี้สวี่ชิงปรายตามองเงาของตัวเองที่ยังกำลังโรมรันพันตูกัดทึ้งอีกทั้งยังเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนแวบหนึ่ง แสงสีม่วงในกายพลันฉายประกายวาบ พลังสะกดพุ่งออกไปทันที
ครั้งนี้ไม่ได้พุ่งไปที่เจ้าเงา แต่พุ่งไปที่เงาของต่างเผ่าตนนั้น
ผลึกแก้วสีม่วงมีพลังควบคุมเงาสิ่งประหลาดประเภทนี้อันแข็งแกร่ง ตอนนี้ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว เงาของต่างเผ่าตนนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนที่มีเพียงสวี่ชิงและต่างเผ่าตนนั้นที่ได้ยิน
เจ้าเงาฮึกเหิมทันที กู่ร้องอย่างยินดีปรีดา ส่วนเงาของต่างเผ่าตนนั้นกลับดุดันบ้าคลั่ง กระโจนมาหาสวี่ชิงทันที คิดจะกลืนกินเขา
สวี่ชิงสีหน้าเย็นชา ขณะสะบัดมือแสงสีม่วงก็ส่องกะพริบสะกดไปอีกครั้ง สะกดไปติดๆ สิบเจ็ดครั้ง
ทุกครั้งล้วนทำให้เงาของต่างเผ่าร้องโหยหวนน่าสังเวช สุดท้ายก็แผ่ความหวาดกลัวออกมา ล่าถอยไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนล้า แต่ถอยไปได้ไม่ไกล แสงสีม่วงก็รวมที่หน้าอกสวี่ชิงอย่างรวดเร็วแล้วสะกดไปอีกครั้ง
การสะกดครั้งนี้ไม่ได้หายไปในทันที แต่ถูกสวี่ชิงควบคุมสะกดเอาไว้บนพื้น ทำให้มันหนีไปไม่ได้ ท่ขณะที่ดิ้นรนก็ร้องโดยหวน ยิ่งแผ่จิตขอร้องอ้อนวอน
ส่วนเจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเห็นเรื่องราวโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นกับตัวเองบนร่างคนอื่นครั้งแรก ก็เหมือนว่าจะเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง ส่งระลอกคลื่นอารมณ์ประจบประแจงไปหาสวี่ชิงอย่างน่าประหลาด
สวี่ชิงย่อตัวลง มองเงาของต่างเผ่าที่ถูกสะกดภายใต้แสงจันทร์อย่างละเอียด รูปร่างของอีกฝ่ายเหมือนกับเจ้าเงาของตน ตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นรูปต้นไม้ที่มีดวงตาเต็มไปหมด ในดวงตาทุกคู่ล้วนฉายความหวาดกลัวออกมา
สวี่ชิงคิดๆ ในใจชั่งน้ำหนักว่าจะผนึกอีกฝ่ายไว้ในผลึกแก้วสีม่วงเหมือนเจ้าเงาหรือไม่ แต่เขา…ทำไม่ได้ จึงยกมือแตะแล้วล้วงเข้าไปในเงาต่างเผ่า ในขณะเดียวกับที่สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นก็ลองกระตุ้นผลึกแก้ว แต่ก็ยังทำไม่ได้
หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงก็สะบัดมือ เหล็กแหลมสีดำพุ่งออกมา ทะลุผ่านศีรษะของต่างเผ่าตนนี้อย่างรวดเร็ว มันตายทันที
สวี่ชิงนึกถึงตอนนั้นหลังจากที่หมาป่าเกล็ดดำตาย เงาของมันถึงได้กระโจนมา ตอนนี้สังหารต่างเผ่าตนนี้แล้ว เขาลองสยบอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้เช่นเดิม
แต่เจ้าเงาไม่รู้เรื่องนี้ เหมือนตระหนักได้ถึงความคิดสวี่ชิงได้ มันสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ส่งระลอกคลื่นชัดเจนแสดงความร้อนรน
“นาย…ข้าเชื่อฟัง…ไม่…”
บรรพจารย์สำนักวัชระอยู่ในเหล็กแหลม มองภาพนี้ก็สะกดความวู่วามที่จะแปลออกมา
สวี่ชิงหันมองเจ้าเงาแวบหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดก็เอ่ยราบเรียบ
“เห็นแก่ความชอบที่เจ้าเคยสร้าง วันนี้ข้าจะไม่ผนึกมันแทนที่เจ้า เจ้าจำเอาไว้ ความชอบที่สร้างเมื่อก่อนหน้านี้หักล้างหมดจากนี้หากไม่มีคุณงามความชอบ ครั้งหน้า…ข้าจะเปลี่ยนเจ้า” เสียงของสวี่ชิงสงบนิ่ง แต่เมื่อดังขึ้นในใจของเจ้าเงาแล้ว มันก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ส่ายหน้าบ้าคลั่งตัวสั่นงันงก
บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในเหล็กแหลมดำมองภาพฉากนี้ในใจก็เบิกบานเหลือเกิน ยิ่งมีความความรู้สึกพอใจที่ไม่อาจบรรยายได้อย่างหนึ่ง ดวงตาทั้งสองก็ฉายประกายแสง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว
เจ้าเงาตั้งสติขึ้นได้รีบกะพริบตา จากนั้นก็ทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มันตกอยู่ในความลนลานถูกปฏิกริยาของสัญชาตญาณเกี่ยวกับถูกผิดที่บรรพจารย์สำนักวัชระฝังเอาไว้ในตอนนั้นควบคุมพฤติกรรม
ดีที่มันยังมีระลอกคลื่นอารมณ์
ตอนนี้มันรับประกันอย่างบ้าคลั่ง
สวี่ชิงถึงได้พยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ
“กลืนกินมันเสีย” สวี่ชิงพูดพลางลุกขึ้น แต่ไม่ได้เลิกการสะกด ดังนั้นแล้วท่ามกลางเสียงโหยหวนที่ยังคงดังต่อไป เจ้าเงาก็อ้าปากมหึมากลืนกินอย่างบ้าคลั่ง
เหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปหนึ่งก้านธูป เงาของต่างเผ่าก็ถูกเจ้าเงาของสวี่ชิงกลืนกินจนเกลี้ยง จากนั้นมันก็เรอออกมา แผ่ระลอกอารมณ์ประจบประแจงมาหาสวี่ชิง
เห็นได้ชัดว่าระลอกคลื่นอารมณ์ของตัวมันแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก ไม่เพียงแต่มีดวงตาที่ยังไม่ลืมขึ้นแต่มีรอยแยกปรากฏขึ้นมา ในเงาต้นไม้นี้ยังมีดอกตูมผลิออกมาจำนวนหนึ่งด้วย
“เวลา…ดูดซับ…แข็งแกร่ง…”
สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงมองมาที่ตัวเอง เจ้าเงารีบส่งระลอกจิตเทพออกไป
สวี่ชิงดึงสายกลับมา มองไปทางเขาอนุไตรวิญญาณที่อยู่ไกลๆ ผลเก็บเกี่ยวของครั้งนี้เขารู้สึกว่าพอใช้ได้ ตอนนี้ร่างเพียงไหววูบก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาว พุ่งตรงไปที่ไกล
ไม่นานนักสวี่ชิงก็มาถึงแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ กลับมาที่เรือใหญ่อีกครั้ง เห็นนายกอง
เจ้ารัฐเล็กๆ คนนั้นไม่อยู่บนเรือแล้ว ลูกศิษย์ที่ติดตามสวี่ชิงก่อนหน้านี้ก็กลับมาตั้งนานแล้ว
“เรียบร้อยแล้วหรือ” นายกองมองสวี่ชิงอย่างจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง
สวี่ชิงพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี” นายกองไม่ได้ถามอะไรต่อ บิดขี้เกียจ หนุนมือทั้งสองนอนบนพื้นกระดานเรือ ทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิ หลับตากำหนดลมหายใจ
ลมราตรีพัดเอาเส้นผมของพวกเขาปลิว ในขณะที่ลอยละล่อง จากการที่เรือเคลื่อนไปข้างหน้า เสียงน้ำเหมือนการแสดงดนตรีจากธรรมชาติ จากสายลมที่โอบล้อมก็ลอยไปไกลเรื่อยๆ
เวลาไหลผ่านไป เพียงพริบตาก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว เรือใหญ่ของกรมคุ้มครองพิเศษก็ดำเนินภารกิจลาดตระเวนแม่น้ำเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหตุที่เร็วเช่นนี้เพราะเรือของพันธมิตรน่าตื่นตะลึงมาก ไม่ใช่แค่พลังโจมตีสังหารและป้องกันเท่านั้น ด้านความเร็วก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน
อีกทั้งสำนักเล็กๆ รัฐเล็กๆ ที่ใจกล้าขุลอกน้ำมีน้อยมาก อีกทั้งครั้งนี้ก็เป็นการลาดตระเวนครั้งแรกของพันธมิตร ดังนั้นทุกอย่างนับว่าสงบเรียบร้อยดี ความเร็วย่อมเร็วยิ่งขึ้น
การฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงก็เช่นเดียวกัน ในที่สุดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยสองของเขาก็ทะลวงเปิดมันได้ในวันนี้ ทำให้พลังเวทของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ส่วนนายกอง นับจากที่เมื่อครึ่งเดือนก่อนกินปลาวิญญาณไปไม่กี่ตัวก็ชื่นชอบมันขึ้นมา ทุกวันเปลี่ยนวิธีกินปลาต่างๆ นานา สวี่ชิงกินอยู่หลายครั้ง พบว่ารสชาติก็ไม่เลวจริงๆ
ดังนั้นแล้วทั้งกองเรือก็เริ่มจับปลามากิน
ตอนนี้นายกองนั่งข้างๆ สวี่ชิง ทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย
“อาชิงน้อย…
สวี่ชิงลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย สะบัดมือแผ่เพลิงพิฆาตวิญญาณออกไป นายกองรีบวางปลาไปบนนั้น พลิกย่างอย่างชำนาญ ปากก็เอ่ยอย่างกระดี๊กระด๊า
“เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกไม่เกี่ยวกับไฟ ต่อให้ก่อวิชาไฟได้ แต่เอามาย่างปลารสชาติก็ด้อยลงไปเยอะ เป็นไฟพิฆาตของอาชิงน้อยที่เยี่ยมยอดทำให้ปลาวิญญาณนี่เมื่อกินแล้วมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์”
สวี่ชิงไม่สนใจ กำลังจะกลับตาทำสมาธิต่อ แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป นายกองก็พลันเงยหน้าขึ้นเช่นกัน ทั้งสองมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน
ปลายขอบฟ้าไกลมีสายรุ้งยาวสองทาง หนึ่งอยู่ข้างหน้า หนึ่งอยู่ข้างหลัง กวดไล่ล่าอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่ข้างหน้าเป็นชายชราผมแดง หน้าอกของชายชราเลือดเนื้อเหวอะหวะ มีบาดแผล
เขามีใบหน้าดำเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เนื่องจากสีผิวและความเหี้ยมโหดของสายตา ทำให้เขาดูแล้วเหี้ยมเกรียมเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่หลบหนีวังสวรรค์สีดำสองวังที่เหนือศีรษะเขาก็แผ่รัศมีอำนาจสะท้านไปทั่วสารทิศออกมา น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง
ทุกที่ที่เขาผ่านข้างล่างเป็นรัฐเล็กๆ ต่างเผ่ารัฐหนึ่ง เขายกมือขวาแล้วพลันตวัดดึง ในรัฐเล็กๆ ก็มีต่างเผ่าจำนวนเกือบหมื่นลอยมา ทุกตนสีหน้าสิ้นหวังเลือดไหลออกทั้งเจ็ดทวาร หลั่งทะลักแปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำเลือดพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า ในยามที่มาอยู่ในมือของชายชราหน้าดำผมแดงคนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นลูกกลอนเลือดเม็ดหนึ่ง เขากินมันลงไป บาดแผลที่หน้าอกก็ฟื้นฟูด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นมาเล็กน้อย
ในยามที่จะลงมือต่อ ข้างหลังก็มีปราณกระบี่ท่วมฟ้าทางหนึ่งพุ่งมา ทำให้ปีศาจเฒ่าตนนี้คำรามเสียงต่ำออกมา จำต้องหยุดมือ เร่งความเร็วหนี
ส่วนต่างเผ่าที่ถูกเขาสูบเลือดกว่าครึ่งออกมาพวกนั้นก็ร่วงลงพื้น มีทั้งตาย มีทั้งบาดเจ็บ
ผู้ซัดปราณกระบี่มาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีขาว ข้างหลังมีกระบี่ใหญ่ยี่สิบเจ็ดเล่มล้อมเป็นวงหมุนวนอยู่ตลอดเวลา แผ่ปราณกระบี่เป็นทางๆ โจมตีปีศาจเฒ่าที่อยู่ข้างหน้า
และชายหนุ่มคนนี้ก็หน้าตาหล่อเหลา คิ้วราวคมกระบี่ ดวงตาราวดวงดารา ตอนนี้ในยามที่เขาก้าวออกไปผมยาวปลิวพริ้ว และสิ่งที่ดึงดูดสายตาในตัวของเขามาที่สุดคือสัญลักษณ์ที่ปักบนชุดของเขา
สัญลักษณ์นี้เป็นรูปดอกจื่อจิง[1]ดอกหนึ่ง!
“ดอกจื่อจิง! นี่คือผู้ครองกระบี่!” นายกองเมื่อเห็นภาพฉากนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
[1] ดอกชงโค