ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 286 หมุดสวรรค์สะกดอสรพิษปีศาจ
บทที่ 286 หมุดสวรรค์สะกดอสรพิษปีศาจ
ของล้ำค่าของสำนักโลกันต์ทมิฬเล็กคือแผ่นหินที่สลักภาพฝาผนังเอาไว้
ภาพฝาผนังที่ดูแล้วธรรมดามากๆ แล้วก็ธรรมดามากๆ จริงๆ แผ่นหนึ่ง
แต่เนื้อหาที่สลักอยู่บนภาพฝาผนังกลับไม่ธรรมดาเลย บนนั้นมีภาพอสูรมังกรอสรพิษตัวหนึ่ง อสูรตัวนี้ลำตัวยาวมาก ดูเหมือนอสรพิษแต่ที่หลังมีปีกเนื้อหกคู่
หัวเหมือนจระเข้ ดูแล้วเหี้ยมเกรียมเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้แค่สลักเอาไว้บนภาพฝาผนังแต่ความดุดันเหี้ยมเกรียมท่วมฟ้าก็ยังคงปะทะหน้ามา
ในภาพ มันถูกหมุดมหึมาเล่มหนึ่งตรึงหางเอาไว้อย่างแน่นหนา ในขณะเดียวกับที่ควบคุมการเคลื่อนไหว โซ่เส้นหนาเส้นหนึ่งด้านหนึ่งเชื่อมกับหมุด อีกด้านหนึ่งถูกผสานเข้าไปในหัวของอสูรมังกรอสรพิษตัวนี้
เช่นนี้แล้ว หัวและหางของมังกรอสรพิษตัวนี้ล้วนถูกพันธนาการ แต่มันกลับไม่อาจตายง่ายๆ และบนร่างของมันก็ถูกผ่าเป็นบาดแผลยาว เผยให้เห็นเอ็นและกระดูกในนั้น
เห็นได้ว่าบนเอ็นและกระดูกต่างถูกสลักผนึกพันธนาการเอาไว้ถี่ยิบ น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งเหล่านี้ในภาพฝาผนังมากพอจะให้ใครก็ตามที่เห็นเข้าใจว่ามังกรอสรพิษตัวนี้ชีวิตที่เหลืออเนจอนาถน่าสังเวชเหลือทน มันทำได้แค่ดิ้นรน ทำได้แค่ร้องคำราม แต่ก็ไร้ประโยชน์ เห็นได้ว่า…คนที่ตอกหมุดมัน จะต้องเกลียดมังกรอสรพิษตัวนี้เข้ากระดูกดำอย่างแน่นอน
ทั้งๆ ที่ฆ่าได้ แต่กลับจะทรมานมัน ให้มันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงและนายกองประหวั่นพรั่นพรึงคือในตาของอสรพิษตัวนี้ คนที่สลักภาพยังสลักดวงดาวหมุนวนเอาไว้ด้วย มองให้ละเอียดแล้วเหมือนดวงดาวนับหมื่นซ้อนทับ
นี่คือขั้นที่สองของหวนสู่อนัตตาขั้นใหญ่!
สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง สายตาของนายกองก็มองไปทางสวี่ชิงทางนั้นเหมือนกัน จากนั้นก็กวาดตามองชายชราไปพร้อมกัน
“ของชิ้นนี้คืออะไร” นายกองถาม
“นี่ก็คือสิ่งที่แสดงว่าสำนักโลกันต์ทมิฬของเราเกี่ยวพันกับจักรพรรดิเสวียนโยวไงล่ะขอรับ ในอดีตเนิ่นนานมา จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวยังไม่ได้รวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง ท่านมาพร้อมกับหน้าที่ เหยียบย่างผ่านทะเล ก้าวขึ้นมายังแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เริ่มชีวิตอันเป็นตำนาน” ชายชรารีบอธิบาย
“ครั้งแรกที่มาเยือน ดินแดนที่จักรพรรดิโบราณเหยียบย่างก็คือมณฑลรับเสด็จราชันในตอนนี้ และในระหว่างทางที่เดินทางมา ในเสี้ยวพริบตาที่ขึ้นฝั่ง อสรพิษปีศาจที่สร้างภัยพิบัติความวุ่นวายให้กับที่นี่ตัวหนึ่ง ไม่ยอมสยบต่อจักรพรรดิโบราณ กัดท่านอย่างไม่รู้จักดีชั่วไปครั้งหนึ่ง
“ตอนนั้นแม้จักรพรรดิโบราณจะยังไม่บรรลุมหามรรคา แต่สะกดปีศาจอสรพิษชั้นต่ำตัวนี้ก็ยังง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ สุดท้ายจักรพรรดิโบราณใช้หมุดสวรรค์เล็มหนึ่ง ตอกอสรพิษปีศาจตัวนี้ไว้ที่ริมฝั่งมณฑลรับเสด็จราชัน ทั้งยังประทับตราผนึกพันธนาการเอาไว้ในเอ็นและกระดูกทรมานมัน ขณะเดียวกันก็หัวเราะพูดคุยกับสหายว่า กัดเขาหนึ่งครั้งก็จะสะกดอสรพิษปีศาจตัวนี้แสนปี
“นอกจากนี้จักรพรรดิโบราณตอนนั้นยังทิ้งบทกวีเอาไว้อีกบทด้วย
“หมุดสวรรค์สะกดอสรพิษปีศาจ หมื่นกฎเกณฑ์หลอมฟ้าดิน!” พูดถึงจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว แม้ชายชราจะถูกนายกองเหยียบอยู่กับพื้นแต่สีหน้าก็ยังฉายความภาคภูมิใจอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่
“กัดหนึ่งครั้งก็ผ่าท้องประทับตราผนึกพันธนาการให้มันทรมานทุกข์ทนสะกดเอาไว้แสนปีหรือ จิตใจคับแคบขนาดนี้เชียว” นายกองสีหน้าแปลกประหลาด มองสวี่ชิงอย่างอดไม่ได้ ส่งกระแสจิตไป
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ข้าว่าเจ้าใจคอคับแคบที่สุดแล้ว ตอนนี้ท่าทางเจ้าต้องพยายามขึ้นแล้วล่ะ” นายกองกะพริบตาปริบๆ มีคนนอกอยู่เขาไม่มีทางเรียกชื่อสวี่ชิงออกมา แต่ส่งกระแสจิตก็ไม่เป็นไร
“นายกอง ชาติที่แล้วท่านเป็นอสรพิษตัวนั้นกระมัง” สวี่ชิงย้อนด้วยสีหน้าเป็นปกติ
นายกองเลิกคิ้ว หัวเราะหึๆ หันไปเหยียบท้องของชายชรา พูดขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดว่า
“สมบัติของสำนักเจ้าก็มีแค่ภาพฝาผนังนี่หรือ ในเมื่อมีภาพฝาผนังเช่นนั้นตำแหน่งของอสรพิษที่ถูกตอกนั่นก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ” พูดจบ นายกองกวาดสายตามองรอบๆ มองไม่เห็นว่ามีตำแหน่งใดที่เหมือนกับภาพสลักฝาผนัง
สำหรับคำถามนี้ ชายชรากระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาเห็นว่าลูกศิษย์สำนักบนสองคนนี้หาใจดีไม่ ไม่กล้าปกปิด ทำได้แค่เพียงถอนหายใจ
“ไม่อยู่ที่นี่ขอรับ”
“อยู่ที่ใด” สวี่ชิงถามไปประโยคหนึ่ง ในใจเดาได้รางๆ
“อยู่ในแดนต้องห้ามสำนักโลกันต์ทมิฬของพวกท่านพันธมิตรแปดสำนักขอรับ” ชายชราตอบตามจริง
นายกองได้ยินก็หัวเราะ
“ภาพฝาผนังล้ำค่าของสำนักพวกเจ้า สลักเอาไว้ในแดนต้องห้ามสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งพันธมิตรหรือ”
ชายชรากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม หัวเราะขื่นพูดขึ้นว่า
“ความจริงแล้วในมณฑลรับเสด็จราชัน ถึงพวกเราจะเป็นสำนักโลกันต์ทมิฬที่ดั้งเดิมที่สุด ปฐมบรรพจารย์ในตอนนั้นรับคำสั่งของจักรพรรดิโบราณสะกดสะกดอสรพิษปีศาจตัวนั้น ให้มันเจ็บปวดเพิ่มขึ้นหนึ่งชุ่นในทุกปี
“เวลาก็ได้หมุนผ่านไปเช่นนั้น แม้ระหว่างนั้นจะขาดช่วงไปหลายครั้ง แต่ก็นับว่าสืบต่อมาได้ จนเมื่อถึงอาจารย์ข้า…ตอนนั้นได้พบกับเซียนจื่อเสวียนสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งพันธมิตรของพวกท่าน ซึ่งก็คือจอมเซียนจื่อเสวียนในตอนนี้ อาจารย์ข้าเห็นเพียงแวบเดียวก็มองออกได้ทันทีว่าจอมเซียนจื่อเสวียนมีอนาคตไกลแน่นอน
“ดังนั้นท่านอาจารย์จึงยอมมอบพื้นที่เดิมของสำนักให้อย่างเต็มใจ และมอบภารกิจนี้ให้กับอีกฝ่าย จากนั้นก็พาพวกเรามาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่อย่างอิสระเสรี ใช้ชีวิตที่งดงามสุขสงบไร้การแก่งแย่งชิง และได้จากโลกนี้ไปเมื่อสามสิบปีก่อน…”
สวี่ชิงมองลูกศิษย์ที่ซูบซีดรอบๆ แล้วมองไปยังชายชราที่กล้าๆ กลัวๆ เงียบนิ่งกับคำพูดของเขา
นายกองมองชายชราด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ชายชรากระอักกระอ่วน ไม่รู้ควรจะพูดอะไร
“อาจารย์ของเจ้าแซ่เจ้าใช่หรือ ชื่อเจ้าจงเหิงใช่หรือไม่” หลังจากนั้นครู่หนึ่งนายกองก็กระแอมแล้วเอ่ยถาม
“เอ๋ ท่านอาจารย์ไม่ได้แซ่เจ้านะขอรับ” ชายชราอึ้งไปเล็กน้อย
นายกองส่ายหน้า ยกเท้าที่เหยียบบนร่างของชายชรา รู้สึกว่ารังแกพวกเขาไม่ค่อยดีเท่าไร น่าสงสารเกินไปแล้ว
จึงถามเรื่องเกี่ยวกับอสรพิษตัวนั้นให้ละเอียดอีกครั้ง
“พื้นที่เดิมนั่นคือพื้นที่รากฐานของสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งแปดสำนัก ข้าไม่เคยไป แต่เคยได้ยินอาจารย์บอกว่าในพื้นที่เดิมเต็มไปด้วยพลังวิญญาณน่ากลัว
“ความเข้มข้นของวิญญาณมีส่วนช่วยด้านการบำเพ็ญไม่น้อยเลย ดูดแค่ทีเดียวก็ได้ประโยชน์อย่างมหาศาล
“อีกทั้งแม้อสรพิษตัวนั้นกายเนื้อจะตายไปแล้วเหลือเพียงกระดูก แต่อาจารย์บอกว่า ความจริงแล้วอสรพิษปีศาจตัวนั้นยังไม่ได้ตายจริงๆ วิญญาณของมันยังอยู่ เพียงแต่อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง อยู่ในสภาวะหลับลึก ดังนั้นพลังวิญญาณที่ดูดซับได้เหล่านั้นล้วนเป็นพลังวิญญาณที่มันแผ่ออกมา
“ผนึกของจักรพรรดิโบราณไม่ได้ตอกแค่กายเนื้อของอสรพิษปีศาจเท่านั้น แต่รวมถึงวิญญาณเทพของมันด้วย ส่วนอสรพิษปีศาจนั่นหลายปีเนิ่นนานมานี้ก็เกลียดจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเข้ากระดูกดำ!”
จากคำแนะนำของชายชรา สวี่ชิงและนายกองก็เข้าใจดินแดนวาสนาของสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งพันธมิตรมากขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเขาก็เลือกที่จะจากไป
ไม่ได้จี้เอาผิดเรื่องที่สำนักนี้ขุดลอกน้ำสักเท่าไร เพียงแต่บอกว่าพวกเขาอย่าได้ทำจนเกินสมควร แล้วก็ปล่อยไปสุดแต่พวกเขา ส่วนก้อนหินยักษ์หน้าทางเข้า ทั้งสองคนหลังจากที่ลองแล้วก็พบว่าไม่อาจเอาไปได้จริงๆ วัตถุชิ้นนี้งอกจากพื้นดิน
นายกองไม่ยอมจำนน หลังจากเดินไปกัดคำหนึ่ง ก็กัดมาได้ชิ้นหนึ่ง แต่นี่ก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดของเขาแล้ว ดังนั้น ทั้งสองคนก็จากไป ภายใต้ความอกสั่นขวัญแขวนของคนสำนักโลกันต์ทมิฬเหล่านี้
“รู้สึกว่าขาดทุนนิดๆ แฮะ ไม่ได้อะไรมาเลย” ระหว่างทางกลับ นายกองถอนหายใจ
สวี่ชิงพยักหน้า เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้น้อยเหลือเกิน
ทั้งสองจึงมองหน้ากัน
“เจ้าว่าดินแดนวาสนาของสำนักโลกันต์ทมิฬนั่น เมื่อพวกเรากลับไปแล้วหาวิธีไปดูดซับสักหน่อยเป็นอย่างไร” นายกองเอ่ยยุยง
สวี่ชิงลังเล ในหัวมีเงาร่างของจอมเซียนจื่อเสวียนผุดขึ้นมา ไม่อยากไปด้วยสัญชาตญาณ โดยเฉพาะเขารู้สึกว่าแค่ไปดูดซับพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องไปสำนักโลกันต์ทมิฬ
“เพียงแต่ไปดูดซับพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่น่าสนใจ หากหาวิธีทำให้วิญญาณของอสรพิษปีศาจตัวนั้นตื่นขึ้นมา แล้วพวกเราไปดูดซับ ประโยชน์ถึงจะมากที่สุด!” นายกองพูดถึงตรงนี้ก็ตาเป็นประกาย
สวี่ชิงได้ยินก็หวั่นไหว ตอนนี้ไม่คิดเรื่องของจอมเซียนจื่อเสวียนแล้ว เริ่มขบคิดอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ที่จะลงมือทำเรื่องนี้ นายกองก็ขบคิดเหมือนกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองคนเหาะเหินออกจากภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ในยามที่เห็นกองเรือของพันธมิตร สวี่ชิงก็พลันเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่ออสรพิษปีศาจตัวนั้นเกลียดจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเข้ากระดูกดำ เช่นนั้นหากมันเห็นคนที่คล้ายกับจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ท่านว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่มันจะถูกกระตุ้น วิญญาณตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา”
นายกองได้ยินก็ตาวาววาบ
“เมื่อครู่ข้ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าหมายถึงเจี้ยนเจี้ยนน้อยใช่หรือไม่…”
สวี่ชิงพยักหน้า นายกองหัวเราะหึๆ ทั้งสองคนเริ่มหารือถึงรายละเอียดบางอย่าง จนเมื่อถึงเรือ ในขณะที่เรือมุ่งหน้าเดินทางต่อไป พวกเขาสองคนก็ตกลงรายละเอียด
“อู๋เจี้ยนอูไม่ได้มา เขาน่าจะอยู่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ร่องรอยอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน” สวี่ชิงมองนายกอง ให้อู๋เจี้ยนอูมาอย่างเต็มใจอย่างไร เป็นประเด็นสำคัญ
“เรื่องนี้ง่าย เจ้านั่นเลื่อมใสจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวจนถึงขั้นบ้าคลั่ง ข้าให้คนไปหาในแดนต้องห้ามปักษาราชัน แล้วบอกกับเขาไปว่า…พวกเราเจอถิ่นเก่าของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว อีกทั้งทั้งที่นั่นยังมีบทกวีที่จักพรรดิโบราณเขียนเองอีกด้วย!
“ข้าจะบอกให้นะอาชิงน้อย ถิ่นเก่าและบทกวี โดยเฉพาะอย่างหลังมีแรงดึงดูดกับเจี้ยนเจี้ยนน้อยอย่างไม่อาจพรรณาได้เลย!” นายกองหน้าตาเบิกบาน รีบใช้เรือกรมคุ้มครองพิเศษสื่อเสียงไปที่สำนัก เริ่มดำเนินการเรื่องนี้
เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้ เวลาหลายเดือนผ่านไปเพียงพริบตา การลาดตระเวนของกรมคุ้มครองพิเศษตลอดทางนี้ก็นับว่าราบรื่นดี เรือของพวกเขาในที่สุดก็ค่อยๆ มาถึงปลายแม่น้ำ
ที่นี่เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำและภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่สำนักนำบารมีตั้งอยู่ในตอนนั้น สวี่ชิงเห็นซากสำนักนำบารมี และเห็นเขื่อนที่พังถล่มจากการเข้าใกล้
เศษชิ้นส่วนของเขื่อนนี้ ชิ้นที่เป็นขนาดเล็กก็มีขนาดหลายร้อยจั้ง ชิ้นใหญ่ยิ่งมีขนาดหลายพันจั้ง จินตนาการได้ว่าก่อนที่มันจะพังถล่ม เขื่อนนี้จะต้องยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน
และในบริเวณเขื่อนที่พังถล่มและซากสำนักนำบารมี สวี่ชิงและนายกองก็เห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่มีขนาดยิ่งกว่าสายแม่น้ำไม่รู้ต่อเท่าไรสายหนึ่ง
นั่นคือแม่น้ำหลักของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ!
ท่ามกลางสายน้ำที่โหมบ่า ก็ประดุจมหาสมุทรโหมซัด เสียงดังกึกก้องไม่ขาดสาย
พลังวิญญาณเซียนที่นี่ยิ่งเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าลูกศิษย์ส่วนมากของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่อาจเข้าใกล้มากเกินไปได้ เกิดความรู้สึกเวียนศีรษะเหมือนเมาสุรา
ยืนอยู่ตรงนี้ ในใจของสวี่ชิงก็สั่นไหวเช่นกัน เขามองไปทางตะวันออก ตรงนั้นเป็นทางสำนักเซียนล้ำบารมี ส่วนทางด้านตะวันตกคือภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยอันกว้างใหญ่และด้านหลังเขา…แดนต้องห้ามอันดับหนึ่งของมณฑลรับเสด็จราชัน
แม่น้ำหลักสายนี้หลังจากไหลเข้าไปในแดนต้องห้ามแล้ว เมื่อไหลออกก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ไอพลังประหลาดแปรเปลี่ยนมาน่าสะพรึง
จินตนาการได้ว่า ในแดนต้องห้ามแห่งนั้นจะต้องมีตัวตนที่น่ากลัวจนถึงขีดสุด ผันเปลี่ยนวิญญาณเซียน เปลี่ยนเซียนเป็นสิ่งประหลาด!