ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 287 หลี่จื่อเหมยในตอนสุดท้าย
บทที่ 287 หลี่จื่อเหมยในตอนสุดท้าย
ปลายสายแม่น้ำสาขาที่นี่นอกจากจะเป็นบริเวณซากปรักหักพังของสำนักนำบารมีแล้ว ยังมีเรือของสำนักสมบัติจำนงฟ้าอีกด้วย
จำนวนยี่สิบลำเหมือนกัน
จะมองเห็นว่าบนฝั่งยังมีผู้บำเพ็ญของสำนักสมบัติจำนงฟ้ากำลังฝึกบำเพ็ญอีกจำนวนหนึ่งด้วย ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกของกรมคุ้มครองพิเศษ พวกเขาเฝ้าระวังที่นี่มาช่วงหนึ่งแล้ว รอสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมารับช่วงต่อ
นายกองออกหน้า ทั้งสองฝ่ายทำการรับส่งเสร็จอย่างรวดเร็ว เรือของกรมคุ้มครองพิเศษสำนักสมบัติจำนงฟ้าทำความเคารพกรมคุ้มครองพิเศษสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ส่งมอบธงผืนหนึ่งให้ จากนั้นก็ถอยจากไปอย่างยิ่งใหญ่
พวกเขากลับพันธมิตรอย่างรวดเร็ว และในวันที่พวกเขาถึงพันธมิตรวันนั้น เรือของกรมคุ้มครองพิเศษจากอีกสำนักหนึ่งก็แล่นทวนน้ำ มาที่นี่เพื่อแทนที่ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต
เวลาช่วงระหว่างนี้ กรมคุ้มครองพิเศษสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็จะเฝ้าระวังที่นี่ ขณะเดียวกันก็ปักธงของพันธมิตรผืนนั้นไว้บนฝั่ง
นี่ก็คือภารกิจทั้งหมดของการเดินทางครั้งนี้ของสวี่ชิงและนายกอง
ภารกิจนี้ดูเหมือนยาวนาน แต่ความจริงแล้วมีประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทางแม่น้ำหรือจะเป็นพื้นที่เป้าหมายที่อยู่ในตอนนี้ ล้วนเป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ผู้ยืนหยัดฝึกบำเพ็ญที่จุดรวมปลายสายแม่น้ำหลักมีไม่มาก สำหรับลูกศิษย์ส่วนใหญ่แล้ว เนื่องจากระดับความคุ้นชินของร่างกายต่อสภาพแวดล้อมต่างกัน ดังนั้น พื้นที่ที่พลังวิญญาณเซียนเอ่อล้นเข้มข้นเช่นนี่ทำให้ร่างกายของพวกเขาไม่อาจทนรับได้ในทันที
สามารถจินตนาการได้ว่าลูกศิษย์ของสำนักนำบารมีน่าจะอยู่ภายใต้การปกป้องจากค่ายกลของสำนัก ถึงทำให้ลูกศิษย์ระดับต่ำเหล่านั้นฝึกบำเพ็ญที่นี่ได้
ต่อให้เป็นสวี่ชิงก็รู้สึกเวียนศีรษะนิดๆ เช่นกัน แต่อย่างไรพลังบำเพ็ญของเขาก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้จึงลงจากเรือมายังริมฝั่งของแม่น้ำหลัก ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสูดลมหายใจลึก
พลังวิญญาณเซียนปะทะหน้ามา ไหลเข้ามาในร่างกายตามปาก จมูก ตามรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ทำให้ทั้งร่างของสวี่ชิงในตอนนี้โล่งไม่ติดขัด หลังจากฝืนทำให้คุ้นชินแล้ว สวี่ชิงก็นั่งขัดสมาธิลง เริ่มทำการฝึกบำเพ็ญ
นายกองก็เช่นกัน ส่วนลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนอื่นๆ ในเรือก็ต่างพากันลงจากเรือ หลังจากตรวจสอบรอบๆ ตามเวรแล้ว ก็เริ่มกระจายกันนั่งสมาธิตามระดับการคุ้นชินของแต่ละคน
เวลาไหลไป หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยเก้าในร่างสวี่ชิงก็พลันทะลวงเปิด
การทะลวงเปิดช่องเวทช่องนี้ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่อาศัยพลังวิญญาณเซียนของที่นี่ทั้งหมด ใช้เคล็ดเลี้ยงชีวันกะเทาะทะลวงเปิดออก
เรื่องที่ยากจะทำให้สำเร็จในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ แต่อยู่ที่นี่ความยากก็ลดลงไปมาก
สวี่ชิงตื่นเต้นดีใจ
‘เหลืออีกสิบเอ็ดช่องข้าก็จะจุดไฟชีวิตดวงที่สี่ได้!’ ดวงตาสวี่ชิงฉายแวววาดหวัง เขารู้ดีว่าหลังจากมีไฟชีวิตสี่ดวงตัวเองถึงจะนับว่ามีกำลังรบที่สยบทั่วทุกสารทิศได้อย่างแท้จริงในขอบเขตสร้างฐานขอบเขตนี้
ไม่ใช่วิธีอื่นๆ เขามีกำลังรบไฟชีวิตหกดวงอย่างแท้จริง หากรวมกับกำลังรบเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิก็จะถึงไฟชีวิตหกดวง ทั้งยังมีการพึ่งพาพลังจากตะเกียงแห่งชีวิตสองดวง นี่จะทำให้กำลังรบของเขาแม้จะไม่ถึงระดับไฟชีวิตแปดดวง แต่ในขอบเขตไฟชีวิตเจ็ดดวงนี้ถึงระดับสูงสุดแล้ว
ในขณะเดียวกัน ในหนึ่งเดือนนี้พวกเขายังมีภารกิจอีกภารกิจหนึ่ง นั่นก็คือค้นหาพรรคพวกหลงเหลือของสำนักนำบารมี
แต่การค้นหาไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือเพื่อประกาศให้ทุกฝ่ายในมณฑลรับเสด็จราชันทราบว่า ที่นี่…แปดพันธมิตรไม่ยอมให้มีเขื่อนปรากฏขึ้นอีก
หากปรากฏขึ้นก็คือศัตรู!
ท่าทีเช่นนี้ก็จำเป็นต้องให้กรมคุ้มครองพิเศษแสดงออกมา
สวี่ชิงไม่รู้ว่าระหว่างพันธมิตรกับสำนักเซียนล้ำบารมีมีการแลกเปลี่ยนลับอะไรกันหรือไม่ เพราะสำนักเซียนล้ำบารมีเงียบนิ่งกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
เห็นได้ว่าสำนักนำบารมีตระหนักได้ว่าไม่มีทางสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ได้ จึงย้ายไปหมด ข้อมูลและเบาะแสที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสืบกลับมาได้ล้วนบ่งบอกว่าสำนักนำบารมีโยกย้ายไปโดยสมบูรณ์แล้ว
นี่เหมือนกับข้อมูลที่สำนักอื่นลาดตระเวนแม่น้ำมาถึงที่นี่ได้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงฝึกบำเพ็ญต่อ ระหว่างนั้นหากเขาร่างกายรับไม่ไหวก็จะออกไปให้ไกลจากฝั่งเล็กน้อย รอเมื่อความคุ้นชินของร่างกายดีขึ้นค่อยกลับมานั่งสมาธิที่ริมฝั่งอีกครั้ง
ส่วนนายกองก็หายตัวไปแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ก่อนจากไปก็บอกสวี่ชิงว่าเขาจะไปเตร็ดเตร่รอบๆ สักหน่อย สวี่ชิงเห็นเขาท่าทางลึกลับก็ไม่ได้ไปถามอะไรมาก
ก็เหมือนกับที่นายกองเคารพความลับของเขา สวี่ชิงก็เคารพความลับของนายกองเช่นกัน
เวลาก็ผ่านไปแต่ละวันเช่นนี้เอง สำหรับลูกศิษย์คนอื่นแล้ว บางทีการนั่งบำเพ็ญเพียรนานๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ดังนั้นคนที่ยืนหยัดนั่งบำเพ็ญเพียรกำหนดลมหายใจที่นี่ทุกวันไม่ได้มีมาก
ส่วนมากออกไปข้างนอกบ้าง ไปชมนกชมไม้รอบๆ และมีบางคนไปเที่ยวเล่นในรัฐเล็กๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้ๆ
สวี่ชิงไม่ได้คาดหวังคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาแค่บอกตัวเองให้เห็นคุณค่าของโอกาสการฝึกบำเพ็ญทุกครั้ง คนที่เหมือนกับเขาก็มี เจ้าใบ้น้อยคือหนึ่งในนั้น
ในการฝึกบำเพ็ญนี้เมื่อสามเดือนผ่านไป ช่องเวทที่หนึ่งร้อยสิบเอ็ดของสวี่ชิงถูกกะเทาะอยู่ทุกวัน ในที่สุดก็ทะลวงเปิด จากการที่ช่องเวททะลวงเปิด สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังเวทในร่างกายเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หันกลับไปมองข้างหลัง
คนที่ยืนหยัดจนถึงตอนนี้ บำเพ็ญเพียรอยู่ตลอดเหมือนกับเขามีแค่สามสิบคนนิดๆ
ของสวี่ชิงกวาดตามองร่างของพวกเขา กำลังจะหลับตาฝึกบำเพ็ญต่อ แต่ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางแม่น้ำสายหลักที่อยู่ไกลๆ
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ แสงพรายอาทิตย์ยามเย็นงดงามนัก ภายใต้การสาดส่องจากแสงดวงอาทิตย์พราย สวี่ชิงเห็นกองเรือกองหนึ่งปรากฏขึ้นบนแม่น้ำสายหลัก
เป็นเรือใหญ่ทั้งหมดสิบกว่าลำ
รูปร่างของเรือไม่เหมือนกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต พวกมันเหมือนสร้างขึ้นจากผลึกแก้ว หลอมขึ้นจากหินวิญญาณ ดูแล้วใสกระจ่างแวววาว ทั้งลำเป็นประกายระยิบระยับเจิดจ้า ตอนนี้ลอยมาตามแม่น้ำจากทางสำนักเซียนล้ำบารมี มองเห็นบนเรือมีเงาร่างผู้บำเพ็ญสวมชุดคลุมยาวสีขาวจำนวนไม่น้อย
ในนั้นเป็นผู้หญิงเสียเยอะ ทุกคนสวมผ้าคลุมหน้า ร่างแผ่ระลอกคลื่นไม่ธรรมดา
“สำนักเซียนล้ำบารมี” สวี่ชิงจำที่มาที่ไปของอีกฝ่ายได้ ในยามที่เพ่งจิตไป กองเรือกองนี้ก็ใกล้เข้ามาทางพวกเขาเรื่อยๆ กระทั่งว่าลูกศิษย์ของทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของกันและกันได้โดยมีแม่น้ำกั้น
กวาดสายตาไปในสายตาเหล่านั้น สวี่ชิงมองเห็นลูกศิษย์หญิงสามที่มาเยี่ยมเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนั้นก็อยู่นี้ด้วยเหมือนกัน
แม้เสื้อผ้าของลูกศิษย์สำนักเซียนล้ำบารมีจะเหมือนกัน อีกทั้งยังสวมผ้าปิดหน้า แต่กลิ่นอายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สวี่ชิงสำรวจไปอย่างไร้จิตปฏิปักษ์ ตอนนั้นได้เห็นลูกศิษย์สามคนนั้นที่เคยมาเยี่ยมเยือนสำนักเจ็ดเนตรสาม ตอนนี้จึงจำได้
นอกจากนี้เขายังเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยอีกร่างหนึ่ง
กระโปรงยาวสีขาวทั้งชุด ผ้าคลุมโปร่งบางปกปิดใบหน้า บุคลิกทั้งตัวของอีกฝ่ายแตกต่างกับในความทรงจำของสวี่ชิงราวคนละคน หากไม่ใช่แววตายึดมั่นที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างแรงกล้าแล้วล่ะก็ สวี่ชิงก็ยากที่จะจำได้ในทันที
เป็น…หลี่จื่อเหมยนั่นเอง!
จางซานเคยบอกว่าสำนักเซียนล้ำบารมีพาหลี่จื่อเหมยไปแล้ว ก่อนไปนางได้มอบจดหมายให้สวี่ชิง จดหมายฉบับนั้นไม่ได้บอกอะไรมาก ล้วนแสดงคำขอบคุณต่อเขาทั้งสิ้น
และตอนนี้แม้สวี่ชิงจะจำหลี่จื่อเหมยได้ แต่ภายใต้การอำพรางจากแผ่นหยกของนายท่านเจ็ด สวี่ชิงในสายตาของหลี่จื่อเหมยนั้นเป็นเพียงคนแปลกหน้า
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงแค่กวาดสายตาไปแล้วเบนสายตากลับมา ไม่นานนัก เรือของสำนักเซียนล้ำบารมีก็ไปจากบริเวณที่พวกสวี่ชิงอยู่ มุ่งหน้าไปทางภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย
สวี่ชิงจ้องเพ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงดึงสายตากลับมา
“ขึ้นเขาพร้อมกันในตอนนั้น โจวชิงเผิงตายไปแล้ว สวี่เสี่ยวฮุ่ยสูญเสียจิตใจที่จะบำเพ็ญเพียร หลี่จื่อเหมยเข้าร่วมสำนักเซียนล้ำบารมี” สวี่ชิงสะท้อนใจเล็กน้อย เวลาสี่ปีกว่าก่อเป็นภาพฉากแต่ละภาพๆ ในความทรงจำ
สวี่ชิงหลับตาบำเพ็ญเพียรต่อ ไม่นานนัก ในกองเรือของสำนักเซียนล้ำบารมีมีเรือลำหนึ่งผละจากขบวนมุ่งหน้าเข้าใกล้มายังชายฝั่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งของสวี่ชิงลืมตื่นขึ้น ในใจระแวดระวัง มองไป
บนเรือที่มาถึงเป็นหนึ่งในสามลูกศิษย์หญิงสำนักเซียนล้ำบารมีที่มาเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนั้น ข้างๆ นางยังมีหลี่จื่อเหมยตามมาด้วย พวกนางไม่ได้ขึ้นฝั่ง หลังจากที่เข้ามาใกล้ ลูกศิษย์หญิงสำนักเซียนล้ำบารมีก็กวาดสายตามาที่พวกสวี่ชิง เอ่ยราบเรียบว่า
“สำนักเจ็ดเนตรโลหิตใช่หรือไม่”
สวี่ชิงพยักหน้า
ลูกศิษย์หญิงสำนักเซียนล้ำบารมีสะบัดมือโยนแผ่นหยกสีม่วงกับสีน้ำเงินออกไป พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นแสงพราวพร่างสองทางพุ่งตรงไปหาสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ลุกขึ้น มือขวายกขึ้นคว้ารับแผ่นหยกสองชิ้นนี้เอาไว้ ขณะเดียวกันก็ทำท่าเหมือนตื่นตะลึงตกใจ ถอยไปสิบกว่าก้าว
เขาไม่มีทางเผยร่องรอยของตัวเองในรายละเอียดพวกนี้
“มอบแผ่นหยกสีน้ำเงินแผ่นนั้นให้กับองค์ชายสามของสำนักเจ็ดโลหิตของพวกเจ้า”
“ชิ้นสีม่วงชิ้นนั้นให้สวี่ชิงแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิต” ลูกศิษย์หญิงสำนักเซียนล้ำบารมีพูดจบก็พาหลี่จื่อเหมยบังคับเรือจากไปไกล หลี่จื่อเหมยนับแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ประะโยคเดียว มีเพียงตอนที่จะจากไปในตอนสุดท้าย นางหันกลับมาจ้องสวี่ชิงแวบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับไป
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร หลังจากที่มองพวกนางจากไป เขาก็ก้มมองแผ่นหยกทั้งสองแผ่นในมือ แผ่นที่ให้ศิษย์พี่สามเขาเก็บมันลงไปแล้ว สายตาจ้องมองอยู่บนแผ่นหยกสีม่วง
“ให้ข้าอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงเงียบงัน แผ่สัมผัสไปในแผ่นหยก เสี้ยวพริบตาต่อมาในสมองก็มีเนื้อหาในแผ่นหยกปรากฏขึ้น
“ศิษย์พี่สวี่ชิง ข้าคือหลี่จื่อเหมย ท่านยังจำประโยคสุดท้ายที่ท่านพูดกับข้าได้หรือไม่”
สวี่ชิงหรี่ตา แผ่นหยกแผ่นนี้ไม่ใช่วัตถุทั่วไป ในนั้นมีผนึก ต้องตอบคำถามที่กำหนดไว้ถึงจะอ่านเนื้อหาที่เหลือได้ หากใช้กำลังเปิดออก มันก็จะระเบิดตัวเอง
“สู้ๆ ข้าหวังว่าจะได้เห็นวันที่เจ้าแลกเรือเวทได้” สวี่ชิงประทับประโยคนี้ไปบนแผ่นหยก
เสี้ยวพริบตาต่อมา เนื้อหาในแผ่นหยกก็พลันเปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่สวี่ชิง ข้าอยู่ที่สำนักเซียนล้ำบารมีสบายดีทุกอย่าง ครั้งนี้ส่งจดหมายให้ท่านเพราะวิชาที่ข้าได้เล่าเรียนที่สำนักเซียนล้ำบารมี แตกต่างกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและการฝึกฝนบำเพ็ญทุกอย่างที่เคยได้สัมผัสอย่างสิ้นเชิง
“สำนักเซียนล้ำบารมีมองว่า พลังบำเพ็ญก็คือพลังบำเพ็ญ ขอบเขตก็คือขอบเขต พวกเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพลังบำเพ็ญ แต่ให้ความสำคัญกับขอบเขตมากกว่า
“ขอบเขตที่ว่านี้ก็ไม่ใช่พวกรวมปราณ สร้างฐาน แก่นลมปราณอะไรพวกนี้ แต่เป็น…เขตแดนจิต!
“สำนักเซียนล้ำบารมีมองว่าเขตแดนจิตถึงจะเป็นมหามรรคา เพียงแต่เขตแดนจิตจำต้องบรรลุ อีกทั้งระดับความยากยังสูงมากอีกด้วย…
“ศิษย์พี่สวี่ชิง พวกนี้ก็คือสิ่งที่ข้ารู้ แค่สิ่งที่ข้ารู้ในตอนนี้เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น หวังว่าจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง ปกติท่านลองทำการบรรลุเพิ่มขึ้นบ้างอีกเล็กน้อย ข้าคิดว่าแม้สำนักเซียนล้ำบารมีใช่ว่าจะถูกต้อง แต่ก็น่าจะมีจุดที่เป็นประโยชน์
“นอกจากนั้น…ข้าจะไม่ทำให้ศิษย์พี่สวี่ชิงผิดหวัง ข้ากำลังจะไปร่วมพิธีบรรลุของสำนักเซียนล้ำบารมี พวกนางบอกข้าว่าพิธีนี้ยากมาก หากล้มเหลวข้าจะตาย แต่หากสำเร็จ นิสัยข้าอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นี่ไม่เป็นอะไร เดิมข้าก็ไม่ชอบนิสัยของตัวเองอยู่แล้ว บางครั้งก็อ่อนแอเกินไป บางครั้งก็รักศักดิ์ศรีมากเกินไป เปลี่ยนแปลงสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
“ข้าไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ และไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร ในตอนที่ท่านได้รับจดหมายฉบับนี้บางทีข้าอาจจะตายไปแล้วก็ได้ และอาจจะสำเร็จแล้วก็ได้เหมือนกัน
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็เป็นการตัดสินใจของข้า ข้าจะเดินต่อไป จะพยายามยิ่งขึ้น ข้าจะต้องทำได้ ข้าเพียงหวังว่า นิสัยของข้าอย่าได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
“คำพูดของข้าเสียมารยาท เพราะนี่อาจจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนที่นิสัยของข้าจะเปลี่ยนไป และข้าก็ไม่มีญาติพี่น้องแล้ว หลายปีมานี้คนที่ช่วยข้ามีเพียงแค่ท่านและศิษย์พี่จางซานเท่านั้น ข้ารู้ว่าศิษย์พี่จางซานก็ดูแลข้าเพราะท่านเช่นกัน หากเป็นการรบกวน ขอศิษย์พี่สวี่ชิงอย่างได้รังเกียจ
“ศิษย์พี่สวี่ชิง สุดท้ายแล้วข้าขออวยพรท่านจากใจจริง ขอให้ท่านดียิ่งขึ้นไปอีก ดียิ่งขึ้นไปอีกตลอดไป อยู่ดีมีสุขไปตลอด
“หลี่จื่อเหมย”