ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 294 วิหคทองกลืนกินเมี่ยเหมิง
บทที่ 294 วิหคทองกลืนกินเมี่ยเหมิง
ถ้วยแตก
เม็ดบัวกระจายเต็มพื้น แทรกซึมไปตามหยกขาว และแทรกด้วยเสียงลมหายใจหอบถี่ ดวงตาที่แฝงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ และจิตใจของจอมเซียนจื่อเสวียนที่หัวใจเต้นระรัวในตอนนี้
“เมื่อครู่ที่ข้าเห็นคือแสงอย่างนั้นหรือ”
จอมเซียนจื่อเสวียนกำลังจะดูให้แน่ใจ แต่แสงทางนั้นก็กะพริบหายวับไปแล้ว!
เขามรรคาทมิฬ แสงที่สาดออกมาจากประตูแตกต่างไปจากศึกที่ศาลเจ้าจวนรัชทายาทในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณตอนนั้นมาก
แสงในวันนั้นสาดส่องอยู่ตลอด อีกทั้งยังสร้างความร้อนแผดเผาน่าสะพรึง ทำให้ทั้งร่างของสวี่ชิงในแสงนั้นเหมือนจะถูกเผาจนหลอมละลาย กายได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากไม่มีการฟื้นฟูจากผลึกวารีสีม่วงและการเพิ่มพลังกายเนื้อจากวิหคทอง การแผดเผาจากแสงในประตูเมื่อวันนั้นก็สามารถทำให้เขากลายเป็นเถ้าธุลีได้เลย
จะอย่างไรนี่ก็เป็นเศษเสี้ยวของวิเศษเวท ในขณะเดียวกับที่ส่องสะท้อนจิตใจภายในแล้วก็มีพลังสังหารในระดับหนึ่ง เพียงแต่เนื่องจากพลังประหลาดของมัน ดังนั้นพลังสังหารนี้จึงแตกต่างกันไป
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลังจากผ่านการสังเวยบูชาครั้งที่สองโดยเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง แสงของประตูนี้ก็เปลี่ยนจากสาดส่องอยู่ตลอดแปรเปลี่ยนเป็นเสี้ยวพริบตา พลังไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แสงในประตูสาดออกมาเพียงชั่วพริบตาแล้วหายวับไปทันที
ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว และหายไปอย่างว่องไว ทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นเพียงภาพมายา โดยเฉพาะเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องอยู่ในหมอกดำที่ปล่อยออกมาจากความเย่อหยิ่ง ยิ่งทำให้การปรากฏขึ้นของแสงนี้ถูกบดบังในระดับสูงสุด
นอกเสียจากตั้งใจจับจ้อง ทั้งพลังบำเพ็ญยังต้องอยู่ในระดับสูงพอควร ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจเห็นรายละเอียดได้เลย
และพลังของมันก็ไม่ใช่แผดเผาอีกต่อไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็น…ผนึกแช่แข็ง!
แสงที่เพียงฉายวาบก็หายวับไปนั่นเย็นเยียบเป็นอย่างยิ่ง เมื่อตกกระทบมาที่ร่างสวี่ชิงก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังผนึกแช่แข็ง แล้วผนึกเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ในความรู้สึกของสวี่ชิง แสงที่สาดออกมาจากประตูบานนี้เหมือนพลังวิเศษเย็นเยียบที่ยากจะอธิบายและพรรณา ในเสี้ยวพริบตาที่กระทบมาที่ตัวเขา เขาก็ถูกแช่แข็งทั้งตัวอยู่ที่เดิมทันที
ร่าง วิญญาณเทพ และทุกสิ่งทุกอย่างถูกแช่แข็งผนึกอย่างรวดเร็วในพริบตา เหมือนว่าระดับขั้นชีวิตก็หยุดในเสี้ยวขณะนี้
แต่สิ่งที่แช่แข็งผนึกมีเพียงสวี่ชิงที่อยู่ในสภาวะไฟชีวิตสามดวงเท่านั้น
สวี่ชิงหรี่ตา กำลังจะจุดไฟชีวิตดวงที่สี่ของตัวเอง เขามั่นใจว่าหากจุดไฟชีวิตดวงที่สี่ เปลวเพลิงกำลังรบไฟชีวิตเจ็ดดวงขั้นสูงสุดของตัวเองปะทุสามารถทำให้เขาทำลายสภาวะที่ถูกแช่แข็งผนึกเช่นนี้ได้
เพียงแต่ตอนนี้ ไม่ทันที่สวี่ชิงจะได้จุดไฟ เขาก็พบความแปลกประหลาดของเงาตัวเอง
การผนึกแช่แข็งประเภทนี้มีผลต่อเจ้าเงาน้อยมาก
นี่สามารถเข้าใจได้ ในเมื่อตัวเจ้าเงาเองก็เย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน กินสิ่งประหลาดเป็นอาหาร
ความเย็นและการแช่แข็งผนึกต่อสวี่ชิงอาจจะเป็นแค่อุณหภูมิร่างกายปกติสำหรับเจ้าเงา อย่างมากก็แค่รู้สึกเย็นสบายเท่านั้น
ดังนั้นในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏขึ้น เจ้าเงาก็ดูดซับไปคำเล็กๆ ด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างอดไม่ได้ นี่ทำให้ร่างของสวี่ชิงไม่ได้ถูกแช่แข็งผนึกโดยสมบูรณ์
แม้ดูเหมือนยังถูกแช่แข็งผนึก แต่ความจริงแล้วเพียงแค่เสี้ยวความคิด เจ้าเงาเพียงแค่ดูดสุดกำลัง เขาก็จะฟื้นคืนกลับมาได้ทันที
แต่สวี่ชิงไม่ได้ออกคำสั่งกับเจ้าเงาในทันที เขาไม่ได้ขยับ
เพราะเขารู้ว่าโอกาสที่ตัวเองรอมาเนิ่นนานมาถึงแล้ว
“สวี่ชิง เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน!” เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหัวเราะ ร่างไหววูบพุ่งตรงมาหาสวี่ชิง สีหน้าเผยความเหี้ยมโหดดุดัน ยิ่งมีความลิงโลดที่แปรเปลี่ยนมาจากความตื่นเต้นยินดีอันแรงกล้าฉายออกมา ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้แม้เพียงเล็กน้อย
นี่ก็คือแผนของเขา ความจริงการลงมือทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนเพื่อหาโอกาสสำแดงประตูเจตจำนงแห่งนิรันดร์โดยไม่ให้คนอื่นสงสัย
ขณะเดียวกันเขาก็ป้องกันการเข้าขัดขวางของคนนอกจากการที่ตัวเองสำแดงวิชานี้อย่างฉับพลันด้วย อย่างไรเสีย คนที่ขัดขวางได้ไม่ได้มีแค่บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเท่านั้น ทางเสี่ยเลี่ยนจื่อทางนั้นก็มีความสามารถนี้เหมือนกัน
ส่วนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ไม่คิดว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะทำตามกฎ ก็เหมือนที่สวี่ชิงไม่เชื่อว่าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าจะทำตามกฎ
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้แทบจะในพริบตาที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพุ่งไปหาสวี่ชิง บนท้องฟ้านอกภูเขามรรคาทมิฬ ใบหน้าที่เสี่ยเลี่ยนจื่อแปลงภาพมายามา ดวงตาก็ฉายวาบขึ้นมาอย่างยากจะสังเกตเห็น จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเส้นเลือดมหาศาลพุ่งไปยังเขามรรคาทมิฬ
ท่าทีเช่นนี้คือท่าทีที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น กฎเกณฑ์ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญเท่าศิษย์หลานของตัวเอง
ท่ามกลางเสียงกรีดหวีดหวิวอย่างเร็วรี่ ใกล้จะประชิดเข้ามาแล้วเต็มที แต่เสี้ยวพริบตาต่อมา แสงกระบี่ก็ท่วมฟ้า กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นขวางอยู่ข้างหน้า แปรเปลี่ยนเป็นร่างของบรรพจารย์หลิงอวิ๋น
“เสี่ยเลี่ยนจื่อ กฎก็คือกฎ!”
เดิมทีบรรพจารย์หลิงอวิ๋นก็สงสัยว่าสวี่ชิงถูกแช่แข็งผนึกจริงหรือไม่ แต่เขาไม่มีเวลาให้สังเกตอย่างละเอียด เพราะเสี่ยเลี่ยนจื่อลงมือแล้ว
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ขัดขวางเสี่ยเลี่ยนจื่อทันทีเท่านั้น ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะปล่อยให้เสี่ยเลี่ยนจื่อลงมือช่วยไม่ได้
เสี่ยเลี่ยนจื่อทำท่าโมโหเดือดดาล คิดจะพุ่งออกไป ดังนั้นบรรพจารย์หลิงอวิ๋นจึงขัดขวางสุดกำลัง
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนก้อง ทั้งสองคนพลังบำเพ็ญใกล้เคียงกัน แม้บรรพจารย์หลิงอวิ๋นจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ่วงเวลาสักชั่วขณะหนึ่งนั้นก็สามารถทำได้อยู่
ส่วนนายกองทางนั้นก็ตาแดงก่ำเช่นกัน คำรามออกมาคิดจะพุ่งออกไป แค่แสงกระบี่ทางหนึ่งกะพริบวูบ ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าเข้าทำการขัดขวางทันที
ขณะเดียวกัน ทางสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นายท่านเจ็ดก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว จะไปเข้าใกล้ไปยังเขามรรคาทมิฬ แต่ทางสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า เงาร่างของเจ้าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็ปรากฏลงมาทันที ขวางนายท่านเจ็ดเอาไว้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ การถูกขัดขวางเช่นนี้จากบรรพจารย์หลิงอวิ๋นและคนทั้งหลาย เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ประชิดมาข้างหน้าสวี่ชิง ฉวยโอกาสที่ตอนนี้เขาถูกผนึก ดวงตาของเซิ่งอวิ๋นฉายความละโมบออกมา เมี่ยเหมิงที่อยู่ข้างหลังปรากฏขึ้นทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะอันเหี้ยมเกรียมของเขาและเสียงร้องแปลกประหลาดของเมี่ยเหมิง ก็พุ่งเข้าไปใกล้สวี่ชิงทันที
เข้าใกล้อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน แทบจะแนบติดอยู่ด้วยกัน มือทั้งสองของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยกขึ้นแล้วกดไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของสวี่ชิง เมี่ยเหมิงที่อยู่ข้างหลังก็คำรามกัดไปยังวิหคทองที่อยู่ข้างหลังสวี่ชิงซึ่งถูกแช่แข็งเหมือนกัน
“สวี่ชิง วันนี้ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
แววละโมบในดวงตาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องรุนแรงจนถึงขีดสุด กำลังจะกลืนกินวิหคทอง แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ สวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมา
ในดวงตาของเขามีเปลวไฟโชติช่วงลุกโชน!
การเงยหน้านี้ เปลวเพลิงในดวงตาคู่นี้ ทำให้เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหน้าเปลี่ยนสี
ในความเข้าใจของเขา สวี่ชิงในตอนนี้ไม่สามารถขยับได้ วิชาผนึกที่แปลงมาจากประตูเจตจำนงแห่งนิรันดร์ สำหรับผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสามดวงที่ต่อให้มีการเพิ่มพลังจากตะเกียงแห่งชีวิต อย่างน้อยๆ ก็ส่งผลเป็นเวลาสิบอึดใจ นี่ก็คือข้อมูลที่เขาได้รับรู้หลังจากที่เซ่นสังเวยของวิเศษชิ้นนี้ครั้งที่สอง แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านมาห้าอึดใจ เขายังเหลืออีกห้าอึดใจไปดูดซับ
เขาคำนวณทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ จนกระทั่งตอนนี้ การเงยหน้าของสวี่ชิงทำลายความแม่นยำทุกอย่างในพริบตา
“เจ้า!!” เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหน้าเปลี่ยนสี วิกฤตชีวิตความเป็นตายรุนแรงทำให้เขาไม่ทันได้คิดอะไรมาก กำลังจะถอยไป แต่สวี่ชิงพลันยกมือทั้งสองขึ้นแล้วคว้าเขาเอาไว้ ไฟชีวิตดวงที่สี่ในกายปะทุขึ้นมาทันที
พลังไฟชีวิตสี่ดวงลุกโชนท่วมฟ้าในเสี้ยวพริบตานี้เอง ในขณะที่เปลวเพลิงกวาดโหมไปทั่วทุกทิศ ฉัตรทั้งสองก็กะพริบฉายประกายเต็มที่ ท่ามกลางเปลวเพลิงนี้ วิหคทองที่ถูกเมี่ยเหมิงกัดอยู่ข้างหลัง หลังจากที่ทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก ก็เหมือนอาบไฟถือกำเนิดใหม่ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้เปลวเพลิงที่น่าครั่นคร้ามอยู่แล้วนั่นยิ่งปะทุอย่างบ้าคลั่งขึ้นในชั่วขณะนี้
“เจ้าก็ตกหลุมพลางแล้วเช่นกัน”
ในขณะที่สวี่ชิงพูดเสียงแผ่วเบาและพลันอ้าปากกว้างก่อนจะกัดไปที่คอของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ในขณะที่ดูดอย่างโหดเหี้ยม เพลิงพิฆาตมหาศาลก็ปะทุขึ้นจากช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องทั่วทั้งร่างของเขา แล้วเข้าปกคลุมเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ถูกเขาจับเอาไว้อย่างเต็มแรงไว้ในนั้น
วิหคทองที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็อ้าปากกว้างยิ่งกว่า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตื่นกลัวของเมี่ยเหมิงก็กัดหัวของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดอย่างยิ่งยวด ดูดอย่างเหี้ยมเกรียม!
เขารอชั่วเวลานี้มานานมากเหลือเกิน
เพื่อสังหารเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องให้สำเร็จ อย่างน้อยก็ต้องกลืนกินเมี่ยเหมิงให้ได้ ทำให้เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของตัวเองมีโอกาสยกระดับ สวี่ชิงสะกดกำลังรบมาโดยตลอด ตอนนี้ในที่สุดก็ได้โอกาสที่เยี่ยมยอดนี้
ตอนนี้ในดวงตาสวี่ชิงฉายเปลวเพลิงท่วมฟ้าออกมา เพลิงพิฆาตทั่วทั้งร่างปกคลุมเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง วิหคทองยิ่งมาด้วยความกระหาย กลืนกินอย่างเต็มที่ และเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ดังก้องผืนฟ้าในเสี้ยวขณะนี้เอง
การพลิกผันในพริบตาฉากนี้ทำให้คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างอึ้งตะลึง ส่วนนายกองทางนั้นหัวเราะหึๆ ไม่พุ่งออกไปอีก กลับเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายขัดขวางผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าอย่างเชี่ยวชาญชำนาญนัก
นายท่านเจ็ดที่เดินมาก็สะบัดชายเสื้อเช่นกัน หอบม้วนเจ้าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าเอาไว้ แล้วยังมีเสี่ยเลี่ยนจื่อทางนั้นที่หัวเราะร่าท่ามกลางสถานการณ์ที่พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนจากพุ่งออกไปมาขัดขวาง สกัดกั้นบรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่สีหน้าเปลี่ยนไปมหาศาล
การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วว่องไว เหมือนว่าซักซ้อมมาก่อนล่วงหน้า เหมือนว่ารู้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่มีหยุดชะงักแม้แต่น้อย ลื่นไหลคล่องแคล่ว เป็นธรรมชาติยิ่งนัก
เสียงคำรามโกรธเดือดดาลดังก้องที่โลกภายนอกทันที ประกายโหดเหี้ยมในดวงตาสวี่ชิงน่าพรั่นพรึง ภายใต้การดูดอย่างสุดกำลัง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชชองเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง สารกาย ปราณและจิตทั้งร่างของเขาไหลทะลักเข้าไปในร่างกายสวี่ชิง เมี่ยเหมิงที่อยู่เหนือศีรษะของอีกฝ่ายก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภายใต้การกลืนกินอย่างเหี้ยมโหดเหลือแสนจากวิหคทองมันก็หดเล็กลงและเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว
และความเหี้ยมโหดของสวี่ชิงก็สะท้อนในสายตาของทุกคนตอนนี้ ทำให้ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักที่อยู่รอบๆ ต่างอึ้งตะลึง หวาดหวั่นพรั่นพรึง สายตาที่มองมาทางสวี่ชิงฉายความหวาดเกรงรุนแรง
“สวี่ชิง!!” เสียงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องน่าสังเวชอเนจอนาถ การถูกดูดซับในทุกด้านเช่นนี้ทำให้กลิ่นอายของเขาอ่อนแรงลงทันที คิดอยากดิ้นรนแต่เขาที่มีกำลังรบเกือบถึงไฟชีวิตเจ็ดดวงจะหลุดรอดจากมือสวี่ชิงที่มีกำลังรบไฟชีวิตเจ็ดดวงขั้นสูงสุดได้อย่างไร เห็นเมี่ยเหมิงของตัวเองใกล้สลายไปแล้วเต็มที ร่างของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจู่ๆ ก็ปะทุแสงสีทองออกมา
นั่นคือพลังคุ้มครองจากขั้นปราณก่อกำเนิดที่แปลงมาจากแผ่นหยกชิ้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแผ่นหยกที่เขาโยนออกมาก่อนหน้านี้ก็แค่ตบตาเท่านั้น ตอนนี้กำลังจะฉวยโอกาสนี้สลัดให้หลุดพ้น แต่เสี้ยวขณะต่อมากวานสวรรค์ม่วงสูงสุดบนศีรษะของสวี่ชิงก็พลันปะทุขึ้นเช่นกัน การคุ้มครองจากขั้นปราณก่อนกำเนิดที่เป็นของเขากางออก พุ่งสะกดไป
การขัดขืนที่เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแปรเปลี่ยนเป็นยื้อยุดอยู่ด้วยกัน นี่ไม่ส่งผลต่อการกลืนกินต่อไปของสวี่ชิง และจากการเสียจังหวะเช่นนี้ ร่างของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ใกล้จะผอมแห้งเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้วเต็มที เมี่ยเหมิงที่เหนือศีรษะก็รางเลือนลงไปจนแทบสัมผัสไม่ได้
วิหคทองในตาข้างขวาของเขากะพริบวูบวาบสองสามครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร สวี่ชิงเห็นเป็นเช่นนี้หมัดสุดท้ายของเคล็ดวิชาใต้ปรโลกก็ไม่ได้สำแดงออกมา เขาจำคำพูดของอาจารย์ได้อย่างแม่นยำ หมัดนี้เมื่อชกออกไปแล้วจะต้องฆ่าคน อีกทั้งจะให้ใครเห็นไม่ได้
ดังนั้นแล้ว เขาเพิ่มแรงในการดูดและกลืนกิน ทุ่มสุดกำลัง คอของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องใกล้จะถูกเขากัดขาดแล้ว
เสียงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยิ่งน่าอนาถเวทนา เลือดอึกใหญ่ๆ ถูกสวี่ชิงกลืนลงไปอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนี้เอง เงาร่างชุดสีเขียวครามร่างหนึ่งก็เดินมาจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน ทุกที่ที่พาดผ่านลวดลายค่ายกลกระจายไปในท้องฟ้าประดุจกฎแห่งมรรคาสวรรค์ เขาฉวยโอกาสที่บรรพจารย์หลิงอวิ๋นและเสี่ยเลี่ยนจื่อสู้กัน ก้าวไปเพียงก้าวเดียวก็มาถึงข้างกายสวี่ชิงบนเขามรรคาทมิฬ
“อายุน้อยแค่นี้ก็โหดเหี้ยมเช่นนี้แล้ว สู้กับสหายร่วมพันธมิตรก็ลงมือเหี้ยมเกรียมเพียงนี้ สิ่งที่กลืนลงไปคายออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงเย็นเยือกดังก้อง เงาร่างชุดสีเขียวครามเพียงสะบัดมือ ระหว่างสวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้นทั้งที ทั้งสองคนแยกจากกันในทันใด แต่ในเสี้ยวขณะที่แยกจากกัน เงาร่างนั้นก็สะบัดมืออีกครั้ง ดึงไปทางสวี่ชิง
ในหัวสวี่ชิงมีเสียงระเบิดดังก้อง ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด สวี่ชิงเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่พลังที่ปะทุออกมาเป็นระดับขั้นบรรพจารย์ที่มี เขาไม่อาจต้านทานได้ ไม่อาจเผชิญหน้าได้ ในหัว ร่างกาย จวบจนทุกสิ่งอย่างล้วนกลายเป็นว่างเปล่า ในขณะที่ในร่างกายเดือดพล่าน สารกาย ปราณและจิตของเมี่ยเหมิงที่กลืนลงไปเมื่อครู่ตอนนี้ทะลักออกมาจากในร่าง คล้ายว่าจะถูกอีกฝ่ายดึงเอาไป
แต่ในตอนนี้เอง แสงสีม่วงทางหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟ้า มาปรากฏอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงทันที ท่ามกลางกลิ่นหอมลอยอวล เงาแผ่นหลังของจอมเซียนจื่อเสวียนปรากฏอยู่ข้างหน้าดวงตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดของสวี่ชิง
นางสะบัดมือเบาๆ พลังกดดันทุกอย่างหายไปจนสิ้น พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งผลักออกไปข้างนอก คนชุดสีเขียวครามคนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแล้วถอยไปทันที ไม่สร้างความลำบากให้สวี่ชิงอีก
“อายุปูนนี้แล้วทำไมจิตใจคับแคบเช่นนี้ ผู้เยาว์ประลองกันก็ออกหน้าลงมือเอง วังเต๋ามหาวิวัฒน์ทำเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยราบเรียบ ขณะสะบัดมือผู้บำเพ็ญชุดเขียวครามคนนั้นก็สีหน้าเคร่งเครียด ถอยไปแล้วถอยไปอีก จวบจนถอยไปนอกภูเขามรรคาทมิฬถึงได้หยุด เผยรูปร่างหน้าตาวัยกลางคนออกมา
เป็นบรรพจารย์ของวังเต๋ามหาวิวัฒน์นั่นเอง
เขามองจอมเซียนจื่อเสวียนด้วยความหมายลึกซึ่งแวบหนึ่ง เมื่อหันไป บรรพจารย์หลิงอวิ๋นและเสี่ยเลี่ยนจื่อก็แยกจากกันแล้ว
เสี่ยเลี่ยนจื่อสีหน้าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง จ้องชายกลางคนชุดสีเขียวครามเขม็ง ส่วนบรรพจารย์หลิงอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ สีหน้าแปลกประหลาดมาก จ้องบรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์ คล้ายว่าเข้าใจอะไรขึ้นมา สีหน้าฉายแววขมขื่น
“พี่หลิงอวิ๋นเคยมีบุญคุณกับข้า หลานชายของเขาข้าย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว บทลงโทษเรื่องฉีกกฎ พี่หลิงอวิ๋นย่อมชดเชยแทนข้า ใช่หรือไม่ พี่หลิงอวิ๋น”
ชายกลางคนชุดสีเขียวครามหิ้วเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ลมหายใจรวยริน ผอมแห้งราวกิ่งฟืน เมี่ยเหมิงแตกสลายไปแล้วโดยสมบูรณ์ เอ่ยขึ้นราบเรียบ
เสี่ยเลี่ยนจื่อแววตาฉายประกายวับ บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเหมือนจะแก่ลงไปมากในพริบตา พยักหน้าอย่างเงียบงัน
สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ หรี่ตาซ่อนจิตสังหารพลางมองบรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์ เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้มีความลับบางอย่างที่ตนไม่รู้
ดังนั้นหลังจากที่จำเรื่องนี้ไว้ในใจ ร่างของเขาก็ขยับวูบพุ่งตรงไปข้างๆ ยังบริเวณที่ประตูไม้ของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องตั้งอยู่ ไปถึงอย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าประตูไม้บานเอาไว้ แล้วเก็บมันลงไปอย่างไม่สนใจผู้แข็งแกร่งของพันธมิตรที่อยู่รอบๆ ต่อหน้าพวกเขา
จากนั้นก็สะบัดมือ เก็บยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนที่ตัวเองโยนออกไปเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งสองชิ้นนั้นและแผ่นหยกรักษาชีวิตที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องโยนออกไปชิ้นนั้นมาทั้งหมด จากนั้นเลือดจากสารกาย ปราณและจิตของเมี่ยเหมิงก็ย้อนทะลักออกมา แต่เขาฝืนกลืนมันกลับลงคอไป
ไม่ให้กระเด็นแม้แต่หยดเดียว!