ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 297 การนัดพบลับๆ ของชายหนุ่มหญิงสาว
บทที่ 297 การนัดพบลับๆ ของชายหนุ่มหญิงสาว
สวี่ชิงเดินลงเขาเงียบๆ
เขาไม่เลือกเหาะเหินเดินอากาส แต่เดินอยู่ในราตรีมืดมิด เหยียบย่ำแสงจันทร์ทีละก้าวไปทางเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต
ภาพก่อนหน้านี้ ทำให้จิตใจเขารู้สึกแปลกประหลาด เขาเติบโตมาถึงเพียงนี้ ในใจมีระลอกคลื่นเช่นนี้น้อยมาก
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงไม่ค่อยสบายใจ
จึงเดินไปพลางนึกถึงคัมภีร์สมุนไพร ใจของเขาก็สงบลงดุจสายน้ำจากความรู้สมุนไพรที่ปรากฏขึ้นทีละชนิด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นปกติ การก้าวเดินก็ไร้ซึ่งความประหม่าแล้ว ความเร็วก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
จวบจนครู่ต่อมาที่กลับถึงท่าจอดเรือ สวี่ชิงยืนอยู่ที่ริมฝั่ง มองย้อนกลับไปทางสำนักโลกันต์ทมิฬ ในใจเกิดความสงสัยกับระแวดระวัง ใช่ว่าเขามองพฤติกรรมเย้าหยอกของจอมเซียนจื่อเสวียนไม่ออก สวี่ชิงในตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ความอีกแล้ว
เพียงแต่เขาไม่เชื่อว่าบรรพจารย์ที่ฝึกบำเพ็ญมาจนระดับสูงถึงเพียงนั้น ความคิดจะดาษดื่นเช่นนี้ ต้องมีสาเหตุอื่นเป็นแน่ ถึงอย่างไร…ในโลกนี้ ก็ไม่มีความสนิทชิดเชื้อที่ไม่มีที่มาที่ไป
ทั้งหมด ล้วนมีเหตุผลของมัน
แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าเหตุผลคืออะไร จึงโบกมือปล่อยเรือเวทออกมา เข้าไปในห้องเรือนั่งลงขัดสมาธิแล้วครุ่นคิด
จนฟ้าด้านนอกเริ่มสว่าง สวี่ชิงก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร จึงฝังกลบเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งจิตใจ หลับตาลงนั่งสมาธิ
สวี่ชิงไม่ได้ไปจัดการเรื่องงานของกรมคุ้มครองพิเศษนานแล้ว เพราะว่าแผ่นหยกส่วนลดบ่อน้ำร้อนที่เขาให้นายกองไป มีคนนำไปใช้งานทุกวัน
จากข้อมูลที่สายให้มา ช่วงนี้นายกองวันๆ เอาแต่เชิญอู๋เจี้ยนอูไปหา ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน เหมือนกำลังยุยง ส่วนอู๋เจี้ยนอูก็มีท่าทีทั้งดีใจทั้งลังเล
สวี่ชิงรู้สึกแปลกๆ แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก จึงไม่ได้ถามไถ่ แต่เร่งทำเวลาหลอมเลือดของเมี่ยเหมิงที่กลืนกินมา และหลายวันก็ผ่านไปเช่นนี้
วันนี้ช่วงเช้าตรู่ ตอนที่สีราตรีบนท้องฟ้าถูกแสงอรุณเช้าวันใหม่แผดเผา และเห็นมันค่อยๆ หายไปได้ด้วยตาเนื้อ พริบตาที่แสงตะวันส่องเข้ามาในเรือเวท ส่องสว่างหัวเรือไร้หน้านั้น แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงก็ได้รับข้อความหนึ่ง
“สหายตัวน้อย เก็บของเถอะ พี่สาวจะไปรับเจ้า พวกเราออกไปเดินเล่นกัน”
พริบตาที่เห็นข้อความนี้ สวี่ชิงก็เงียบนิ่ง เขาคิดๆ จากนั้นก็ส่งสื่อเสียงไปหานายท่านเจ็ด แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบและสอบถามว่าไปดีหรือไม่
นายท่านเจ็ดทางนั้นก็เงียบนิ่งไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ถามสวี่ชิงกลับว่า
“เจ้าสี่ นี่เป็นการนัดพบครั้งแรกของเจ้าหรือ”
“นัดพบ” สวี่ชิงชะงัก
หลังจากสัมผัสปฏิกิริยานี้ของสวี่ชิงได้ เสียงหัวเราะของนายท่านเจ็ดก็ดังมา บอกกับสวี่ชิงว่าเขาไปได้อย่างกล้าหาญมั่นใจ
ตอนที่สวี่ชิงลังเลอยู่ในใจ นอกห้องเรือก็มีเสียงที่เย้ายวนอ่อนหวานของจอมเซียนจื่อเสวียนดังเข้ามา
“สหายน้อย ออกเดินทางกันเถอะ”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น เดินออกมาจากห้องเรือเงียบๆ เห็นจอมเซียนจื่อเสวียนที่กำลังนั่งอยู่บนกาบของเรือตนเงยหน้าขึ้นกระดกกาสุราที่อยู่ในมือ
เส้นผมสีดำของจอมเซียนจื่อเสวียนปลิวไสวตามลมทะเล แต่งกายด้วยชุดจอมปราชญ์สีขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าราวดอกสาลี่ งดงามอย่างยิ่ง
ภาพวาดฉากนี้งดงามมาก คิ้วบางราวสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง ผิวหยกต้องสายลมแผ่วเบา
ร่างของนางราวกับสมบัติที่สวยงามล้ำค่าภายใต้การสาดส่องของแสงตะวัน ราวกับบนโลกนี้ไม่มีใครทัดเทียมนางได้ เหตุเพราะนางเป็นคนพิเศษที่ต้องใช้เวลามาจุตตินับพันปี
เมื่อสัมผัสได้ว่าสวี่ชิงเดินออกมาแล้ว จอมเซียนจื่อเสวียนก็วางกาสุราลง หันหน้ามาแผ่วเบา
พริบตานั้น แสงตะวันส่องผ่านผมที่กำลังสยายของนาง ก่อตัวเป็นรัศมีแสง แผ่สีทั้งเจ็ด ความงามเปี่ยมล้น
โดยเฉพาะดวงตาของนางที่มีเสน่ห์ล้ำลึก ตอนที่หยุดมองสวี่ชิง มุมปากก็เผยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนี้แตกต่างจากความรู้สึกที่สวี่ชิงเคยมองนักล่า เหมือนแฝงความอ่อนโยนไว้ด้วย เพ่งสมาธิมาที่สวี่ชิง
หากมีคนนอกอยู่ที่นี่เห็นฉากนี้เข้า จะต้องเลื่อนลอยเป็นแน่ คนทั้งสองบนเรือ หญิงสาวประดุจสมบัติล้ำค่า ชายหนุ่มประดุจดวงดารา เหมือนว่าในพริบตานี้ ต่อให้แสงตะวันยามเช้าก็ยังต้องยอมขับเน้นให้กับพวกเขาเด่น
สวี่ชิงหยุดฝีเท้า
วันนี้จอมเซียนจื่อเสวียนแตกต่างกับที่เขาเคยเห็นในอดีตอย่างสิ้นเชิง ความเย้ายวนน้อยลง เพิ่มความองอาจ ความเผด็จการลดลง ความอ่อนโยนมากขึ้น
ดูขัดกันอยู่บ้าง แต่จอมเซียนจื่อเสวียนก็ยังผสานมันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
การเปลี่ยนรูปลักษณ์นี้ ทำให้สวี่ชิงอดมองนานๆ ไม่ได้
“สวยหรือไม่” จอมเซียนจื่อเสวียนเอียงคอ กะพริบตาปริบๆ
สวี่ชิงพยักหน้า
จอมเซียนจื่อเสวียนพอได้ยินก็ดีใจ ส่งเสียงหัวเราะน่าฟังออกมา จากนั้นก็ตบลงที่กาบเรือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เรือของสหายตัวน้อยนี่ไม่เลวเลย ใช้เรือลำนี้เดินทางแล้วกัน ไปสำนักโลกันต์ทมิฬที่เจ้าพบเมื่อครั้งที่แล้ว” พูดจบ จอมเซียนจื่อเสวียนก็หันหลัง สูดอากาศที่มีกลิ่นแสงตะวันเข้าไป หยิบกาสุราขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
สวี่ชิงมองกาบเรือที่จอมเซียนจื่อเสวียนนั่งอยู่รวมถึงท่าทางการสูดลมหายใจของนาง ชะงักไปครู่หนึ่ง เรือลำนี้ของเขามียาพิษอยู่มากมาย เวลานี้พิษที่กระจายอยู่รอบๆ อย่างน้อยสองร้อยกว่าชนิด ไม่ว่าจะดาดฟ้าเรือหรือกาบเรือ ทุกตำแหน่งบนเรือลำนี้ล้วนมีแต่พิษร้ายแรงอยู่
แต่ว่าเขารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญของจอมเซียนจื่อเสวียน พิษแค่นี้ของตนเองคงจะไม่เท่าไร จึงประกบปางมือโบก ทันใดนั้นตัวเรือก็สั่น ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ หลังจากปรับทิศทาง ก็เดินทางหวีดหวิวด้วยความเร็วสูงไปทางแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพทันที
มองไกลๆ เรือท่ามกลางแสงอรุณ ใบเรือชูขึ้น พลังอำนาจท่วมท้น
สวี่ชิงยืนสง่าอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ ขณะที่ควบคุมเรือ ชุดคลุมสีม่วงก็สั่นพั่บท่ามกลางสายลม
และจอมเซียนจื่อเสวียนที่หน้าตางดงามนั่งกาบเรือข้างๆ ขาสองข้างแกว่งไกวเล็กน้อย เบนหน้ามองไปไกลๆ
ถ้าหากมีจิตรกรมาวาดภาพนี้ จะต้องงดงามอย่างมากเป็นแน่ และยิ่งแฝงจินตภาพไว้ด้วย
พื้นดินในท่าเรือ นายกองโผล่หัวออกมาจากมุมหนึ่ง ในมือถือแผ่นหยกบันทึกภาพไว้ รีบร้อนบันทึกฉากนี้ทันที
“นัดพบครั้งแรกของอาชิงน้อย ภาพที่ล้ำค่าเช่นนี้ต้องบันทึกเอาไว้ ไม่แน่ในอนาคตอาจจะขายได้ราคาดี” นายกองหน้าภูมิใจเต็มประดา
เพียงแต่เขาไม่ทันสังเกต วาด้านหลังเขาไม่ไกลออกไปนัก นายท่านเจ็ดกำลังอยู่ในหอหอหนึ่ง มองเรือบนท้องฟ้าไกลๆ ถอนหายใจออกมา
“นี่มันจอมเซียนจื่อเสวียนที่ในอดีตทำให้ชายหนุ่มหล่อเหลานับไม่ถ้วนต้องเพ้อฝันเลยนะ เสน่ห์ของเจ้าสี่คนนั้น…เทียบกับข้าตอนวัยหนุ่มได้จริงๆ”
ขณที่อาจารย์ส่งด้วยสายตา เรือก็แล่นออกห่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ไปตามแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ
ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ สีท้องฟ้าจนเหมือนทะเลสาบบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่คนที่พบเห็น สวี่ชิงควบคุมเรือตรงไปสุดกำลังที่หัวเรือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เมื่ออยู่กับจอมเซียนจื่อเสวียนเพียงลำพัง ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเครียดขึ้นมาจริงๆ ถึงอย่างไรพลังบำเพ็ญอีกฝ่ายก็ไม่ใช่แค่น่ากลัว แต่พฤติกรรมก่อนหน้านี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอีกด้วย
เขาจึงทำได้เพียงเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การควบคุมเรือเท่านั้น
เวลาก็ผ่านไปหนึ่งวันเต็มเช่นนี้
แม้สวี่ชิงจะยังตึงเครียดอยู่ แต่กลับถอนหายใจโล่ง เพราะว่าในตอนกลางวัน จอมเซียนจื่อเสวียนไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว นางเหมือนจะชอบนั่งบนกาบเรือมาก ชอบดื่มสุรา ให้ลมโกรกอยู่ตรงนั้น และชอบที่จะมองออกไปไกลๆ
บางทีเพราะความแจ่มใสในช่วงกลางวัน เมื่อราตรีเข้าครอบคลุม แสงดาวจึงแจ่มชัดมากกว่าปกติพอสมควร ไม่ทันรู้ตัวก็มารวมกันอยู่รอบๆ ตัวจอมเซียนจื่อเสวียน
ทำให้จอมเซียนจื่อเสวียนที่เดิมก็งดงามอยู่แล้ว เหมือนมีหมู่ดาวมาห้อมล้อม ใบหน้างามเผยเสน่ห์เจิดจรัสไร้ที่ติ ขณะเดียวกับที่งดงามบริสุทธิ์ ก็ดูเหมือนกับเทพยดาในดวงจันทร์ จุติลงมาบนโลกมนุษย์
แต่เทพยดาคนนี้ กลับไม่ได้เย้ายวน ไม่ได้อ่อนโยน แต่มีความเย็นชาลอยคละคลุ้ง ก้มหน้ามองภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยในความมืดเบื้องล่าง
สวี่ชิงมองลงไป สังเกตเห็นจุดที่จอมเซียนเสวียนจื่อมอง ตรงนั้นเหมือนมีสำนักอยู่แห่งหนึ่ง เนื่องจากตำแหน่งอยู่ห่างไกลมาก จึงมองไม่ชัด ได้ยินแค่เสียงกรีดร้องดังแว่วรางๆ มาตามลม
“ไปดูหน่อย” จอมเซียนเสวียนจื่อเอ่ยเสียงเรียบ
สีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ สวี่ชิงเพิ่งสัมผัสได้จากจอมเซียนเสวียนจื่อเป็นครั้งแรก ตอนนี้ใจสั่น เขาหันเรือเวทแล้วพุ่งไปทางเขาภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยทันที
เมื่อเข้าใกล้ สิ่งที่สวี่ชิงเห็นไม่ใช่สำนัก แต่เป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นบนยอดเขา ในนี้มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัดอยู่นับร้อย เผ่ามนุษย์หรือต่างเผ่าก็มีหมด ส่วนใหญ่ดูโหดเหี้ยม กลิ่นคาวเลือดรุนแรงมาก ในหมู่บ้านยังมีเลือดสดกองอยู่อีกไม่น้อย และใจกลางของหมู่บ้านก็สลักค่ายกลหนึ่งเอาไว้
ศพนับไม่ถ้วนกองเอาไว้บนค่ายกล ราวกับเป็นเครื่องเซ่นสังเวย กำลังดำเนินการพิธีกรรมชั่วร้ายบางอย่าง
ขณะที่พิธีเริ่ม ความชั่วร้ายที่ไม่อาจพรรณนาได้วูบหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากภายในค่ายกล ขณะเดียวกันเสียงขบเคี้ยวก็ดังก้องขึ้น และผู้บำเพ็ญที่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมนับร้อยรอบๆ ก็ก้มลงโขกศีรษะด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง ม่านตาหดลงเล็กน้อย ความรู้สึกพรั่นพรึงลอยเอ่อขึ้นมาในจิตใจ
ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดนับร้อยคนพวกนั้นไม่เท่าไร พลังบำเพ็ญมากสุดก็แค่แก่นลมปราณหนึ่งวังสวรรค์เท่านั้น สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงพรั่นพรึงจริงๆ คือความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากในค่ายกลต่างหาก
“ผู้ครองกระบี่สั่งการมา ในมณฑลรับเสด็จราชันห้ามบูชาสิ่งมีชีวิตให้กับความชั่วร้ายเด็ดขาด พันธมิตรแปดสำนักก็มีข้อบังคับนี้เช่นกัน พวกเจ้าใจกล้าไม่เบาเลย”
เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนสงบนิ่ง ดังก้องขึ้นในท้องฟ้าราตรีชั่วพริบตา กลิ่นอายความชั่วร้ายในค่ายกลก็แปรปรวนรุนแรง เผยความตกตะลึงกริ่งเกรง หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าคิดจะหลบหนี
ส่วนผู้บำเพ็ญรอบๆ เวลานี้แต่ละคนหน้าถอดสี แต่ไม่ทันให้พวกเขาได้เอ่ยปากหรือมองเห็นเรือเวทที่แล่นมาบนท้องฟ้าได้ถนัดตา จอมเซียนจื่อเสวียนก็ยกมืองาม โบกมือเบาๆ ไปด้านล่าง
ท่าทางการโบกมือนี้ ในสายตาสวี่ชิงนั้นแฝงเอาไว้ด้วยท่วงทำนองเทพที่ยากจะพรรณนา เขามองไม่ออกเลย จึงรู้สึกว่านี่เป็นแค่การโบกมือส่งๆ ราวกับแค่ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์โคจรของฟ้าดิน ไม่มีพลังวิเศษลงมาจุติ ไม่มีภาพมายาวิชาเวท ทว่า…
ในหมู่บ้านบนยอดเขา ผู้บำเพ็ญนับร้อยที่สั่นเทิ้มนั่น แต่ละคนหดตัวลงฉับพลันในพริบตา กระทั่งค่ายกลนั่นและกลิ่นอายความชั่วร้ายด้านใน รวมถึงภูเขาทั้งลูกก็หดเล็กลงทั้งหมดในชั่วพริบตา สลายหายไปจากสายตาสวี่ชิง
ภาพนี้ทำให้ใจสวี่ชิงสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็มีเม็ดทรายเม็ดหนึ่งลอยมา ที่ระหว่างนิ้วของจอมเซียนจื่อเสวียน
เห็นเม็ดทรายนั่น สวี่ชิงก็กระตุ้นพลังบำเพ็ญเพื่อใช้ตาทั้งสองมองอย่างละเอียดอย่างสุดกำลัง ในที่สุดเขาก็เห็นว่าเม็ดทรายนั่นเป็นรูปภูเขา และเป็นภูเขาก่อนหน้าลูกนั้น
ผู้บำเพ็ญบนนั้นกับค่ายกลรวมถึงสิ่งชั่วร้ายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่พวกเขาหดเล็กลงไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เวลานี้เผยความหวาดกลัวและความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดออกมา
พริบตาต่อมา จอมเซียนจื่อเสวียนก็ใช้สองนิ้วบีบมัน
เสียงกร๊อบดังขึ้น เม็ดทรายกลายเป็นฝุ่นฟุ้ง คละคลุ้งไปในอากาศ
“สหายตัวน้อย ตะลึงอะไรอยู่ พวกเราเดินทางต่อเถิด ไล่ไปตามสันเขานี้เลย ข้าอยากจะชมทิวทัศน์ภูเขาเสียหน่อย” จอมเซียนจื่อเสวียนที่นั่งอยู่บนกาบเรือ มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง หัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงหัวเราะนี้ หลอมรวมกับความเย็นชา ท่วงทำนองแห่งเทพเอาชนะความงามของรัศมีจันทราจนราบคาบ