ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 298 ท่วงทำนองโลกโลกีย์
บทที่ 298 ท่วงทำนองโลกโลกีย์
สวี่ชิงมองฝุ่นที่แปรเปลี่ยนมาจากเม็ดทรายฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ค่อยๆ หายลับไป เขาไม่สนใจความตายของคนพวกนั้น สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงเครียดเคร่งคือวิธีของผู้บำเพ็ญระดับหวนคืนสู่อนัตตาขั้นใหญ่
วิธีนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความอัศจรรย์ที่แฝงอยู่ในนั้นอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิง
นี่ทำให้สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้มหน้ามองไปยังตำแหน่งที่ภูเขาลูกนั้นเคยอยู่ในเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยข้างล่าง
ตรงนั้นเตียนราบ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ควบคุมเรือเวทเคลื่อนตัวไปข้างหน้าต่อ ใต้แสงจันทร์ จอมเซียนจื่อเสวียนเหมือนจะอารมณ์ดี ประเดี๋ยวๆ ก็จรดกาเหล้าที่ริมฝีปาก ดื่มมันลงไปอึกแล้วอึกเล่า
นางที่ดื่มสุราเสน่ห์เย้ายวนลดลงไปเล็กน้อย ความสง่างามเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
แต่ลักษณะท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่แค่ไม่ได้ลดเสน่ห์ของนางลง ความรู้สึกที่เหมือนท่องอยู่ในยุทธภพอิสระเสรี ดื่มสุรากาหนึ่งแบบนั้นกลับทำให้แรงดึงดูดจากเงาร่างนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นมาอีกเล็กน้อย
สวี่ชิงกวาดสายตาไปที่กาเหล้าของจอมเซียนจื่อเสวียนหลายครั้ง
แต่ว่า คิดถึงพลังบำเพ็ญของอีกฝ่าย ต่อให้ดื่มมากขึ้นอีกก็น่าจะไม่มีทางเมา เขาก็โล่งอก
สังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง ใบหน้างดงามของจอมเซียนจื่อเสวียนฉายรอยยิ้ม ยกกาเหล้าในมือเขย่าๆ ไปทางสวี่ชิง
“เจ้าดื่มหรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“สหายตัวน้อยนี่ค่อนข้างทึ่มนะ” จอมเซียนจื่อเสวียนหัวเราะเบาๆ แตะกาเหล้าที่ริมฝีปากแล้วดื่มอีกครั้ง มีสามสี่หยดที่ไหลลงมาตามมุมปากที่ยกยิ้มบางๆ ของนางแล้วปลิวไปตามลม
ในนั้นมีหยดหนึ่ง บางทีอาจจะบังเอิญ มันปลิวไปโดนคางสวี่ชิง แผ่กลิ่นเหล้าจางๆ ในตอนที่กลิ่นลอยเข้าจมูกสวี่ชิง จอมเซียนจื่อเสวียนที่อยู่บนรั้วเรือก็หยิบเอาขลุ่ยผิวสีเขียวมรกตขึ้นมาเลาหนึ่ง แตะมันที่ริมฝีปาก เป่าเสียงขลุ่ยก็ดังแว่วมา
เพลงนี้เพราะมาก แม้สวี่ชิงจะไม่เข้าใจในเรื่องท่วงทำนอง แต่ก็ฟังความองอาจที่แฝงอยู่ในเพลงนี้ออก
คล้ายว่ามีหญิงสาวสวมชุดฟาง ถือกระบี่ เดินมาจากยุทธภพ กำลังเล่าเรื่องความงดงามและเรื่องในอดีต
ในนั้นแฝงไว้ด้วยความเสียดายอยู่รางๆ ด้วย
ฟังๆ ไป ร่างของสวี่ชิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย จมอยู่ในห้วงนั้น
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง
จอมเซียนจื่อเสวียนในชุดขาวทั้งชุดประดุจเซียนที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ใต้แสงจันทร์ ในขณะที่งดงามหยาดเยิ้ม ดวงตาก็เหม่อลอย เสียงขลุ่ยดังแว่วกังวาน
ลมภูเขาเคียงข้าง เสียงเพลงแผ่วเบาเป็นสุนทรีย์ดังไปทั่ว เดินทางจากไปไกลเรื่อยๆ
และภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ในพื้นที่ที่ปกติเต็มไปด้วยอันตราย ในคืนนี้เหมือนว่ามันจะจมอยู่ในเสียงขลุ่ย เปลี่ยนมาเงียบสงบ
เหมือนทั้งฟ้าดินเหลือเพียงจอมเซียนจื่อเสวียนเพียงคนเดียว ความเสียดายในเสียงขลุ่ยค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเดียวดาย
สวี่ชิงฟังความโดดเดี่ยวออก จึงเงยหน้ามองจอมเซียนจื่อเสวียนที่นั่งอยู่บนกาบเรืออย่างอดไม่ได้ บนร่างของอีกฝ่ายมีความไร้ตัวตนเพิ่มขึ้น มีความโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้น เหมือนดอกกล้วยไม้ในหุบเขา
ไม่จำเป็นต้องมีใครมาชื่นชมช่วงเวลาผลิบานของนาง ไม่จำเป็นต้องมีใครมาชมความงามของนาง นางผลิบานเพื่อตัวเอง และวาดหวังกับสิ่งที่นางยึดมั่นในใจเท่านั้น
มองร่างงดงามนี้ สวี่ชิงพลันค่อนข้างเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายกองจึงบอกว่าในตอนที่จอมเซียนจื่อเสวียนยังสาว จึงมีคนนับไม่ถ้วนหลงใหลนาง
สวี่ชิงไม่ได้หลงใหล แต่เขาชอบเสียงขลุ่ยที่ในความองอาจแฝงด้วยความเสียดายนี้ และชอบความโดดเดี่ยวที่แฝงอยู่ในเสียงขลุ่ยเช่นกัน
สวี่ชิงหลับตา นี่ทำให้เขาคิดถึงชีวิตวัยเด็ก คิดถึงชีวิตที่ดิ้นรน และคิดถึงหัวหน้าเหลยกับปรมาจารย์ไป่
เขาอยากดื่มเหล้าแล้ว
ผ่านไปนาน ฟ้าสว่าง
เสียงขลุ่ยค่อยๆ เงียบหายไป เงาร่างของจอมเซียนจื่อเสวียนมายืนอยู่บนหัวเรือในเสี้ยวพริบตาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น นางหันหลังให้สวี่ชิง เงยหน้ามองภาพไฟลุกไหม้ที่ปลายท้องฟ้าไกล
“สวี่ชิงเจ้าชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่”
“น้อยมาก” สวี่ชิงคิดๆ แล้วตอบ
“ข้าชอบ เพราะในเสี้ยวพริบตาที่พระอาทิตย์ขึ้น ทิวทัศน์งดงามที่สุด” จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงเบา ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองท้องฟ้า สวี่ชิงก็เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่พูดอะไร จวบจนเมื่อดวงอาทิตย์ในเมฆแดงฉานลุกไหม้นั่นลอยขึ้น แสงเจิดจ้าก็กวาดไปในฟ้าดินอย่างรวดเร็ว ขับไล่ความมืดมิดบนท้องฟ้า กวาดความมืดในภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยไป ทำให้ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้สว่างไสว
ในยามที่วันใหม่มาถึง สายตาประสงค์ร้ายที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นทางหนึ่งฉายออกมาจากในภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยที่อยู่ข้างล่าง จับเป้าหมายมาที่เรือเวทของสวี่ชิง
สายตานี้เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริง บิดม้วนทั้งสี่ทิศ ทำให้แสงบนท้องฟ้าถูกบดบังไปเล็กน้อย
ดังนั้นใบหน้าจอมเซียนจื่อเสวียนจึงฉายแววไม่สบอารมณ์ออกมา
เสี้ยวขณะต่อมา หลังจากที่สายตาประสงค์ร้ายจับจ้องมาทางจอมเซียนจื่อเสวียน ความประสงค์ร้ายในนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนกทันที จากนั้นก็หายไปในพริบตา
แต่เห็นได้ชัดว่า รบกวนจอมเซียนจื่อเสวียน ผลภายหลังที่เกิดขึ้นแสนสาหัสนัก
จอมเซียนจื่อเสวียนยกมืองามสะบัดไปข้างล่าง ภูเขาเล็กๆ ที่ห่างไปไม่ไกลบิดม้วน ลุกไหม้โดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วเสี้ยวพริบตาเท่านั้น เร็วเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันได้ดัง ภูเขาลูกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในเขาไม่มีอยู่อีกต่อไป
ทำทุกอย่างเสร็จ จอมเซียนจื่อเสวียนก็บิดขี้เกียจ หันหลังเดินไปหาสวี่ชิง ในขณะที่สวี่ชิงทำตัวไม่ถูกนางก็เดินมาถึงข้างหน้าเขาแล้ว มองดวงตาสวี่ชิง แววตาลึกล้ำเย็นเยือก ทำให้คนที่มองหลงอยู่ในสายตานั้นได้ง่าย
สวี่ชิงหลบไปโดยสัญชาตญาณ
เห็นเป็นเช่นนี้ จอมเซียนจื่อเสวียนหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เดินเข้าไปในห้องเรือ
สวี่ชิงถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวกันก็ลอบทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าหลังจากออกมาจากสำนัก เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ตอนนี้เขาผสานพลังบำเพ็ญเข้าไปในเรือเวทสุดกำลัง ยิ่งกระตุ้นคุณสมบัติเทพของเรือเวท ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมหาศาล จากไปไกลอย่างเร็วรี่
กลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลางคืนมาเยือนอีกครั้ง
คืนนี้จอมเซียนจื่อเสวียนยังคงนั่งบนกาบเรือเหมือนเดิม ดื่มเหล้าบ้างเป็นบางครั้งเพื่อสร้างกลิ่นอายยุทธภพในเสียงขลุ่ยให้มากขึ้น เสียงขลุ่ยดังแว่วเข้ามาในหูสวี่ชิง ต่อให้เมื่อคืนนี้ฟังอยู่นาน แต่คืนนี้ฟังอีกครั้งเขาก็ยังชอบมากเหมือนเดิม
จนกลางดึก เมฆดำบนท้องฟ้าลอยเคลื่อนบดบังดวงจันทร์ มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา ในยามที่เหมือนจะมีหยดฝนสาดลงมา เสียงขลุ่ยของจอมเซียนจื่อเสวียนก็หายไป ในเสี้ยวพริบตาที่นางดื่มเหล้า สวี่ชิงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ผู้อาวุโส เพลงนี้ชื่อว่าอะไรหรือขอรับ”
“เจ้าชอบอย่างนั้นหรือ” จอมเซียนจื่อเสวียนวางกาเหล้า ในดวงตาแฝงด้วยท่วงทำนองเทพ มองมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงพยักหน้า
“เจ้าเป่าขลุ่ยเป็นหรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ข้าสอนให้” ระหว่างพูด จอมเซียนจื่อเสวียนก็ก้าวมา ไม่รอให้สวี่ชิงมองเห็นชัด นางก็มาอยู่ข้างกายเขาแล้ว ขลุ่ยผิวในมือยื่นไปข้างหน้าเขา
ในตอนที่สวี่ชิงลังเลที่จะรับมา จอมเซียนจื่อเสวียนก็มาอยู่ข้างหลังเขาแล้ว สองมือของนางอ้อมมาจากทั้งสองข้าง จับไปที่มือทั้งสองของเขา ในเสี้ยวพริบตาที่ผิวสัมผัสกัน ร่างของสวี่ชิงสะท้านเฮือก
โดยเฉพาะตอนนี้ทั้งสองคนแทบจะแนบชิดอยู่ด้วยกัน และกลิ่นหอมละมุนที่ลอยมาจากข้างหลัง ก็ยิ่งทำให้หน้าผากของสวี่ชิงชุ่มเหงื่อ เขาพลันรู้สึกเสียใจที่ไปถามชื่อของบทเพลงนี้แล้ว
“ขลุ่ยผิวมีสิบสองรู มือทั้งสองของเจ้าสลับจับหน้าหลังถือขลุ่ยอยู่ทางด้านซ้ายนะ” เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนในความหวานละมุนแฝงไว้ด้วยความเย้ายวน เมื่อดังออกมา จิตใจเกิดระลอกคลื่น ท่ามกลางกลิ่นลมหายใจหอมละมุนก็จับมือทั้งสองข้างที่ถือขลุ่ยของสวี่ชิงมาวางไว้อีกฝั่งหนึ่งของขลุ่ย
ขั้นตอนทั้งหมดล้วนจับมือสอนอย่างละเอียด สุดท้าย ท่ามกลางร่างกายที่แข็งทื่อของสวี่ชิง จอมเซียนจื่อเสวียนก็ยกมือทั้งสองของสวี่ชิงขึ้น ถือขลุ่ยไปข้างหน้าริมฝีปากเขาด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
“สหายตัวน้อยตั้งใจเรียนให้ดีๆ อย่าเหม่อ ตอนนี้ทำแบบนี้…เป่าลมออกมาหนึ่งที” ข้างหูวี่ชิงมีลมร้อนกลุ่มหนึ่งพัดมา อีกทั้งเสียงกระซิบของจอมเซียนจื่อเสวียนที่ดังข้างหู
สวี่ชิงยิ่งตัวแข็งหนักกว่าเดิม ความลนลานขั้นสูงนำมาซึ่งหัวใจเต้นระรัว หลังจากที่เขาเงียบนิ่งอยู่สามสี่อึดใจก็ฝืนปรับจิตใจได้ ทำตามวิธีสอนของจอมเซียนจื่อเสวียนเป่าลมออกมาเบาๆ
เสียงแสบแก้วหูดังทะลุขึ้นกลางอากาศ
จอมเซียนจื่อเสวียนหัวเราะออกมาทันที เดินจากข้างหลังสวี่ชิงมาอยู่ข้างหน้าเขา ยกนิ้วเรียวงามราวลำเทียน แตะไปบนขลุ่ยผิวข้างหน้าสวี่ชิงอย่างสง่างาม ปิดรูหนึ่งเอาไว้
“ต้องแบบนี้”
ระหว่างพูด นางมองสวี่ชิง ริมฝีปากแดงยกขึ้นเพราะยิ้ม ในแววตายิ่งล้ำลึกเยือกเย็น โดยเฉพาะใบหน้างดงามไร้ที่ตินั่นเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ ก็ทำให้แววตาสวี่ชิงฉายความแตกตื่นลนลานเป็นครั้งแรก
จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา ท้องฟ้ามีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ท่ามกลางเสียงครืนครานหยดฝนก็สาดลงมายังผืนดิน สาดลงมายังเกราะป้องกันของเรือเวทส่งเสียงดังซ่าๆ ทำให้สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก ถอยหลังไปสามสี่ก้าว
“ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ผู้เยาว์เรียนเข้าใจแล้ว จากนี้ข้าฝึกฝนเองก็ได้ขอรับ”
จอมเซียนจื่อเสวียนหัวเราะ เหมือนนางจะชอบท่าทางลนลานทำตัวไม่ถูกของสวี่ชิงมาก ได้ยินดังนั้นดวงตางดงามก็กวาดไปยังดวงตาของสวี่ชิง จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ เท้าคางมองสวี่ชิง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก นั่งขัดสมาธิถือขลุ่ยผิว หลับตานึกย้อนวิธีที่จอมเซียนจื่อเสวียนสอน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น เป่าออกมาเบาๆ ครั้งนี้แม้เสียงขลุ่ยจะไม่บาดหูแต่กลับโหยหวน ไม่มีความไพเราะใดๆ ทั้งสิ้น
“สหายตัวน้อยช้าๆ อย่าได้รีบร้อน” จอมเซียนจื่อเสวียนยิ้มอ่อนโยน
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง คืนหนึ่งผ่านไป
คืนนี้ ข้างนอกเม็ดฝนโปรยปราย เสียงฝนดังไม่ขาดสาย ประเดี๋ยวๆ ก็มีเสียงฟ้าดังครืนครันมา ความเย็นยะเยือกจากฝนลอยอวล
บนเรือเวท ดวงตาของจอมเซียนจื่อเสวียนที่จ้องมองสวี่ชิงมาตลอดค่อยๆ อ่อนโยนลงมา ประเดี๋ยวๆ ก็เอ่ยปากบอกทำนอง
ส่วนสวี่ชิงก็ค่อยๆ สงบลง เรียนอย่างจริงจัง จนเมื่อฟ้าสว่าง จากฝนที่หยุดลง เพลงที่ไม่ได้ชำนาญนัก มาพร้อมด้วยความงกเงิ่นอย่างรุนแรง เสียงขลุ่ยขาดๆ หายๆ ก็ดังก้องไปทั่วสารทิศก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น
เสียงขลุ่ยดังไปในภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยและดังไปยังริมฝั่งแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ ทำให้มนุษย์ธรรมดาที่มาที่นี่หลังฝนตก ในยามที่เช็ดล้างไอพลังประหลาดเน่าเปื่อยทั่วร่าง แววตาที่ว่างเปล่าก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย ต่างเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
ในเรือเวท สายตาของจอมเซียนจื่อเสวียนเพิ่งจะเบนจากสวี่ชิงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ นางมองไปที่ริมฝั่งเอ่ยเสียงเบา
“ช้าก่อน”
ระหว่างพูด จอมเซียนจื่อเสวียนลุกขึ้น เพียงก้าวเดียวก็ลงไปจากเรือเวท เดินมายังริมฝั่ง
ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาเหล่านั้น จอมเซียนจื่อเสวียนที่เดินมา งดงามจนเหมือนเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในฟ้าดินนี้ ทำให้พวกเขาต่างตัวสั่นและอับอาย
จอมเซียนจื่อเสวียนเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก นางรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไร ใบหน้าฉายความอ่อนโยน รอยยิ้มที่อ่อนโยนนี้ลบล้างความหวาดหวั่นของทุกคนไปได้
นางเดินมาข้างหน้าเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่นอนลมหายใจรวยรินอยู่ริมฝั่งคนหนึ่ง
ทั้งร่างของเด็กหญิงคนนี้เน่าเปื่อยไปแล้วกว่าครึ่ง เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด ส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา แต่ในดวงตาก็ยังมีประกายที่เป็นของเด็กอายุนี้อยู่ เพียงแต่แสงประกายนี้ ก็กำลังหม่นแสงลงไปจากการไหลออกของชีวิต
มองเด็กหญิงตัวน้อย จอมเซียนจื่อเสวียนในชุดขาวก็ย่อตัวลง ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย นางลูบหน้าผากของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา เนื้อเน่าเปื่อยบนร่างของนางค่อยๆ เริ่มดีขึ้น
“โลกนี้แม้ทุกข์ทรมานขมขื่น แต่ก็ต้องมีความหวัง” จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หยิบลูกกวาดออกมาเม็ดหนึ่ง ป้อนไปในปากของเด็กหญิงตัวน้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แสงในดวงตาของเด็กหญิงก็เปล่งประกายแสงอีกครั้ง
จอมเซียนจื่อเสวียนยิ้ม แต่สายตากวาดไปรอบๆ แล้วถอนหายใจออกมา แข็งแกร่งเช่นนางสามารถเปลี่ยนชะตาของสำนักหนึ่งได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเปลงโลกใบนี้ได้
สวี่ชิงยืนที่หัวเรือ มองภาพนี้ นิ่งเงียบไม่พูดจา