ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 300 เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
บทที่ 300 เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ตอนที่แสงโพล้เพล้ยามเย็นหายไป เรือเวทของสวี่ชิงก็กลับมาถึงท่าจอดเรือ แทบจะตอนที่กลับมา เขาก็ได้รับสื่อเสียงจากนายกอง
“อาชิงน้อย นัดพบครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง มาๆๆ ข้าอยู่ที่สระน้ำเซียนที่เจ้าทำเรื่องลดราคาให้ข้าร้านนั้น เจ้ามาแช่หน่อยเถอะ มาเล่าให้ศิษย์พี่ฟัง ศิษย์พี่มีประสบการณ์มากมายที่ชี้แนะเจ้าได้นะ”
“ไว้วันหลังเถิด” สวี่ชิงตอบกลับ ขณะที่กำลังจะจบการสื่อเสียง นายกองก็กระแอมไอ
“อาจารย์ก็อยู่ที่นี่ด้วย…”
“…” สวี่ชิงเงียบนิ่ง
ครู่ต่อมา ในสระน้ำเซียนของสวีเสี่ยวฮุ่ย ในบ่อลับที่สามารถก้มมองบ่อน้ำใหญ่เบื้องล่างได้ สวี่ชิงกับนายกองรวมถึงนายท่านเจ็ด ศิษย์อาจารย์สามคนแช่น้ำร้อนอยู่ด้วยกัน
สวี่ชิงมองคนทั้งสามด้วยสีหน้าประหลาด
นายท่านเจ็ดกระแอมไอ จ้องนายกอง
“ก่อนหน้านี้อาจารย์กำลังนั่งสมาธิ เจ้าก็เอาแต่อ้อนให้ข้ามาด้วย แล้วนี่มีเรื่องอะไรกันแน่!”
นายกองกะพริบตา
ผู้นายท่านเจ็ดแค่นเสียง นายกองจึงถอนหายใจ มองสวี่ชิงด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
“อาชิงน้อย เจ้ากับจอมเซียนจื่อเสวียนออกไปครั้งนี้ เอ่อ พัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว”
นายท่านเจ็ดสีหน้าปกติ ทำท่าเหมือนไม่ใคร่จะใส่ใจนัก
สวี่ชิงมองอาจารย์ตนเองเงียบๆ ครู่หนึ่ง หลังจากคิดๆ ก็ตอบกลับว่า
“ผู้อาวุโสจื่อเสวียนสอนข้าเป่าขลุ่ยขอรับ”
นายท่านเจ็ดหูผึ่ง
นายกองรีบร้อนถาม
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็ไปกราบไหว้สหายเก่าของนาง อาจารย์ของชายชราสำนักโลกันต์ทมิฬในภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยคนนั้น” สวี่ชิงไม่มีปิดบัง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทาง
ในความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“แค่นี้?” นายกองทำหน้าไม่เชื่อ
“ขอรับ ตอนกลับมา ผู้อาวุโสจื่อเสวียนมอบขลุ่ยให้ข้าด้วย” สวี่ชิงพยักหน้า
“ขลุ่ยอะไร” นายกองอยากรู้อยากเห็น
“เหมือนชื่อว่าขลุ่ยหลิวอะไรสักอย่างขอรับ” สวี่ชิงตอบกลับ
นายกองยังไม่ทันอ้าปาก นายท่านเจ็ดก็สูดปาก
“ขลุ่ยวิญญาณจันทร์กิ่งหลิว”
สวี่ชิงไม่คุ้นกับชื่อนี้ จึงล้วงขลุ่ยออกมา
ตอนที่เห็นขลุ่ยเลานี้ สีหน้าผู้นายท่านเจ็ดก็ใจลอย ครู่ต่อมาก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถลึงตามองนายกอง
“หลังจากนี้ตอนที่อาจารย์นั่งสมาธิ ถ้ายังเข้ามารบกวนอีก ข้าจะหักขาเจ้าทิ้งเสีย!”
นายกองเบิกตากว้าง เผยความน้อยเนื้อต่ำใจรุนแรงออกมา ประมาณว่าคนแก่อย่างท่านทำไมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ท่านแท้ๆ ที่เรียกข้ามา แล้วยังให้ข้าเรียกสวี่ชิงมาด้วย
นายท่านเจ็ดกระแอม
“เอาล่ะ เรื่องที่เจ้าพูดไว้ครั้งที่แล้ว อนุมัติ”
พูดจบ นายท่านเจ็ดก็สวมเสื้อผ้าพลางหันมาพูดกับสวี่ชิงว่า
“เจ้าสี่ ตอนนี้เจ้าไฟชีวิตสี่ดวงแล้ว ใกล้ได้จังหวะพอดี รอให้ข้าจัดการธุระช่วงนี้เสร็จ ข้าจะพาเจ้าออกไป”
นายท่านเจ็ดมือไพล่หลังเดินออกไป
จนกระทั่งนายท่านเจ็ดเดินไปแล้ว สีหน้านายกองก็กลับมาเป็นปกติในพริบตา ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างภูมิใจให้สวี่ชิง
“เรียนรู้ไว้นะศิษย์น้องเล็ก รับมือกับตาแก่ต้องทำเช่นนี้ ตาแก่นั่นถึงจะหน้าดำปากแข็งแต่ใจอ่อน ดังนั้นเจ้าก็ลองน้อยอกน้อยใจบ้าง เขาก็ผ่อนปรนให้แล้ว
แต่ว่าตาแก่คราวนี้ทั้งละอายทั้งขุ่นเคืองชัดๆ จากที่ข้าเห็นเขารู้จักชื่อขลุ่ย แปดสิบเก้าสิบส่วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้ไปเมื่อตอนนั้นแน่
สวี่ชิงกะพริบตา คิดถึงที่จอมเซียนจื่อเสวียนพูดไว้ว่าในอดีตมีคนที่ส่งขลุ่ยให้นางมากมาย จนลืมไปแล้วว่าเป็นขลุ่ยที่ใครมอบมาให้ เมื่อนึกคิดถึงท่าทีของอาจารย์เมื่อครู่ เขาก็รู้สึกว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้
หลังจากแช่ต่ออีกครู่หนึ่ง สวี่ชิงเองก็เตรียมจะลุกออกไปเช่นนี้ ก่อนที่จะออกไปนายกองก็พิงตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงสบายใจออกมา
“อาชิงน้อย คราวหน้าเจ้าให้แผ่นหยกข้าอีกสักชิ้นสิ ข้าถามดูแล้วที่นี่ไม่มีส่วนลดยี่สิบส่วนให้ นั่นเป็นบริการที่ให้แขกพิเศษที่มีอยู่น้อยมาก เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ”
“แล้วของท่านล่ะ” สวี่ชิงถามขึ้นมา
“ข้าให้อู๋เจี้ยนอูไปแล้ว” นายกองตอบเสียงทุ้ม
“ข้ามีเรื่องจะให้อู๋เจี้ยนอูช่วย อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้ ถ้าข้าทำสำเร็จได้จะยอดเยี่ยมมาก ถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องออกไปซ่อนตัวเสียหน่อย แล้วก็ยังต้องให้เจ้าคอยช่วยข้าพูดด้วย”
สวี่ชิงไม่รู้สึกแปลกใจ หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่นายกองกับอู๋เจี้ยนอูมาที่นี่ เขาก็รู้จากสายของเขานานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินก็พยักหน้า ส่วนที่นายกองบอกว่าต้องออกไปซ่อนตัว สวี่ชิงรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เขาพอจะเดาได้ว่าเป้าหมายครั้งนี้ของนายกองอยู่ตรงที่ใด
‘พนันได้เลยว่าต้องเป็นฟันซี่นั้นแน่ๆ’ สวี่ชิงมองนายกอง ออกมาจากสระน้ำเซียน ตอนกลับมาถึงท่าจอดเรือก็ดึกแล้ว หลังจากนั่งลงขัดสมาธิ เขาก็หลับตาเริ่มนั่งสมาธิ
ช่วงนี้ที่อยู่ด้านนอก พอมีจอมเซียนจื่อเสวียนอยู่ด้วย เวลาเขานั่งสมาธิก็ไม่สามารถดิ่งสมาธิได้ทั้งหมด เสียเวลาไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นสวี่ชิงจึงตัดสินใจว่าหลายวันจากนี้ จะฝึกบำเพ็ญเอาเวลาที่เสียไปก่อนหน้านี้กลับคืนมา
เวลาก็ผ่านไปสามวันเช่นนี้
กลางดึกของวันที่สาม สวี่ชิงที่นั่งสมาธิอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาเผยแววเฝ้ารอ เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวประหลาดในถุงเก็บของ
ออกมาจากขวดใส่แมลงสีดำที่ป้อนวุ้นเซียนเอาไว้
สวี่ชิงล้วงขวดออกมา สัมผัสถึงมันก่อนครู่หนึ่ง พอยืนยันว่าไม่มีอุปสรรคใดจึงเปิดมันออก
ในขวดไม่มีอะไรอยู่เลย สวี่ชิงมองไปรอบๆ ก็สัมผัสอะไรไม่ได้เช่นกัน
แต่ยังมีความรู้สึกอันตรายที่รุนแรงรางๆ แผ่ซ่านอยู่รอบตัวเขา
สวี่ชิงสีหน้าปกติ ยกมือซ้ายขึ้น กรีดลงไปที่ฝ่ามือขวา พริบตาที่เลือดหลั่งออกมา ปากแผลก็สมานกันในพริบตา แต่เลือดสดส่วนนี้ที่ไหลออกมาก็เพียงพอแล้ว
พริบตาต่อมา อากาศไหลเวียน ตัวตนที่มองไม่เห็นยิ่งไปกว่านั้นยังจับสัมผัสได้ยากยิ่งกลุ่มหนึ่ง ก็พุ่งจากรอบด้านมายังเลือดสดกลางฝ่ามือของสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว เลือดสดในฝ่ามือเขาก็ลดลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในที่สุดก็หายไปจนหมดภายใต้การสังเกตของสวี่ชิง
จากการสลายหายไปของเลือด จากสัมผัสของสวี่ชิง ในที่สุดเขาก็จับสัมผัสตัวตนของแมลงสีดำได้แล้ว
หลังจากแมลงสีดำเหล่านี้สูดรับวุ้นเซียนไป ในการอำพรางก็เพิ่มไปถึงระดับหนึ่ง ขนาดที่ว่าสวี่ชิงก่อนนี้ยังจับสังเกตไม่ได้
แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ชุบเลี้ยงจากเลือดของสวี่ชิง ในร่างกายแฝงไว้ด้วยพิษของสวี่ชิง แม้จะไม่ได้ป้อนเลือดให้นานแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ยังคงอยู่
และตอนนี้หลังจากกลืนกินเลือดของสวี่ชิงแล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างกันก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
“ทั้งหมดสามพันเจ็ดร้อยสิบเอ็ดตัว” สวี่ชิงกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างพึงพอใจ
แต่เขาก็เข้าใจ ว่านี่เป็นแค่การเริ่มต้น ถัดจากนี้เขายังต้องทำการเพาะเลี้ยงต่อไป ส่วนแมลงตัวน้อยเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้กินพิษนานแล้ว จึงแผ่ความหิวโหยออกมา
วันถัดมาสวี่ชิงจึงออกจากท่าจอดเรือ ไปกว้านซื้อพวกยาพิษสมุนไพรพิษจากในร้านรวงของเมืองหลักแปดพันธมิตร เขามีค่าตอบแทนจากตำแหน่งผู้สืบทอดมรรคาเป็นจำนวนแปดล้านก้อนหินวิญญาณทุกปี จึงซื้อพวกสมุนไพรพิษได้แบบไม่เจ็บไม่คัน
หนึ่งวัน เขาซื้อสมุนไพรพิษมาจำนวนมาก ในนี้ส่วนใหญ่เป็นพิษที่หายากและล้ำค่า และบางส่วนเป็นลูกกลอนพิษ หลังจากซื้อของเหล่านี้มา สวี่ชิงก็ได้เริ่มต้นป้อนอาหารแมลงสีดำ
การป้อนอาหารครั้งนี้ เดิมทีสวี่ชิงคิดจะค่อยๆ ทำ
แต่แมลงสีดำของเขาเหล่านั้นดูหิวโซอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เริ่มสวี่ชิงยังกังวลว่าพวกมันอาจจะรับไม่ไหว จังหวะการป้อนจึงควบคุมไว้เล็กน้อย
แต่ช่วงหลัง เขาก็จัดการป้อนพวกสมุนไพรพิษลูกกลอนพิษไปเลย แมลงสีดำของเขาก็กรูกันเข้ามากัดกินอย่างบ้าคลั่ง
ผ่านไปเช่นนี้เจ็ดวัน สมุนไพรพิษที่แมลงดำกินก็มากขึ้นเรื่อยๆ หินวิญญาณที่จ่ายไปทุกวันผลาญทิ้งเหมือนน้ำ แต่ขณะเดียวกันพิษที่แฝงอยู่ในแมลงสีดำพวกนี้ อาจเพราะพวกมันดูดซับวุ้นเซียนไปเต็มที่ เปลี่ยนเป็นรุนแรงมากขึ้นเช่นเดียวกัน
กระทั่งแก่นลมปราณหนึ่งวังสวรรค์ทั่วไป ถ้าถูกพวกมันกัดแล้วชอนไชเข้าร่างกายจะต้องตายอย่างแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ล้วงยาลูกกลอนพิษต้องห้ามออกมา เริ่มแผนการที่กำหนดไว้ตอนอยู่ที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เขาคิดจะชุบเลี้ยงแมลงสีดำที่สามารถใช้ชีวิตในลูกกลอนพิษได้ออกมา
เพียงแต่ขั้นตอนนี้ยังคงไม่ค่อยราบรื่นนัก แม้แมลงสีดำจะมีการเปลี่ยนแปลงและโหดร้ายกว่าแต่ก่อน ทว่าพิษของลูกกลอนพิษต้องห้ามน่ากลัวเกินไป พวกมันยืนหยัดนานขึ้นมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถอาศัยอยู่ในนั้นไหว
ทว่าสวี่ชิงก็พอใจมากแล้ว เพราะเขาพบว่า แมลงสีดำชุดนี้สามารถกลืนกินพิษของลูกกลอนพิษต้องห้ามบางส่วนเอาไว้ในตัวได้
แม้จะไม่นานมากนัก ทุกๆ หลายวันจะต้องคายออกมา ไม่เช่นนั้นร่างกายพวกมันก็จะเน่าเปื่อยกลายเป็นฝุ่นผง แต่ว่า…ทำได้ถึงจุดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้พลังต่อสู้ของสวี่ชิงเพิ่มขึ้นมากแล้ว
ส่วนเขาในที่สุดก็สามารถใช้ประโยชน์จากลูกกลอนพิษได้แล้ว ใช้ประโยชน์ของมันมาเป็นไม้ตายของตนเอง ไม่ใช่วิธีการตายตกตามกันอะไรแบบนั้น
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงฮึกเหิมมาก จึงเริ่มซื้อข้าวของรอบใหม่ ครั้งนี้สิ่งที่เขาซื้อไม่ใช่สมุนไพรพิษยาพิษอีกแล้ว แต่เป็นอสูรร้ายตัวเป็นๆ แทน
ที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ การตายของนักโทษในกรมปราบพิฆาตเป็นเตียงอุ่นๆ สำหรับการขยายพันธุ์ของแมลงสีดำ แต่หน่วยที่เขารับผิดชอบในพันธมิตรแปดสำนักนี้ไม่มีคุกใหญ่ แต่พันธมิตรแปดสำนักก็ไม่ขาดแคลนอสูรร้าย
หลังจากสวี่ชิงทดลองประสิทธิภาพแล้ว แม้จะไม่สู้นักโทษแต่ก็ยังพอรับได้ ดังนั้นเวลาที่เหลือ ในเรือเวทของเขาก็มีเกราะคุ้มกันปิดกั้นเสียงแผดคำรามไม่ขาดสายของอสูรไว้ภายในด้วย
ผ่านไปหนึ่งเดือนเช่นนี้
ในที่สุดจำนวนแมลงสีดำของสวี่ชิงจากก่อนหน้าสามร้อยกว่าตัวก็กลายเป็นสามพันกว่าตัว ขณะที่เขาใส่ลงขวดเล็ก เขาก็ได้รับสื่อเสียงจากนายท่านเจ็ด
“เห็นว่าช่วงนี้เจ้าซื้อสมุนไพรพิษกับอสูรร้าย ดูท่าเจ้าคงกำลังหลอมพิษอยู่ ตอนนี้หลอมไปถึงไหนแล้ว ถ้าหากยังไม่รีบ ก็ให้อาจารย์พาเจ้าออกไปเถอะ จะไปจัดการเรื่องวิชาแก่นลมปราณให้เจ้า แล้วถือโอกาสลองดูด้วยว่าจะตกปลาได้หรือไม่
“เรื่องที่ตอนนี้เจ้ามีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวง คนที่รู้มีอยู่มากมาย จะสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าก็ดี หรือจะพวกจิตชั่วร้ายภายนอกก็ดี ครั้งออกไปดึงดูดมาทำลายทิ้งเสียบ้าง หลังจากนี้เวลาที่เจ้าออกด้านนอกก็จะปลอดภัยขึ้นเปราะหนึ่ง”
เรื่องนี้ นายท่านเจ็ดเคยพูดกับสวี่ชิงไว้แล้ว สวี่ชิงไม่ลังเล รับคำสั่งอาจารย์ทันที
ขณะเดียวกัน ส่วนทางเหนือของมณฑลรับเสด็จราชันนี้ ปลายทางของภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยเป็นสีขาวทั้งผืน เต็มไปด้วยลมหิมะ หนาวเย็นเสียดกระดูก ไม่เพียงแต่ภูเขาขาวโพลนตลอดทั้งปี พื้นดินก็เป็นเช่นเดียวกัน
ที่นี่สภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตเลวร้ายมาก ไม่เหมาะให้มนุษย์สามัญอยู่อาศัย มีเพียงพื้นที่ชายขอบที่จะมีรัฐเล็กๆ ของมนุษย์สามัญอยู่ และในส่วนลึกของที่ราบน้ำแข็งก็พบเห็นเงาคนได้ยากมาก
แต่กลับมีเสาขนาดยักษ์ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่จุดเหนือสุดราวกับค้ำยันฟ้าดินไว้
เสาต้นนี้ดำสนิททั้งต้น แม้แต่ลมพายุหิมะคลั่งก็สั่นสะเทือนมันไม่ได้แม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้นไปก็มองไม่เห็นตำแหน่งยอดเสา
หากเข้าใกล้แล้ว ก็จะเห็นว่าเสาต้นนี้หนาถึงพันจั้ง แต่ระดับความสูงก็ยังไม่อาจทราบได้
บนเสาสลักอักขระกับภาพสักการะไว้นับไม่ถ้วน แผ่พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ยากจะพรรณนาออกมา
แต่ที่ทำให้คนที่เห็นทั้งหมด เกิดความรู้สึกอยากจะปวารณาตัวเลยทีเดียว
และเจตจำนงการต่อสู้ยังแผ่จากตัวเสาโหมขึ้นฟ้า แฝงความโหดร้ายมหาศาล ราวกับจะบดขยี้ทุกสรรพสิ่งไว้ด้วย
นี่คือเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ!
ทอดสายตาไป รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีกระโจมทรงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย จำนวนนับแสนหลัง ก่อตัวขึ้นเป็นเมืองพิเศษแห่งหนึ่งขึ้น
ในนี้ไม่มีมนุษย์สามัญ มีแต่ผู้บำเพ็ญที่มาจากทั้งทั่วสารทิศเท่านั้น พวกเขารวมตัวกันที่นี่ เพื่อใช้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะในการฝึกบำเพ็ญ
ด้วยเหตุนี้ตัวเสาจึงแปลกประหลาด คลื่นที่แผ่ออกมาถ้าหากได้สัมผัสเป็นเวโถงาน จะก่อเกิดอักขระเทวะที่แฝงเจตจำนงการต่อสู้ขึ้นในจิตวิญญาณ และสามารถขัดเกลาเจตจำนงผ่านอักขระเทวะนี้ได้ ยกระดับพลังบำเพ็ญขึ้นมา
นอกจากนี้…เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะยังแฝงสิ่งสืบทอดอีกนับไม่ถ้วนไว้ ใครก็ตามสามารถมาปีนป่ายได้ตลอดเวลา ยิ่งปีนขึ้นไปสูง สิ่งสืบทอดที่ได้รับก็จะยิ่งใหญ่ตาม
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่ที่หกของมณฑลรับเสด็จราชันแห่งนี้
แน่นอนว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ…สถานที่นี้ เป็นสถานที่อยู่ของโถงครองกระบี่ซึ่งผู้ครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชันพำนักอยู่
โถงครองกระบี่ สร้างขึ้นในจุดสูงสุดของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ด้านหลังชั้นเมฆหมอกนับไม่ถ้วนนั่น เหนือท้องฟ้า ที่ปลายสุดของเสาต้นนี้ มีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น
ตำหนักนี้แตกต่างจากที่อื่น ไม่ได้สร้างขึ้นจากอิฐหรือหยกงาม แต่สร้างขึ้นจากกระบี่นับไม่ถ้วนวางพาดสลับกัน จนกลายเป็นตำหนักกระบี่
ระหว่างเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะกับตำหนัก ทั้งดูคล้ายว่าฝ่ายหน้าจะแบกรับฝ่ายหลังอยู่ และดูคล้าย…ฝ่ายหลังกำลังสะกดฝ่ายหน้าอยู่เช่นกัน
เนื่องจากบนพื้นดินสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ที่นี่ก็ยังมองเห็นว่าเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะกำลังสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับมีคนกำลังอัญเชิญมัน ดึงมันขึ้นมาจากพื้นดิน
แต่กลับถูกวังกระบี่นี้สะกดไว้ จึงทำได้เพียงสั่นไหว ไม่อาจหลุดออกได้แม้แต่น้อย
ตอนนี้ในตำหนักกระบี่แห่งนี้ กำลังหารือกันอยู่ในโถงครองกระบี่!
ผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมการประชุมนี้ มีทั้งหมดเก้าคน พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ไม่เห็นหน้าตา แต่บนตัวทุกคนล้วนแผ่คลื่นพลังที่น่ากลัว ดวงตาที่เผยออกมาจากชุดคลุมขาวเป็นครั้งคราวแฝงไว้ด้วยพลานุภาพที่สูงส่ง
ราวกับว่าความเป็นความตายของหนึ่งสำนักหนึ่งลัทธิ พวกเขาทั้งเก้าคนสามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด
เพราะพวกเขาทั้งเก้าคน คือทูตครองกระบี่ที่มีระดับสูงสุดในโถงครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชัน แข็งแกร่งเทียบเท่าสำนักเซียนล้ำบารมี และในนามก็จำใจต้องเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับคำสั่งของพวกเขา
เพราะว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของเผ่ามนุษย์ดั้งเดิม เป็นกรมครองกระบี่หนึ่งในห้ากรมทมิฬของเผ่ามนุษย์ กระจายอยู่ตามกรมสำนักของมณฑลรับเสด็จราชัน
เพราะเบื้องหลังของพวกเขาคือรัฐโบราณที่สืบทอดในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวทิ้งเอาไว้ ต่อให้ตอนนี้เผ่ามนุษย์จะตกต่ำ ผู้นำแห่งต้องประสงค์ในอดีตจะกลายมาเป็นหนึ่งดินแดนเจ็ดมณฑลในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในชนเผ่าใหญ่อยู่
และยังคงมี…จักรพรรดิแห่งมนุษย์ครองอยู่
เวลานี้ ในโถงครองกระบี่ มีเสียงดังก้องขึ้น
“สองเรื่อง เรื่องแรก การทดสอบผู้ครองกระบี่ชุดใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น วังครองกระบี่ของเขตปกครองผนึกสมุทรส่งคำสั่งมาว่า ยุคสมัยใหม่มาถึง อัจฉริยะฟ้าประทานของเผ่าต่างๆ ปรากฏตัวมากมาย เป็นทั้งวิกฤตและเป็นทั้งวาสนา ขอให้โถงครองกระบี่ในมณฑลต่างๆ ยกระดับมาตรฐานการทดสอบด้วย ผู้ครองกระบี่อย่างพวกเราต้องการแค่อัจฉริยะฟ้าประทานที่โดดเด่นเท่านั้น
“เรื่องที่สอง หลายปีนี้การสั่นสะเทือนของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่ข้ารายงานขึ้นไปก็มีการตอบกลับแล้ว จากการอนุมานของวังในมณฑลก็สอดคล้องกับสิ่งที่ข้าพิจารณาไว้ เทพภูตตนนั้นของมณฑลรับเสด็จราชัน มีเค้าลางว่าจะตื่นขึ้นแล้ว เรื่องนี้วังในมณฑลก็ให้ข้ารีบจัดการโดยไวที่สุด
“จะตื่นขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย ดังนั้นหลายปีนี้เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคากับเขาภูตคีรีใต้ที่แปรมาจากสามจิตเจ็ดวิญญาณของเทพภูตตนนั้น พลังบำเพ็ญถึงได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”
“เรื่องนี้ให้ดำเนินการตามที่หารือเอาไว้ก่อนหน้า การที่เทพภูตตนนี้จะตื่นขึ้นสามจิตเจ็ดวิญญาณต้องกลับคืนมาก่อน การสะกดแค่หนึ่งวิญญาณจึงไม่ค่อยมีประโยชน์นัก ดังนั้นแผนการของข้าคือสะกดหนึ่งวิญญาณ แล้วจับกุมมันกลับมาที่นี่
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพภูตก็ไม่อาจสมบูรณ์ และยากที่จะตื่นขึ้น”