ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 306 สมบัติวิญญาณ หวนสู่อนัตตา เตรียมสู่เทวะ
บทที่ 306 สมบัติวิญญาณ หวนสู่อนัตตา เตรียมสู่เทวะ
ข้างหูสวี่ชิงมีคำพูดของนายท่านเจ็ดสะท้อนก้อง
เขาฟังไปพลางทอดสายตามองไปไกลๆ ยังภูเขาที่เปลี่ยนมาจากจักรพรรดิภูตคีรีใต้
คลื่นลูกยักษ์ในจิตใจซัดโหมอย่างยากจะควบคุม ลูกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระหน่ำซัดไม่หยุด
ต่อให้จ้องเพ่งภูเขาลูกนั้นดวงตาของเขาค่อยๆ เจ็บปวดขึ้น แต่สวี่ชิงก็ยังมองไปอย่างละเอียด มองอย่างตั้งใจ
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเทพที่นายท่านเจ็ดพูดองค์นี้จะมีพลังบำเพ็ญระดับใด ถึงได้เมื่อตายไปก็กลายเป็นภูเขา อีกทั้งร่างยังมีพลังมหาศาลท่วมท้นถึงปานนี้
พูดได้ว่า นี่เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิงที่ได้เจอมาทั้งหมด
ต่อให้เป็นจวีอิงในตอนนั้นก็ไม่อาจเทียบได้เลย ต่อให้เป็นบรรพจารย์กิ้งก่าทะเลที่เขาได้เห็นที่ทะเลต้องห้ามในตอนนั้นก็เหมือนจะต่างชั้นจากจักรพรรดิภูตคีรีใต้เป็นอย่างมาก
ผู้เดียวที่สามารถเทียบเคียงได้คือเทพหมีเอ้อเผ่าเงือกตนนั้นที่สวี่ชิงได้เห็นบนภาพฝาผนังเกาะเงือก
และเป็นที่ที่สวี่ชิงได้ตะเกียงแห่งชีวิตดวงแรกมา
ในความทรงจำของสวี่ชิง บนร่างหมีเอ้อก็แบกโลกเอาไว้สองใบเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงพิเศษของขอบเขตใดหรือไม่ แต่นี่ก็ไม่กระทบต่อระลอกคลื่นที่ซัดโหมในใจ
โดยเฉพาะเมื่อ…นายท่านเจ็ดเอ่ยต่อไปว่า
“เจ้าสี่ วันนี้อาจารย์ได้เปิดประตูสวรรค์ของผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้กับเจ้าที่นี่ ให้เจ้าได้เห็นทุกอย่างอย่างกระจ่างแจ้ง
“พวกเราผู้บำเพ็ญ ขอบเขตหลังจากแก่นลมปราณวังสวรรค์ก็คือขอบเขตปราณก่อกำเนิด ในขอบเขตนี้แบ่งเป็นขอบเขตเล็กหลายขอบเขต วันหน้าเจ้าก็จะรู้เอง แต่เรื่องที่ข้าจะพูดคือขอบเขตหลังจากปราณก่อกำเนิด!
“หลังจากขอบเขตปราณก่อกำเนิด ในทุกขอบเขตล้วนแบ่งขั้น ความแตกต่างของแต่ละขั้นโดยพื้นฐานแล้วราวฟ้ากับเหว ยากจะก้าวข้าม อีกทั้งยิ่งฝึกฝนไปก็จะยิ่งเป็นเช่นนี้
“กระทั่งว่าเจ้าจะมองเป็นคนละระดับขั้นเลยก็ได้!
“หลังจากระดับปราณก่อกำเนิดคือระดับสมบัติวิญญาณ!
“ระดับสมบัติวิญญาณแบ่งเป็นห้าสมบัติลับ หลังจากห้าสมบัติลับก็คือระดับมหาขั้นหวนสู่อนัตตา!
“และมหาขั้นหวนสู่อนัตตาแบ่งเป็นสี่ขั้น หลังจากสี่ขั้นแล้ว…ก็จะเป็นมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ!”
สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน นายท่านเจ็ดพูดถึงตรงนี้ก็ชี้ไปยังภูเขาที่เปลี่ยนมาจากจักรพรรดิภูตคีรีใต้
“บ่าแบกโลกสองใบคือผู้วิเศษเตรียมสู่เทวะขั้นสอง!
“บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อคือระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่หนึ่งพันสายทลายฟ้า ประธานพันธมิตรคือระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สองหมื่นภาพเงามายา หลังจากระดับขั้นของพวกเขาไปยังมีขั้นที่สามและขั้นที่สี่ เจ้าลองคำนวณดูว่าระหว่างพวกเขากับจักรพรรดิภูตคีรีใต้ห่างชั้นกันมากเพียงไร
“และหากหลังจากนี้ท่านบรรพจารย์ได้วาสนาใหญ่มา บางทีอาจจะมีเศษเสี้ยวของความเป็นไปได้ที่จะก้าวสู่ระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สอง ส่วนระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สาม…ยากราวก้าวสู่สวรรค์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สี่
“ส่วนระดับเตรียมสู่เทวะ…พูดแบบนี้ก็แล้วกัน จากการวิเคราะห์ของข้า ทั้งมณฑลรับเสด็จราชันไม่มีระดับเตรียมสู่เทวะที่มีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว กระทั่งกวาดตามองไปทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรก็ไม่มีผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะที่มีชีวิต!
“มีเพียงจักรพรรดิภูตที่อยู่ในสภาวะกึ่งตายที่เป็นระดับเตรียมสู่เทวะขั้นที่สอง!
“แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของมณฑลรับเสด็จราชัน ทว่ามาแตกดับอยู่ที่นี่ ความสูงของระดับขั้นของเขาถึงในระดับที่น่าครั่นคร้ามนัก ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ว่าใครก็เรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าได้แล้ว”
สวี่ชิงฟังทุกอย่างนี้ด้วยจิตใจที่ระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรง มีความเข้าใจต่อระดับขั้นฝึกบำเพ็ญของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อย่างกระจ่างแจ้งจากคำบรรยายของนายท่านเจ็ด
“และมณฑลรับเสด็จราชัน ก่อนที่จักรพรรดิภูตจะแตกดับที่นี่ ทุกหนแห่งล้วนยากแค้นแสนสาหัส แม้จะมีสำนักมากแต่ก็วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง มีผู้แข็งแกร่งถือกำเนิดน้อยมาก จวบจนจักรพรรดิภูตองค์นี้มาแตกดับที่นี่ พลังชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย
“พูดได้กระทั่งว่าขั้วอำนาจสี่ส่วนครึ่งจากขั้วอำนาจทั้งหกในมณฑลรับเสด็จราชันล้วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแนบแน่น!
“สำนักเซียนล้ำบารมี ไม่ต้องสนว่าข้างโลกเล่าลือกันเช่นไร แต่ความจริงแล้วพวกเขาได้มรดกของจักรพรรดิภูตองค์นี้ ถึงได้ยิ่งใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้ได้
“สามวิญญาณแห่งเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก็คือจิตสามดวงของจักรพรรดิภูตเปลี่ยนมา โจวจิงเป็นจิตมนุษย์ เจวี๋ยหยางเป็นจิตดิน และไทกวงเป็นจิตฟ้า!
“โลกสองใบบนบ่าของจักพรรดิภูตมีเจ็ดพิฆาตอยู่ ซึ่งเกิดขึ้นจากเจ็ดวิญญาณของผู้วิเศษ!
“แล้วยังมีเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ผู้ครองกระบี่ควบคุม ณ ดินแดนเหนือสุด ความจริงแล้ว…คืออาวุธของจักรพรรดิภูตที่ก่อนตายปักลงบนผืนดิน!”
คำพูดของนายท่านเจ็ดแต่ละคำดุจอัสนี แต่ละคำดุจสายฟ้าฟาดผ่ามาในจิตใจสวี่ชิงไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่องที่พูดภายหลังพวกนี้ ยิ่งทำให้สวี่ชิงรับรู้ถึงความน่ากลัวและความน่าอัศจรรย์ของมหาขั้นเตรียมสู่เทวะอย่างกระจ่าง
ผู้วิเศษเตรียมสู่เทวะขั้นสองคนหนึ่ง หลังจากตายแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่มณฑลหนึ่ง ทำให้ที่นี่หลังจากหลายพันปีก่อนเป็นขั้วอำนาจมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากเขาตาย
นี่คือสามารถเรียกได้ว่าเทพอย่างแท้จริง
และตอนนี้สวี่ชิงก็เข้าใจแล้วว่า เทพหมีเอ้อที่แตกดับไปของเผ่าเงือกถึงได้เป็นผู้วิเศษของขอบเขตนี้
“เหนือเตรียมสู่เทวะขึ้นไปคืออะไรหรือขอรับ” สวี่ชิงสูดลมหายใจ ถามไปอย่างสงสัย
นายท่านเจ็ดเงยหน้ามองท้องฟ้า สิ่งที่เขามองไม่ใช่เสี้ยวหน้าเทพเจ้า แต่เป็นท้องฟ้าดารา
“ในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณสร้าง และในประวัติศาสตร์เผ่าใหญ่ต่างๆ บางทีอาจมีบันทึก” นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงแผ่วเบา เพียงสะบัดชายเสื้อ เรือเวทก็หายไป พาสวี่ชิงและติงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ฟังคำพูดเหล่านี้ของเขาแล้วสับสนงุนงงเล็กน้อย ลอยต่ำลงสู่พื้นดิน
ทุกอย่างก่อนหน้านี้ติงเสวี่ยได้ยินแล้ว แต่กลับไหลออกจากสมองหมด
เรื่องบางเรื่อง ระดับขั้นพลังบำเพ็ญไม่ถึง รู้แล้วมีแต่จะเป็นผลเสีย
ตอนนี้ในยามที่ลอยต่ำลงสู่พื้นที่กันดารแห่งนี้ ในใจของสวี่ชิงก็ยังคงซัดโหม
นายท่านเจ็ดมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง รู้ว่าเขากำลังซึมซับข้อมูลพวกนี้อยู่ จึงพาพวกเขาไปยังตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่นี่…คือสถานที่ที่ท่านเจ็ดเลือก
ตำบลแห่งนี้อยู่ล่างเขาภูตคีรีใต้ แม้จะห่างจากภูเขาจักรพรรดิภูตคีรีใต้มาก แต่เนื่องจากความสูงของยอดเขา ดังนั้นอยู่ที่นี่แค่เงยหน้าก็เห็นร่างของจักรพรรดิภูตได้ไกลๆ ได้
อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งด้านหน้า สะดวกแก่การเฝ้าสังเกต
“จากนี้ พวกเราจะอยู่ที่ตำบลแห่งนี้ สวี่ชิงเจ้าคอยเฝ้าสังเกตจักรพรรดิภูตองค์นี้ทุกวัน กำหนดหนึ่งร้อยวัน วาดเค้าร่างของเขาในใจออกมาให้ได้”
นายท่านเจ็ดมือไพล่หลัง ขณะที่คำพูดดังก้อง ก็พาสวี่ชิงและติงเสวี่ยที่เห็นนายท่านเจ็ดจริงจังจึงไม่กล้าพูดอะไรเดินเข้าไปในตำบล
ตำบลแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก พื้นสกปรกเลอะเทอะ อากาศในตอนนี้เย็นยะเยือก ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้แห้งมากมายไปกองรวมอยู่บริเวณมุมกำแพง ทำให้ตำบลแห่งนี้โดยภาพรวมดูแล้วค่อนข้างรกร้างเงียบเหงา
แต่ก็มีบางจุดที่ต่างไปจากที่อื่น นั่นก็คือประชากรที่นี่ คนแก่และคนหนุ่มสาวมีจำนวนที่เท่ากัน…
จุดนี้สร้างคสามสนใจให้สวี่ชิง
ติงเสวี่ยไม่รู้ว่าภาพนี้หมายถึงอะไร แต่สวี่ชิงกลับมองร่องรอยบางอย่างออก แค่เขาไม่ได้สืบให้ละเอียด ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดคือลอกเลียนภูเขาจักรพรรดิภูตคีรีใต้
และการมาเยือนของพวกเขาทั้งสามก็สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับประชากรในตำบลแห่งนี้
ที่นี่มีคนนอกมาน้อยมาก ทว่าในตอนที่สวี่ชิงและติงเสวี่ยมาที่นี่ก็ได้ทำการอำพราง นายท่านเจ็ดก็เช่นกัน ดังนั้นคนอื่นเมื่อมองมา พวกเขาครอบครัวสามคน ก็ไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจสักเท่าไร
แต่ในโลกกินคนใบนี้ ทุกคนล้วนระแวดระวัง สำหรับคนนอกที่มาเยือน พวกเขาก็มีใจที่เป็นศัตรูและความรู้สึกห่างเหินไปตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว
ต่อให้นายท่านเจ็ดซื้อบ้านหลังหนึ่งที่นี่ พาติงเสวี่ยและสวี่ชิงมาอยู่อาศัย ความรู้สึกเป็นศัตรูและความห่างเกินก็ยังคงมีอยู่
สำหรับเรื่องนี้สวี่ชิงไม่รู้สึกว่าเลวร้ายอะไร ทุกวันเขานั่งขัดสมาธิอยู่ในที่พัก เงยหน้ามาก็เห็นเขาจักรพรรดิภูตขนาดมหึมา เหมือนกับในตอนที่สัมผัสรับรู้ดาบสะบั้นไพศาลตอนนั้น พากเพียรลอกเลียนรูปร่างไว้ในใจ
แต่ขั้นตอนนี้ยากลำบากแสนสาหัส ยากกว่าในตอนสัมผัสรับรู้ดาบสะบั้นไพศาลมาก แต่สวี่ชิงก็ไม่เคยร้อนใจ เขายังคงเพ่งมองทุกวัน ทั้งตัวในความสงบเงียบนี้ สมองค่อยๆ ว่างโล่ง
ส่วนนายท่านเจ็ดพาติงเสวี่ยออกไปเที่ยวเล่นในตำบลทุกวัน ใบหน้ายิ้มแย้มและท่าทางอ่อนโยนเป็นมิตร ชอบพูดคุยกับผู้คน ไม่นานนักก็ค่อยๆ สนิทสนมกับผู้คนรอบๆ
ทุกครั้งที่มีคนถามที่มาที่ไปของเขา นายท่านเจ็ดก็จะสีหน้าขมขื่น ไม่พูดอะไร คนอื่นๆ เห็นเป็นเช่นนี้ ส่วนมากก็คล้ายคิดอะไรได้ ในสมองมีภาพเรื่องราวในอดีตที่โศกสลดของชายชราข้างหน้าคนนี้ผุดขึ้นมา
แต่หากพูดถึงเด็กสาวข้างๆ นายท่านเจ็ดก็ไม่เศร้าระทมอีกต่อไป แต่บอกกับทุกคนอย่างภูมิใจว่านี่คือลูกสาวของเขา ส่วนเจ้าเด็กที่วันๆ อยู่แต่บ้านไม่ออกคือเขยแต่งเข้าของตน
พวกเขาทั้งสามก็อยู่อาศัยในตำบลเล็กๆ แห่งนี้เช่นนี้เอง
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ ทุกอย่างสงบสุขดี สวี่ชิงตระหนักทุกวัน นายท่านเจ็ดก็พาติงเสวี่ยออกไปข้างนอกทุกวัน
ในขณะเดียวกับที่สนิทสนมกับคนทั้งหลายในตำบล ประชาชนในที่แห่งนี้ก็ค่อยๆ วางความระแวดระวังลง
และความแปลกประหลาดในตำบลแห่งนี้ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
ประชาชนที่ตำบลแห่งนี้แม้จะยากจนแต่กลับสมัครสมานสามัคคีกันมาก นอกจากนั้น แม้ในตอนแรกจะเป็นปฏิปักษ์กับพวกนายท่านเจ็ดทั้งสามคน แต่หลังจากที่ยอมรับแล้วก็เป็นไมตรีจิตและความอบอุ่น
ภาพนี้ไม่ได้เห็นมากนักในโลกใบนี้
นอกจากนี้ คนแก่และเด็กในตำบลมีเยอะมาก นี่หมายถึง…ตำบลแห่งนี้หลายปีที่ผ่านมาพบเจอกับเรื่องอันตรายน้อยมาก ดังนั้นคนแก่และเด็กที่ไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองจึงอยู่รอดมาได้
ขณะเดียวกัน ในที่หนึ่งของตำบลก็มีโถงศึกษาด้วย อาจารย์สอนหนังสือของที่นี่รับผิดชอบสอนหนังสือให้กับเด็กทั้งตำบล
ทุกวันจะมีเสียงเด็กๆ อ่านหนังสือดังออกมาจากโถงศึกษา ทำให้ประชาชนในตำบลทุกคนฉายรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา
และในบรรดาเด็กเหล่านี้ที่นี่ มีเด็กคนหนึ่ง นายท่านเจ็ดชอบมากเป็นพิเศษ
นี่เป็นเด็กผู้ชายอายุหน้าตาดีมากคนหนึ่ง
เขาไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น เพราะเนื้อตัวเขาสะอาดสะอ้าน ใบหน้าก็เช่นเดียวกัน สะพายกระเป๋าหนังเป็นกระเป๋าหนังสือ ทุกวันเวลาไปเรียนและเลิกเรียน เห็นใครก็ล้วนสุภาพเป็นอย่างมาก
บางครั้งนายท่านเจ็ดพาติงเสวี่ยออกไปเดินเที่ยวเล่นได้เจอกับเด็กชายคนนี้ เขาก็จะเขินอายกับสายตาของติงเสวี่ย และขลาดกลัวกับการจับต้องของนายท่านเจ็ด แต่ก็ยังโค้งคารวะอย่างมีมารยาท จากนั้นถึงจะวิ่งกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว
บ้านของเขาอยู่ข้าง ๆ บ้านที่นายท่านเจ็ดอาศัย พ่อของเขาเป็นช่างไม้ แม่ทอผ้าอยู่ที่ร้านทอผ้า ทุกเช้า พวกเขาจะมองเด็กชายจนลับตา ตอนพลบค่ำก็จะรอเด็กชายกลับมาที่หน้าประตู
ทุกคืนในบ้านจะจุดตะเกียง จากเงาที่หน้าต่างจะเห็นภาพความอบอุ่นของสามคนพ่อแม่ลูกได้
จะดูอย่างไรก็ธรรมดาเป็นที่สุด
แต่ในดวงตานายท่านเจ็ดกลับยิ่งเปล่งประกาย กระทั่งว่านั่งข้างๆ สวี่ชิง มองเขาจ้องเพ่งเขาจักรพรรดิภูตคีรีใต้ หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าสี่ เจ้าว่าข้าหาเจ้าห้ามาให้พวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายเพิ่มดีหรือไม่”
สวี่ชิงเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงจ้องเขาจักรพรรดิภูตเช่นเดิม ในดวงตาค่อยๆ ไร้แวว กระทั่งว่าสุดท้ายแล้วก็หลับลงโดยไม่รู้ตัว ในใจของเขา เค้าร่างของจักรพรรดิภูตองค์หนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากที่ก่อตัวขึ้นแล้ว มันยังค่อยๆ ชัดขึ้นอีกด้วย คล้ายว่ามีท่วงทำนองเทพค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“หืม” นายท่านเจ็ดที่กำลังพูดหันมามองสวี่ชิงทันที ดวงตาฉายแววตกใจ
“นี่ยังไม่ถึงเดือนเลย เร็วขนาดนี้เชียว ไม่เลวเลย ความเร็วต่างกับข้าในตอนนั้น…” เสียงนายท่านเจ็ดหยุดชะงัก เสี้ยวขณะต่อมาดวงตาก็เบิกโพลง ต้องสวี่ชิงเขม็ง ค่อยๆ ตื่นตะลึง
“เจ้าเด็กนี่กำลังทำอะไร…ข้าแค่ให้เขาย้ายเทพมาไว้ในใจเท่านั้น มีเค้าร่างก็เพียงพอแล้ว แต่เขา…กลับลอกเลียนท่วงทำนองของเทพอย่างนั้นหรือ!!”