ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 308 ราวกับวัฏจักร
บทที่ 308 ราวกับวัฏจักร
แทบจะตอนที่เด็กชายอ้าปาก ประตูบ้านข้างๆ ก็เปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง
พ่อแม่ของเด็กชายเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จ้องสวี่ชิงอย่างเย็นชา
ขณะที่ดูรางเลือน แสงยามเย็นถูกเมฆดำเคลื่อนมาบดบัง เหมือนมีเม็ดฝนพร่างพรมลงมา เสียงอัสนีครืนครันก้องอยู่ที่ขอบฟ้า สายฟ้าหลายสายแล่นปลาบสว่างไปรอบทิศ
ขณะที่ลมฝนกำลังจะเข้ามาในตำบล ขณะที่ชาวบ้านกำลังรีบร้อนกลับบ้านของแต่ละคน จังหวะที่ลมพัดเม็ดทรายบนพื้นขึ้น ใบไม้จำนวนมหาศาลก็ถูกพัดม้วน
ทั้งหมดนี้ในสายตาคนนอก คือท้องฟ้าเปลี่ยนสีตามธรรมชาติ แต่ในสายตาสวี่ชิง ฉากทั้งหมดนี้ ล้วนมาจากเด็กชายตัวน้อยตรงหน้าคนนี้ทั้งหมด
“น่าสนใจ”
สวี่ชิงหันคอ กวาดสายตามองพ่อแม่ของเด็กชายคนนั้น เขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกก็เปล่งแสงจ้าขึ้นมาฉับพลันตอนนี้ สะท้อนออกมาจากในตาสวี่ชิง
พริบตาต่อมา พ่อแม่ของเด็กชายก็ตัวสั่นเทม สายตาเย็นชาฉายแววพรั่นพรึงและตกตะลึง และในดวงตาของเด็กชายก็เหมือนกับสายตาของพ่อแม่ไม่มีผิดเพี้ยน
สวี่ชิงยังไม่สลายแรงกดดัน เพียงแค่หลังจากกวาดตาก็เก็บเงาเขาจักรพรรดิภูตกลับมา ไม่หันไปมองพ่อแม่ของเด็กชายอีก
เงาสองร่างนั้น ไม่มีความหมาย
เขามุ่งความสนใจไปยังเด็กชายที่กำลังฝืนยิ้มคนนั้น ร่างกายกระโจนขึ้น ร่อนลงมาที่เบื้องหน้าเขา
เด็กชายหน้าเปลี่ยนสีถอยร่นอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงโบกมือ ป้ายแนะนำสีขาวที่นายท่านเจ็ดมอบให้ ก็ถูกเขาสะบัดไปให้เด็กชาย
“นี่คือป้ายแนะนำคุณสมบัติเข้าเจ็ดเนตรโลหิตของพันธมิตรแปดสำนัก”
เด็กชายไม่ได้รับ แต่ปล่อยให้ป้ายแนะนำร่วงลงบนพื้น สัมผัสทรายจนเกิดเสียงใส
สวี่ชิงไม่สนใจเดินจากไป ตอนที่เดินผ่านเด็กชาย ก็เอ่ยเสียงเรียบว่า
“เจ้า อยากเป็นมนุษย์หรือไม่”
พูดจบ สวี่ชิงก็เดินต่อ เดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ออกไปจากเมืองนี้
พริบตาที่เขาจากไป สายฝนเทกระหน่ำลงมา พร่างพรมทั่วไปทั้งเมือง
เสียงซ่าควบคู่มากับสายฟ้าผ่า ชะล้างพื้นดิน ชะล้างทุกสิ่งทุกอย่าง
ในม่านฝน เด็กชายกับพ่อแม่ของเขายังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน ก้มหน้ามองป้ายแนะนำสีขาวที่ครึ่งหนึ่งจมอยู่ในน้ำฝนชิ้นนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เด็กชายก็เอื้อนเอ่ย
“พวกเจ้าว่า ข้าควรไปดูหน่อยหรือไม่”
พ่อแม่ของเด็กชายนิ่งเงียบไม่พูดจา
“ข้าลืมไป พวกเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นนี่นะ ความรู้สึกนึกคิดเป็นแบบเดียวกัน ตอบคำถามของข้าไม่ได้หรอก”
เด็กชายพึมพำแผ่วเบา จากนั้นก็มองป้ายแนะนำผาดหนึ่ง สีหน้าเผยแววหวั่นไหว
เขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์ และไม่ใช่ต่างเผ่า เขาคือสิ่งประหลาด สิ่งประหลาดที่พิเศษมากๆ ตนหนึ่ง
พลังต่อสู้ของเขาไม่แกร่งนัก แต่กลับมีความรู้สึกนึกคิดกระจ่างชัด และยังมีสติปัญญาเหมือนเผ่าต่างๆ อีกด้วย ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ที่มีสัญชาตญาณ ก็กระหายอยากใช้ชีวิตแบบมนุษย์ขึ้นมา
ดังนั้นหลายปีก่อนที่เขามาถึงเมืองเล็กนี้ ก็เปลี่ยนร่างตนเองเป็นเหมือนเผ่ามนุษย์ จากนั้นก็แปลงร่างพ่อแม่ออกมา
ทุกวันก็ออกไปเรียนอย่างเบิกบานใจ วนเวียนไปเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นทุกสองสามปี เขาก็จะลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาของเหล่ามนุษย์ในเมืองนี้ทิ้ง ให้ทั้งหมดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เช่นนี้ เขาก็สามารถออกไปเรียนหนังสืออย่างเบิกบานต่อไปได้เรื่อยๆ
วันคืนเช่นนี้ เขาจำไม่ได้ว่าผ่านไปแล้วนานเท่าไร หลายปี หลายยุคสมัย
เขามองสหายในโถงศึกษาเติบโตขึ้น กลายเป็นผู้ใหญ่ แก่ชรา ตายจากไป แต่เขายังคงเป็นเช่นนี้
ขณะเดียวกันด้วยการปกป้องของเขา เมืองนี้ถึงได้ยังคงสงบสุข นี่จึงเป็นสาเหตุที่มีคนแก่และเด็กอยู่เยอะ
เรื่องเหล่านี้ พริบตาที่เขาจักรพรรดิภูตสะท้อนในดวงตาสวี่ชิงก่อนหน้านี้ก็มองออกชัดเจน ในใจมีการพิจารณา ยิ่งไปกว่านั้นที่นายท่านเจ็ดมอบป้ายแนะนำให้เด็กคนนี้ แน่นอนว่ามองทั้งหมดออก
ส่วนเด็กคนนี้จะไปเจ็ดเนตรโลหิตหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่สวี่ชิงต้องคิดแล้ว
เขาแค่รู้สึกว่าสิ่งประหลาดตนนี้ แตกต่างจากตนอื่นอยู่บ้างจริงๆ
ตอนนี้ท่ามกลางลมฝน สวี่ชิงกลับมาบนเรือเวทที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตอนที่ย่างเข้าไป นายท่านเจ็ดก็ไม่ถามไถ่ สะบัดแขนเสื้อ เรือเวทพุ่งครืนครันออกไปในพริบตา
ระหว่างทางกลับ นายท่านเจ็ดก็ไม่ได้รีบร้อน แต่ยังเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอีกด้วย
บางครั้งก็พาสวี่ชิงกับติงเสวี่ยไปยังเมืองใหญ่ นั่งยองๆ อยู่บนต้นไม้หน้าประตูคฤหาสน์คนรวยหลังใหญ่ สังเกตคุณชายร่ำรวยคนหนึ่งในนั้น
บางครั้งก็ไปยังรัฐเล็กๆ ไปดูผู้คนที่ยากลำบากเหล่านั้น ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
และบางครั้ง ก็ไปสถานที่ที่ดูคล้ายกับฐานที่มั่นคนเก็บกวาด สังเกตคนทั้งหมดที่นั่น เมื่อเจอคนที่น่าสนใจ เขาก็จะถามสวี่ชิงกับติงเสวี่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่าคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
หากเจอคนที่เหมาะสม นายท่านเจ็ดก็จะส่งป้ายแนะนำสีขาวชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิง แล้วให้สวี่ชิงไปมอบให้
คนที่ได้รับป้ายแนะนำจากนายท่านเจ็ดล้วนเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อายุไม่มากนัก
ในบรรดานั้นมีทั้งศิษย์จากตระกูลมั่งคั่ง มีปัญญาชนที่ยากจน และบางคนเป็นยาจกหรือไม่ก็เด็กน้อยที่หน้าเหลืองผอมโซ
หลังจากมอบให้ไปมาก ในสมองสวี่ชิงก็ฉายภาพของตนเองในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในอดีต ตอนนั้น คนที่ติดตามข้างกายนายท่านเจ็ดคือผู้ติดตามของเขา
ครั้งนี้ที่ออกมาภายนอก คนติดตามจะมาด้วยก็ไม่สะดวก สวี่ชิงจึงต้องมาทำเรื่องนี้แทน
และสวี่ชิงค่อยๆ มองออกแล้ว ว่าคนที่ได้รับป้ายแนะนำจากนายท่านเจ็ด ล้วนมีจุดที่พิเศษบางอย่างทุกคน
อย่างเช่นคุณชายที่ร่ำรวยคนนั้น วิญญาณกับกายเนื้อ ดูไม่ค่อยจะเข้ากันกันนัก คนนอกอาจจะมองไม่ออก แต่หลังจากที่จักรพรรดิภูตคีรีฉายขึ้นในดวงตาสวี่ชิง ก็มองออกทันที
ศิษย์จากบ้านที่ร่ำรวยคนนี้ น่าจะถูกครองร่างไปแล้ว
และยังมีคนที่ชีวิตยากลำบากจากรัฐเล็กนั่น เป็นหญิงสาวโง่ๆ คนหนึ่ง ทั้งวันเอาแต่หัวเราะคิกคักขอข้าวกิน ร่างเน่าเปื่อยไปหมด แต่คนที่รังแกนางตอนกลางวันทั้งหมด ตกกลางคืนก็ล้วนฝันร้ายทั้งสิ้น
เพราะว่าหญิงสาวโง่คนนี้ จะแกะจุดที่เน่าเปื่อยบนร่างกายตัวเอง แล้วทำการสาปแช่งอะไรบางอย่าง
คำสาปนี้ ไม่เหมือนวิชาเวท แต่ดูคล้ายกับพรสวรรค์แต่กำเนิดมากกว่า
เพียงแต่นางเก็บงำไว้เป็นอย่างดี คนนอกมองไม่ออก และคนที่ฝันร้ายเหล่านั้นก็จะไม่ตายทันที แต่ตอนที่ออกไปภายนอก ความเป็นไปได้ที่จะพบกับเรื่องไม่คาดคิดก็เพิ่มมากขึ้นมหาศาล
และอย่างเด็กน้อยในร้านขายยาที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ทุกวันตอนกลางคืนก็จะถูกเจ้าของร้านบังคับให้กินโคลน และเมื่อกินเสร็จทุกครั้ง ร่างกายก็จะมีเลือดสดไหลออกมา
และเลือดสดเหล่านั้น เจ้าของร้านก็จะเก็บไปอย่างระมัดระวัง ใส่เข้าไปในขวดใบเล็กๆ วันถัดมาก็ขายเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บ
และส่วนใหญ่นี้ ก็เก็บงำไว้มิดชิดมาก แต่นายท่านเจ็ดก็ช่างสรรหาเสียเหลือเกิน ช่วงนี้สวี่ชิงจึงเห็นหลากหลายมาก ทุกคนทำให้เขารู้สึกว่าไม่ธรรมดา มีพลังแฝงเร้นที่ยิ่งใหญ่
จนหลังจากส่งป้ายแนะนำไปยี่สิบกว่าชิ้น นายท่านก็หยุดค้นหา ทอดถอนใจต่อหน้าสวี่ชิง
“ยุคสมัยใหม่ใกล้จะมาแล้วจริงๆ มณฑลรับเสด็จราชันตอนที่อาจารย์มาในอดีต ค้นหาไปรอบหนึ่ง พวกต้นกล้ายังมีไม่มากนัก สุดท้ายก็หาเจอแค่พี่สามของเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
แต่ตอนนี้เมื่อมาอีกครั้ง ต้นกล้าของที่นี่ก็มีมากขึ้นไม่น้อยเลย
“ครั้งนี้ อาจารย์ยังคงเลือกหนึ่งจากห้าสิบอยู่ ลองดูว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะกลายมาเป็นศิษย์น้องหรือศิษย์น้องหญิงของเจ้า”
เห็นได้ชัดว่านายท่านเจ็ดพึงพอใจกับการออกมาข้างนอกครั้งนี้มาก
“สวี่ชิง เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองคนคิดว้าต้นกล้าที่ได้ครับป้ายแนะนำครั้งนี้ คนใดที่จะเดินมาอยู่ต่อหน้าข้ากัน”
ติงเสวี่ยคิดๆ เอ่ยขึ้นทันที
“ท่านน้าเขย ข้าคิดว่าหญิงสาวโง่ที่สาปแช่งคนอื่นได้คนนั้น นางใช้ได้อยู่!”
นายท่านเจ็ดยิ้มๆ มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงครุ่นคิด ย้อนนึกถึงคนที่ตนเองพบมา สุดท้ายคนที่ผุดมาในสมอง ก็คือศิษย์จากบ้านที่ร่ำรวยคนนั้น
“ข้ารู้สึกว่าคนที่ถูกครองร่างไปคนนั้น น่าจะมีโอกาสมากที่สุด”
นายท่านเจ็ดรู้สึกเกินคาด
“ทำไมล่ะ เดิมข้าคิดว่าคนที่เจ้าจะพูดออกมาคือเด็กชายคนแรกที่ได้รับป้ายแนะนำไปเสียอีก”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“เขาระมัดระวังตัวไม่พอ ในคนกลุ่มนี้ ศิษย์ที่ร่ำรวยคนนั้นระมัดระวังตัวมากที่สุด”
“น่าสนใจ” นายท่านเจ็ดหัวเราะ ควบคุมเรือเวท พาสวี่ชิงกับติงเสวี่ยตรงกลับไปเจ็ดเนตรโลหิต สิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้
ระหว่างทางสวี่ชิงก็ว่างอย่างหาได้ยาก ตอนที่ค่อยๆ จัดการเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดของตนเองต่อ ในใจเขาก็มีแผนการรางๆ แต่ยังไม่ทันคิดได้ เขาก็สอบถามนายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดตอบกลับว่า ของวิเศษเวทต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิต อาจจะมีประสิทธิภาพเสริมแรงในด้านการค้นหาช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด ให้สวี่ชิงลองหาโอกาสไปทดสอบดู
สวี่ชิงครุ่นคิด พอคิดถึงกระจกเล็กที่ตนเองได้รับมาจากการออกมาด้านนอกครั้งนี้ ก็ล้วงมันออกมาค้นคว้าอยู่ในมือ
นายท่านเจ็ดเหลือบตามอง ไม่พูดจา
สวี่ชิงไม่ถามอะไรต่ออีก เมื่อตนเองขบคิดต่ออีกหลายวัน ก็ค่อยๆ คลำทางได้ชัดเจนขึ้น
ของสิ่งนี้เป็นชิ้นส่วนของของวิเศษเวทชิ้นหนึ่ง ส่วนตัวของวิเศษที่สมบูรณ์รูปร่างก็น่าจะแบบเดียวกับของวิเศษต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิต เป็นกระจกเหมือนกัน แต่ความสามารถแน่นอนว่าไม่เหมือนกัน และชิ้นส่วนของวิเศษเวทนี้ ประโยชน์ของมันคือการกระตุ้นจิตวิญญาณ
แต่ของทุกอย่างที่มันสะท้อน จิตวิญญาณก็จะตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ และเมื่อมองด้วยตาเปล่าก็จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถ้าหากถูกมันเล่นงานจนตาย กระจกเล็กบานนี้ก็จะสร้างสภาวะสิ่งประหลาดขึ้นมา และถูกมันควบคุม
ดูจากความสามารถ ถือว่าพอใช้ได้อยู่ แต่ของสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่ผ่านการเซ่นไหว้หล่อหลอม สำหรับคนธรรมดาทั่วไปมีผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึง แต่สำหรับผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญระดับหนึ่ง ผลลัพธ์นั้นแสนจะธรรมดา เอาชีวิตไม่ได้
“แต่ว่าขณะที่อีกฝ่ายเผลอไผล อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” สวี่ชิงย้อนคิดตอนที่ได้รับกระจกนี้มา ตอนนั้นที่ถูกมันส่องสะท้อน ดวงตาก็เจ็บปวดจนฟุ้งซ่านไปพักหนึ่ง
และพริบตาที่ฟุ้งซ่านนั้น ถ้าหากใช้ให้ดี ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายได้เลยทีเดียว
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็เก็บสิ่งนี้ลง คิดว่ากลับไปจะค่อยๆ ทดลองดูเสียหน่อย ดูขีดจำกัดของมัน
ผ่านไปอีกหลายวันเช่นนี้ ก็มองเห็นพันธมิตรแปดสำนักอยู่ไกลๆ แล้ว
เมื่อกลับมาถึง สวี่ชิงก็ออกจากเรือเวทนายท่านเจ็ดพร้อมกับการอาลัยอาวรณ์ของติงเสวี่ย เหาะเหินตรงไปที่กรมขนส่งที่จางซานอยู่
ครั้งนี้ออกไปข้างนอกเสียนาน ยิ่งไปกว่านั้นเรือเวทยังระเบิดตนเองไปถึงสองรอบ แม้จะยังใช้งานได้ แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าซ่อมแซมเสียหน่อยจะดีกว่า
ตอนนี้คือช่วงกลางวัน แดดแรงจัด ตอนที่สวี่ชิงกำลังพุ่งหวีดหวิวอยู่ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต จู่ๆ สีหน้าเขาก็กระตุก ก้มหน้าลงมองพื้นทันที
บนพื้นดิน บนถนนแห่งหนึ่ง สวี่ชิงเห็นเจ้าใบ้
ร่างของเจ้าใบ้ไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์เหมือนตอนแรกแล้ว แต่ว่าสวมใส่ชุดนักพรต
วิธีการเดินก็แตกต่างไปจากเดิม ไม่ได้คอยพรางตัวอยู่ตามมุมกำแพง แต่เดินอาดๆ อยู่ตรงกลาง
แม้จะยังระแวดระวังอยู่ แต่ก็แตกต่างไปบ้างจากในความทรงจำของสวี่ชิง
การระแวดระวังตอนนี้แฝงตื่นเต้นกับความอยากรู้อยากเห็นต่อโลกภายนอก แต่ความระแวดระวังสมัยก่อนคือไม่ยอมเข้าใกล้คนแปลกหน้า ทำท่าเหมือนจะจับคนกินได้ตลอดเวลา
ที่สำคัญที่สุด คือเจ้าใบ้ดูอ่อนแอมาก ความอ่อนแอนี้ไม่ใช่ที่ร่างกาย แต่เป็นจิตวิญญาณ
ภาพเช่นเดียวกันนี้สวี่ชิงเคยเห็นมาแล้ว คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างศิษย์ที่ร่ำรวยผู้ถูกครองร่างคนนั้น
ตอนนี้มองเจ้าใบ้ ในดวงตาสวี่ชิงก็สะท้อนเงาเขาจักรพรรดิภูตออกมา เมื่อพิจารณาเจ้าใบ้อย่างละเอียด ดวงตาสวี่ชิงก็หรี่ลง
เขาเดินออกไปก้างหนึ่ง พริบตาก็มาอยู่ด้านหน้าเจ้าใบ้
การที่สวี่ชิงปรากฏตัวกะทันหัน หน้าเจ้าใบ้ก็เปลี่ยนสี ถอยหลังกลับด้วยสัญชาตญาณ หลังจากเห็นใบหน้าสวี่ชิงชัดๆ เขาก็รีบร้อนก้มหน้าลง ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็คุกเข่าลงคารวะทันที
แต่พริบตาต่อมา มือขวาของสวี่ชิงก็ยกขึ้น คว้าไปที่คอของเจ้าใบ้ กระชากเจ้าใบ้ที่ใบหน้าบวมแดงแววตาเผยความหวาดกลัวมาตรงหน้า
สายตาสวี่ชิงเรียบนิ่งเย็นชา มองดวงตาของเจ้าใบ้ เอ่ยเสียงเรียบว่า
“เจ้าเป็นใคร”