ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 309 ลมฝนยังมิทันถึง สายลมอื้ออึงกลับพัดอยู่เต็มหอ
บทที่ 309 ลมฝนยังมิทันถึง สายลมอื้ออึงกลับพัดอยู่เต็มหอ
ดวงตาเจ้าใบ้เผยแววหวาดกลัวตกตะลึง ร่างกายสั่นเทิ้ม คิดจะดิ้นรนกระเสือกระสน แต่มือขวาของสวี่ชิงก็คว้าคอเขาเอาไว้เหมือนคีมเหล็ก ทำให้ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
และความห่างชั้นมหาศาลของพลังบำเพ็ญ ทำให้เขาต่อต้านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แม้ว่า…เขาใกล้จะสร้างฐานแล้วก็ตาม
สาเหตุที่พูดว่าใกล้ เพราะพลังบำเพ็ญของเจ้าใบแปลกมาก อยู่ในจุดระหว่างรวมปราณกับสร้างฐาน คล้ายยังสร้างฐานไม่เสร็จสิ้น
ต่อให้ที่นี่จะเป็นตลาดที่คึกคัก รอบด้านมีผู้คนสัญจรไปมาไม่น้อย ทั้งศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตและสำนักอื่นๆ อยู่อีกมากมาย แต่หลังจากที่เห็นสวี่ชิงกับเจ้าใบ้แล้วก็พากันสีหน้าเคร่งขรึม มนุษย์สามัญถอยหนี ส่วนผู้บำเพ็ญกลับก้มหน้าลงคารวะสวี่ชิง
ด้วยสถานะสวี่ชิงในพันธมิตรแปดสำนักปัจจุบัน อย่าว่าแต่เข้าคว้าคอศิษย์คนหนึ่งเลย ต่อให้เขาสังหารคนกลางถนน ก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น
อย่างมากสุดก็แค่ถูกตำหนินิดหน่อยเท่านั้น กระทั่งเพียงแค่เขาบอกเหตุผลสักอย่าง อาจไม่ถูกตำหนิเลยก็เป็นได้
ถึงอย่างไร ในบางขั้นตอน เขากลายเป็นศิษย์ที่เป็นตัวแทนของพันธมิตรแปดสำนักยุคนี้ไปแล้ว
สวี่ชิงมองเจ้าใบ้อย่างเย็นชา เขาจำได้ว่าตอนที่ลาดตระเวนแม่น้ำก่อนหน้านี้ เจ้าใบ้คือรวมปราณขั้นสมบูรณ์ เหมือนกำลังจะย่างเข้าสู่ระดับสร้างฐาน แต่ตอนนี้กลับอยู่ในสภาพนี้ เมื่อเชื่อมเข้ากับสิ่งที่เขาจักรพรรดิภูตในดวงตาเห็นก่อนหน้า คำตอบหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา
เขามั่นใจมาว่าคนตรงหน้านี้เป็นเพียงแค่เปลือกเท่านั้น จิตวิญญาณด้านในไม่ใช่เจ้าใบ้แน่นอน
เห็นว่าคนผู้นี้ไม่พูดจา สวี่ชิงก็หิ้วเจ้าใบ้ทะยานกลับไปที่ท่าจอดเรือ
เมื่อมาถึงก็ล้วงเรือเวทที่เหลือพลังระเบิดตัวเองอีกเพียงหนึ่งครั้งออกมา ตอนที่ก้าวไปในห้องเรือ ในมือสวี่ชิงก็แผ่เพลิงวิญญาณอนธการทันที ไหลไปตามคอเข้าสู่ร่างกายเจ้าใบ้
พริบตาต่อมา เสียงอู้อี้ก็ออกมาจากปากของเจ้าใบ้ เห็นความอ่อนแอของร่างกายเขาได้ด้วยตาเปล่า ขณะที่ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง วิญญาณของเขาก็ถูกเพลิงวิญญาณอนธการของสวี่ชิงดึงออกมา
วิญญาณนี้ รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับเจ้าใบ้ เป็นหมอกดำที่เปลี่ยนรูปร่างอยู่ตลอดเวลา แผ่กลิ่นอายชั่วร้าย และยังเต็มไปด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น ราวกับจะแพร่กระจายมันไปทั่วสารทิศ
แต่มันก็ทำได้เพียงสั่นเทิ้มภายใต้เพลิงวิญญาณอนธการของสวี่ชิง พริบตาต่อมาเงาสวี่ชิงที่แผ่ลาม ขณะที่ลืมตาขึ้นและแผ่ความหิวกระหายจะกลืนกินออกมา วิญญาณนี้ก็ยิ่งสั่นเทารุนแรงขึ้น
ในที่สุดวิญญาณดวงนี้ก็ถูกเขาหลอมไว้ในร่างกายด้วยการสูดรับของสวี่ชิง สะกดไว้ในช่องเวทที่หกสิบเอ็ด เพลิงพลังเวทแผดเผา ขณะที่กำลังหล่อหลอมอย่างต่อเนื่อง ร่างกายเจ้าใบ้ก็กระตุก ดวงตาค่อยๆ เผยแววตาที่สวี่ชิงคุ้นเคยออกมา
สวี่ชิงคลายมือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ร่างเจ้าใบ้ร่วงลงพื้น หายใจหอบถี่ มึนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึม ดวงตาเผยปราณพิฆาตออกมา
จากนั้นเขาก็คุกเข่าให้สวี่ชิง โขกศีรษะลงสามครั้ง ตอนเงยหน้าก็มองสวี่ชิงอย่างซาบซึ้ง
สวี่ชิงพิจารณาเจ้าใบ้อย่างละเอียด เอ่ยเสียงเรียบ
“เกิดอะไรขึ้น”
เจ้าใบ้ล้วงแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาทันที บันทึกลงไปอย่างรวดเร็ว ประเคนแผ่นหยกด้วยสองมือมอบให้กับสวี่ชิงอย่างเคารพ หลังจากสวี่ชิงรับไป เขาก็ก้มหน้าดูตนเองที่ไม่มีเสื้อขนสัตว์ก็รู้สึกไม่เป็นตัวเองขึ้นมา
“ไปเปลี่ยนเถอะ” หลังจากสวี่ชิงพูด เจ้าใบ้ก็ล้วงเสื้อขนสุนัขออกมาจากถุงเก็บของทันที คลุมไว้บนตัว สีหน้าของเขาจึงสงบลง นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น เฝ้ารอคำสั่งสวี่ชิง
สวี่ชิงอ่านแผ่นหยก ไม่นานก็ทราบที่มาที่ไป
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าใบจะสร้างฐานทั้งสิ้น
เมื่อผู้บำเพ็ญสร้างฐาน จะพบกับความน่ากลัวครั้งใหญ่ ดังนั้นจำเป็นต้องเช่าสถานที่การคุ้มกันของสำนัก ใช้ไฟตะเกียงของที่นั่นปกป้องตน
เจ้าใบ้เองก็ทำเช่นนี้ แต่ร่างกายเขาแปลกประหลาด สัมผัสว่องไวเฉียบคมกว่าทั่วไป และลางสังหรณ์ที่น่ากลัวนี้ ปกติแล้วมีส่วนช่วยอย่างมาก กระทั่งตัวตนของเจ้าเงาเขาก็ยังสัมผัสได้
ทว่า…ขณะสร้างฐาน กลับกลายเป็นจุดบกพร่องขนาดใหญ่ของเขา ลางสังหรณ์และความเฉียบแหลมของเขาเหมือนกับเป็นคบไฟที่สว่างเจิดจ้า ไม่เพียงแต่ดึงดูดตัวตนที่ไม่รู้จักมามากมาย แต่ตัวตนเหล่านั้นยังสิงร่างได้สะดวกอีกด้วย
ดังนั้น ตอนที่เขาพบกับความน่ากลัวครั้งใหญ่ระหว่างสร้างฐาน ก็ถูกเงาดำที่อยู่อีกโลกหนึ่งเหล่านั้นโถมเข้าใส่ หลังจากหนึ่งในนั้นสิงร่างเขา ก็สะกดวิญญาณของเจ้าใบ้ไว้จนเกือบจะครองร่างไปแล้ว
หากสวี่ชิงไม่เห็น เกรงว่าหลังจากนี้พักหนึ่ง วิญญาณของเจ้าใบ้คงถูกผสานกลืนกินไป ตอนนั้น…ก็คงไม่เหลือร่องรอยแล้ว คนนอกคิดจะตรวจสอบก็ยากลำบาก
สวี่ชิงครุ่นคิด กวาดตามองเจ้าใบ้ที่แม้จะอ่อนล้าแต่สีหน้ายังเรียบสงบ เมื่อคิดถึงการแสดงออกต่างๆ นานาของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ในบางขั้นตอน อันที่จริงก็ถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเขาแล้ว
ถึงอย่างไรเจ้าใบ้ก็แสดงออกว่าอยากจะติดสอยห้อยตามอยู่ตลอดตั้งแต่แรก ต่อมาก็เต็มที่กับหน้าที่รับผิดชอบในกรม
สวี่ชิงจึงถอนสายตากลับ เอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าสร้างฐานที่นี่ก็แล้วกัน”
เจ้าใบ้ตาเป็นประกาย นั่งขัดสมาธิลงทันทีอย่างไม่ลังเล
ในความรู้ความเข้าใจของเขา แม้สร้างฐานจะแฝงความน่ากลัวครั้งใหญ่เอาไว้ ขอแค่มีสวี่ชิงอยู่ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกลัวเรื่องน่ากลัวทั้งหมดนั่นแล้ว
ดังนั้นขณะที่นั่งขัดสมาธิ เจ้าใบก็รีบปรับลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ พลังบำเพ็ญค่อยๆ โคจร โลกภายนอกก็ค่อยๆ มาถึงกลางดึก
สวี่ชิงก็กำลังนั่งสมาธิ จนถึงตอนยามสามเขาก็ลืมตาขึ้นมองเจ้าใบ้
เวลานี้กระแสน้ำในร่างกายเจ้าใบ้แผ่กว้าง กำลังค้นหาช่องเวท และรอบๆ ก็มีลมหยินลอดเข้ามา
สวี่ชิงสีหน้าปกติ ฉัตรบนหัวเปล่งแสงฉับพลัน ร่มดำคันใหญ่จำแลงออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาโบกมือ ร่มดำคันนี้ก็เคลื่อนไปอยู่เหนือศีรษะของเจ้าใบ้ สะกดลงมาด้านล่าง และมีแสงปกคลุมตัวเจ้าใบ้ทันที
พลังคุ้มกันแผ่กว้าง รอบด้านสว่างขึ้นทันที มีเสียงกรีดร้องแหลมที่หูไม่ได้ยิน แต่จิตวิญญาณสัมผัสได้ดังออกมาจากรอบๆ
นั่นคือเสียงของเงามืดนับไม่ถ้วนที่กำลังถอยหนีอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงเพลิงของร่มดำที่สว่างขึ้นฉับพลัน
แต่พวกมันยังหนีไม่ทันพ้น เจ้าเงาของสวี่ชิงก็เคลื่อนไหวทันที แผ่ลามออกไปรอบทิศ กลายเป็นปากขนาดใหญ่ปากหนึ่ง กลืนกินอย่างบ้าคลั่ง จากเสียงเคี้ยวที่ดังมา เงาดำเหล่านี้กว่าครึ่งก็ถูกเจ้าเงากลืนลงไป
สวี่ชิงครุ่นคิด จู่ๆ ก็ยกมือขวาคว้าเงาดำที่เหลืออยู่เหล่านั้น และเมื่อถูกสวี่ชิงคว้าไว้ เงาดำเหล่านี้ก็หลุดพ้นได้ยากยิ่ง จับมันผสานเข้าไปในร่างทันที สะกดไว้ในช่องเวทที่หกสิบเอ็ด
พริบตา พลังสะกดที่ช่องเวทหกสิบเอ็ดก็เต็มขั้นบริบูรณ์
“อย่างนี้ก็ได้หรือ” สวี่ชิงดวงตาเป็นประกาย เงาที่อยู่ข้างๆ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันรู้สึกว่าจอมมารสวี่แย่งอาหารของตนเองไปแล้ว แต่ไม่กล้าแสดงออกมา ทำได้เพียงปิดปากใหญ่นั่นลงเงียบๆ
ดวงตาสวี่ชิงประหลาดใจ หลังจากครุ่นคิดใจก็กระตุก แสงของร่มดำหุบลงทันที พลังการป้องกันของมันยังไม่หายไป แค่ไม่เปิดออกมา
เพียงแต่ว่าพอทำเช่นนี้ แสงของตะเกียงแห่งชีวิตก็จะไม่ทำร้ายต่อเงาดำรอบๆ ดังนั้นเพียงไม่นานเงาดำก็กลับมาล้อมรอบๆ นี้ใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมิด เงาดำเหล่านี้เหมือนจะไม่มีสติปัญญาเท่าไรนัก เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณความละโมบ พุ่งไปหาเจ้าใบ้
แต่สิ่งที่รอพวกมันอยู่ คือเพลิงวิญญาณอนธการจากการโบกมือของสวี่ชิง
เพลิงนี้แผ่กว้างกวาดรอบๆ อย่างรุนแรง จัดการคลุมเงามืดที่อยู่รอบๆ ทั้งหมด กวาดม้วนเข้ามาในร่างกายสวี่ชิง ตกลงไปในช่องเวทที่หกสิบสองอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมา ช่องเวทที่หกสิบสองก็เต็มขั้นบริบูรณ์ทันที
สวี่ชิงลิงโลด เขาไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลที่มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ นี่มันสบายกว่าการที่เขาต้องออกไปไล่สังหารข้างนอกมาก ขอแค่เจ้าใบ้กำลังสร้างฐาน เงาดำเหล่านี้ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาไม่มีวันหมด
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ เช่นนี้
หนึ่งคืนผ่านไป อารมณ์ของสวี่ชิงดีสุดๆ เวลาหนึ่งคืนช่องเวทที่เขาสะกดวิญญาณลงไปจนเต็มขั้นบริบูรณ์ คือจากช่องหกสิบสองไปจนถึงช่องที่เจ็ดสิบสาม
ความเร็วเช่นนี้ ทำให้ตอนที่สวี่ชิงมองเจ้าใบ้ ก็รู้สึกพึงพอใจมาก
โดยเฉพาะตอนที่กระแสน้ำของเจ้าใบ้ยังไม่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายวัน สวี่ชิงก็ชั่งน้ำหนักในใจ เขารู้สึกว่าครั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าตนเองจะสะกดวิญญาณไว้ในช่องเวททั้งหนึ่งร้อยยี่สิบช่องได้
กระทั่งบางครั้ง สวี่ชิงอาจพบกับความน่ากลัวครั้งใหญ่นั่น หลังจากที่ความน่ากลัวครั้งใหญ่นั้นสะท้อนเขาจักรพรรดิภูตในดวงตาเขา ก็มองเห็นว่านั่นเป็นเงามืดขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าเงามืดที่เขาสะกดไปหลายเท่าตัวอย่างชัดเจน
และรูปร่างมันไม่ใช่กลุ่มหมอก แต่จำแลงเป็นรูปร่างสิ่งประหลาดต่างๆ อย่างเช่นตอนนี้ที่ปรากฏขึ้นในสัมผัสของสวี่ชิง เป็นปลาสีดำขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
ร่างกายปลาตัวนี้ขนาดนับร้อยจั้ง หลังถูกดึงดูดเข้ามาก็ว่ายวนที่นี่รอบหนึ่ง สุดท้ายเหมือนทนไม่ไหว พุ่งเข้าประชิดฉับพลัน และพริบตาที่มันเข้าใกล้ สวี่ชิงก็เดินออกไป ปรากฏที่ข้างกายเจ้าใบ้ ยกมือขวาขึ้นกดลงทันที
ปลาสีดำตัวนั้นตัวสั่นเทา คิดจะถอยหนีก็สายไปเสียแล้ว การระเบิดของเพลิงวิญญาณอนธการราวกับเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ คลุมปลาใหญ่ตัวนี้เอาไว้ หดลงฉับพลัน ทันใดนั้นพลังวิญญาณที่เย็นเยียบก็ไหลตามเปลวเพลิง หลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกายสวี่ชิง
สะกดไว้ในช่องเวทที่เจ็ดสิบสี่ ทำให้ช่องเวทนี้เสร็จสมบูรณ์
สวี่ชิงพึงพอใจ นั่งขัดสมาธิเฝ้ารอต่อไป
การสร้างฐานของเจ้าใบ้ครั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้าดำเนินการไปแล้วครึ่งหนึ่ง จึงไม่ได้ต่อเนื่อวนานนัก เวลากระแสน้ำของเขาก็เพียงเจ็ดวันเท่านั้น
แม้จะเท่านี้ แต่ก็เพียงพอให้สวี่ชิงได้ตกปลาแล้ว ถึงอย่างไรในสัมผัสของเงาดำเหล่านั้น เจ้าใบ้ก็เหมือนเป็นแค่ตะเกียงสว่างยามค่ำคืน เต็มไปด้วยแรงดึงดูด
ไม่นานนัก ช่องเวทที่เต็มขั้นบริบูรณ์ของสวี่ชิงก็มาถึงช่องที่แปดสิบ จากนั้นก็เก้าสิบ ถึงวันที่หกเขาก็สะกดวิญญาณลงไปในช่องเวททั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบช่องสำเร็จ!
แต่สวี่ชิงก็ยังไม่จบแค่นี้ เพราะวิญญาณที่สะกดอยู่ในช่องเวทสามารถนำวิญญาณที่ดีกว่าแทนที่ได้ วันที่เจ็ดสวี่ชิงจึงยังดำเนินการต่อ และจัดการเปลี่ยนเงาใหญ่สามเงาเข้าไปแทนที่ในร่างกายได้สำเร็จ
หลังจากกระแสน้ำสัมผัสช่องเวทของเจ้าใบ้สิ้นสุดลง เขาก็เริ่มต้นสร้างฐานอย่างแท้จริงเสียที เงาดำเหล่านั้นก็สลายหายไปจนหมด ไม่กลับมาอีกแล้ว
แม้สวี่ชิงจะเสียดาย แต่ที่มากกว่าคือความพึงพอใจ
ส่วนเจ้าใบ้ก็ลืมตาขึ้นในคืนฝนพรำวันที่เก้า เปิดช่องเวทช่องแรกในร่างกาย แผ่คลื่นพลังเวทออกมา เขาย่างสู่สร้างฐานสำเร็จแล้ว!
หลังจากสัมผัสพลังบำเพ็ญแล้ว เจ้าใบ้ก็คุกเข่าลงคารวะสวี่ชิงอย่างซาบซึ้ง โขกศีรษะอีกครั้ง
สวี่ชิงมองเจ้าใบ้ เอ่ยอย่างสงบ
“เจ้าเรียนรู้เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณได้แล้ว ต้องรีบเปิดไฟชีวิตดวงที่หนึ่งให้ไวที่สุด เพราะ…สร้างฐานที่ไม่มีสภาวะแสงนภา ก็เป็นได้แค่ไก่เดินดินเท่านั้น
“มีเพียงการก่อไฟชีวิตดวงที่หนึ่ง เปิดใช้งานสภาวะแสงนภา จึงจะนับเป็นผู้บำเพ็ญสร้างฐานที่แท้จริง”
หลังจากเจ้าใบ้โขกศีรษะหนักๆ เสียงดัง ดวงตาก็เผยแววแน่วแน่
ขณะเดียวกัน ด้านนอกพันธมิตรแปดสำนัก ในป่าภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยที่ไม่ห่างไกลเท่าไร หลุมศพโดดเดี่ยวหลุมหนึ่ง มีเงาสองร่างกำลังเดินออกมาจากด้านหน้าหลุมศพในค่ำคืนที่หยาดฝนเย็นเยียบ
รอบด้านเงียบสงัดไม่มีเสียงใด ราวกับว่าการมาถึงของพวกเขา ทำให้ทุกสรรพชีวิตไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงซ่าของน้ำฝนเท่านั้นที่แฝงความเย็นเยียบเล็กน้อยเอาไว้ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน
เงาสองร่างนี้อยู่ในชุดคลุมดำสนิท คลุมปิดส่วนหัว เผยออกมาแค่…หน้ากากที่เหมือนกับเสี้ยวหน้าเทพเจ้า
หน้ากากแผ่กลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกพรั่นพรึงใจไม่สงบกระจายออกไปรอบทิศ
มองไกลๆ พวกเขาที่อยู่ในคืนฝนพรำ ราวกับเทพเจ้าย่างก้าวอยู่บนโลกมนุษย์
ตัวตนทั้งหมดที่พบตลอดทางไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญแบบใด ด้วยความแตกต่างของระดับชั้นพลังชีวิต จึงไม่อาจสัมผัสถึงพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย
สองคนนี้คือนกเขาราตรีแห่งเทียนประทีปกับเจ้านายของเขา
“พันธมิตรแปดสำนักใกล้จะมาแล้ว คนที่เชิญพวกเรามาชมการแสดงนั่นเตรียมตัวพร้อมหรือยัง” คนชุดดำที่เดินอยู่ด้านหน้า ภายใต้หน้ากากมีเสียงชายหนุ่มลอดออกมา
“นายท่าน เขาเตรียมการเสร็จแล้วขอรับ”