ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 313 แสงสายหนึ่ง!
บทที่ 313 แสงสายหนึ่ง!
นายท่านหก เป็นคนที่น่าสงสาร
ในอดีตเขาเคยเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่โดดเด่นเช่นเดียวกับนายท่านเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิต เดิมทีพลังบำเพ็ญไม่ได้หยุดอยู่แค่ปราณก่อกำเนิด แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญของคนผู้นี้ หญิงสาวที่เขารักใคร่ ศิษย์น้องของเขา ดับสูญไปอย่างไม่คาดคิด
การดับสูญครั้งนั้น เกิดขึ้นเพราะช่วยชีวิตเขา
ทำให้ใจนายท่านหกเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาคุ้มคลั่ง เสียอกเสียใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นและลุกขึ้นมาใหม่ได้ นำความหวังทั้งหมดฝากไว้กับทายาทที่ภรรยาผู้ล่วงลับทิ้งไว้
ลูกชายของเขาเองก็มุ่นมั่น ฝึกบำเพ็ญอย่างมุมานะบากบั่น ร่างกายก็ยอดเยี่ยม สิ่งนี้ทำให้ความเสียใจในใจนายท่านหกค่อยๆ ตกตะกอน ราวกับชีวิตมีความหวังอีกครั้ง
แต่บางครั้งโชคชะตาก็เย็นชาเช่นนี้ ลูกชายสุดที่รักของเขาหายสาบสูญไปจากการออกไปฝึกที่ด้านนอก
การแตกสลายของตราชีวิต ทำให้เขารู้ว่าลูกชายที่รักดับสูญไปแล้ว
สิ่งนี้สำหรับนายท่านหก ระดับความหนักหน่วงไม่ได้ด้อยไปกว่าการดับสูญของคนรักในอดีตเลย สิ่งที่ทำให้อารมณ์ในก้นบึ้งจิตใจเขานั้นไม่อาจสลายหายไปได้จนกลายมาเป็นแรงกดดันคือเขาค้นหามาหลายปี แต่ก็ไม่เจอเบาะแสใดเลย
นับจากนั้น นายท่านหกจึงเศร้าสลด เมามายสุราทั้งวัน บางครั้งมองพระจันทร์ก็ร้องไห้ เจ็บปวดสิ้นหวัง
ภาพนี้ คนทั้งหมดของเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนั้นเห็นกับตา แต่ก็ยากจะปลอบประโลมจิตวิญญาณเขา ทำได้เพียงทอดถอนใจ
สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุที่หลังจากสวี่ชิงค้นพบเบาะแสบางอย่าง นายท่านหกจึงคลั่งขึ้นมา และเป็นสาเหตุที่ต่อให้เสี่ยเลี่ยนจื่อกำลังทำสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร ก็ยังยอมให้นายท่านหกลงมือ
และเป็นสาเหตุที่นายท่านหกปฏิบัติกับสวี่ชิงแตกต่างออกไป
และทั้งหมดภายหลังก็พัฒนาไปในทางที่ดี เจ็ดเนตรโลหิตยกระดับเป็นสำนักหลักได้สำเร็จ เข้าสู่พันธมิตร ย้ายจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมายังมณฑลรับเสด็จราชัน
ในจุดนี้ นายท่านหกก็รู้สึกปลดปลงมากพอควรแล้ว พละกำลังของเขาขึ้นตรงกับเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ยังคอยให้ความสำคัญกับสวี่ชิงอยู่เงียบๆ เฝ้ารอจังหวะที่ต้องการตน ออกไปตอบแทนน้ำใจในครั้งนั้น
แต่…ตอนนี้ทั้งหมดกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
นายท่านหก ดับสูญ
การตายของเขา สั่นสะเทือนทั้งเจ็ดเนตรโลหิตถึงขีดสุด
เพราะศึกกับเผ่าสิงซากสมุทรเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เจ็ดเนตรโลหิตจะบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แต่ก็ไม่มีเจ้ายอดเขาระดับปราณก่อนกำเนิดดับสูญไปเลย
กระทั่งในช่วงสองร้อยปีมานี้ ภายใต้การนำของเสี่ยเลี่ยนจื่อ และการให้ความร่วมมือของชนรุ่นหลังอย่างนายท่านเจ็ด เจ็ดเนตรโลหิตก็รุ่งเรืองขึ้นมา ในช่วงนี้ยังคงไม่มีระดับปราณก่อนกำเนิดคนใดล้มตายแม้แต่คนเดียว
ระดับปราณก่อนกำเนิดดับสูญไปครั้งที่แล้ว คือช่วงก่อนหน้าสองร้อยปี ในศึกที่เลวร้ายของเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรครั้งหนึ่ง
ศึกนั้น เผ่าสิงซากสมุทรเกือบจะตีเข้ามาจนถึงแผ่นดินหลักของเจ็ดเนตรโลหิต ขณะที่บรรพจารย์รุ่นที่แล้วบาดเจ็บหนัก เจ้ายอดเขาต่างๆ ล้มตายไปกว่าครึ่ง เสี่ยเลี่ยนจื่อที่ออกไปฝึกฝนด้านนอกหลายปี กระทั่งคนมากมายลืมเลือนไปก็กลับมา
เขาสำแดงพลังบำเพ็ญระดับซ่อนวิญญาณขั้นสมบูรณ์ที่เกินกว่าคนทั้งหมดจะคาดเดาได้ออกมา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็ปลดเปลื้องอันตรายของเจ็ดเนตรโลหิตลงไป
นับจากนั้น ก็ดูแลเจ็ดเนตรโลหิตต่อมา
หลังจากนั้น เจ็ดเนตรโลหิตก็พัฒนามาเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญปราณก่อนกำเนิดก็ทยอยปรากฏออกมาในช่วงฟ้าหลังฝน แต่ถึงอย่างไรระดับปราณก่อนกำเนิดสำหรับผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ทั่วไปก็ยากที่จะไปถึง
ดังนั้นหลายปีมานี้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในนี้เป็นนายท่านเมื่อครั้งนั้นของยอดเขาลำดับหนึ่งและยอดเขาลำดับสี่ ที่เหลืออีกหกคนเป็นรุ่นใหม่ในช่วงสองร้อยปีนี้
นายท่านเจ็ดกับนายท่านหก เข้าสำนักมาพร้อมกัน และเคยช่วงชิงตำแหน่งอัจฉริยะฟ้าประทานกัน
ตอนนี้ เห็นร่างไร้วิญญาณของนายท่านหกร่วงลงมาจากท้องฟ้ากับตา สูญสหายไปทีละชุ่น สลายกลายเป็นฝนเลือดที่เย็นเยียบพร่างพรมสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ดวงตาของนายท่านเจ็ดก็แดงรื้นขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
เขาไม่ใช่เทพเจ้า เขาไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ
เสี่ยเลี่ยนจื่อก็เช่นกัน
เขาคำนวณได้ว่าสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าจะต้องเป็นเชื้อร้าย คำนวณได้ว่าท่าทีของประธานพันธมิตรนั้นหมิ่นเหม่คลุมเครือ คำนวณได้ว่าบางทีจะเกิดวิกฤตในสำนักขึ้นสักอย่างหนึ่ง และคำนวณไว้ว่าในวิธีการสร้างวิกฤตนี้ จะต้องมีสำนักที่ทรยศอยู่
และสำนักทรยศจะต้องมีโอกาสข้องเกี่ยวไปถึงเทียนประทีป
สิ่งเหล่านี้ นายท่านเจ็ดคำนวณถูกต้องแล้ว กระทั่งยังดำเนินการเตรียมการไว้แล้วไม่น้อย รวมถึงการสำแดงของของวิเศษต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า ในความเป็นจริงเสี่ยเลี่ยนจื่อกับนายท่านเจ็ดก็คาดการณ์ไว้
พวกเขาจึงทำตามแผนการล่วงหน้า ใช้โอกาสนี้พลิกกลับมาสะกดของวิเศษต้องห้ามเมฆาจรดฟ้า เป้าหมายคือช่วงชิงมันให้กลายมาเป็นขุมพลังของสำนักตนเอง
แต่…พวกเขาคำนวณพลังที่แท้จริงของเทียนประทีปไม่ได้ว่าจะแตกต่างกับที่มณฑลรับเสด็จราชันล่วงรู้มหาศาล
สิ่งนี้ไม่อาจโทษนายท่านเจ็ดกับเสี่ยเลียนจื่อ อันที่จริงไม่ใช่แค่พวกเขา ขั้วอำนาจทั้งหมดของมณฑลรับเสด็จราชัน ก็คำนวณเทียนประทีปพลาดไป พวกเขายังคงหยุดอยู่จากสิ่งที่รู้ในอดีต
พวกเขาไม่รู้ว่าเทียนประทีป จะเปลี่ยนไปแล้วเพราะการมาเยือนของคนผู้หนึ่ง
โดยเฉพาะตอนที่เงานั้นสังหารนายท่านหก พลังต่อสู้ที่ระเบิดออกมากลับเป็นหวนสู่อนัตตา สิ่งนี้ไม่มีบันทึกไว้ในรายงานของขั้วอำนาจทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นยังชัดเจนว่า นี่เป็นแผนการที่วางไว้ก่อนแล้ว เจาะจงราวกับอีกฝ่ายตรงมาที่นี่เพื่อมาสังหารนายท่านหก กระทั่งยังสำแดงพลังวิชาที่ไม่รู้จักอีกด้วย ทำให้การป้องกันทั้งหมดของนายท่านหก สิ่งของปกป้องชีวิตทั้งหมดถูกสะกดไว้ไม่ให้ใช้งานได้ สิ่งที่เขาต้องการคือสังหารให้ตายในคราวเดียว
ในความเป็นจริงเองก็เป็นเช่นนี้ ภารกิจที่เงาดำนั่นตรงมาที่นี่ ก็คือนายท่านหก
ระหว่างทางที่เห็นสวี่ชิงแล้วลงมือกับเขา ก็เป็นแค่การสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เพราะสวี่ชิงไม่ใช่ภารกิจของเขา
เฉกเช่นฆ่าไก่ไม่ต้องใช้ดาบล้มวัว จะหนีก็หนีไป เมื่อเทียบกับสิ่งตอบแทนที่ได้จากการสังหารสวี่ชิง ที่เขาสนใจคือการทำภารกิจของนายท่านให้ลุล่วง เขาจึงทุ่มเทสุดกำลังกับนายท่านหก
พอสังหารจบก็หนีไป ไม่แตะต้องใครอีก
ตอนนี้ร่างกายนายท่านเจ็ดสั่นเทิ้ม แหงนมองเงาดำบนท้องฟ้าห่างไกล ความอาฆาตมาดร้ายในดวงตาเขาสั่นสะเทือนฟ้าดิน บิดเบี้ยวไปรอบทิศ กระทั่งทั่วทั้งเจ็ดเนตรโลหิตยังสั่นสะเทือนขึ้นมา แต่เขากลับต้องสะกดมันลงไป
เพราะตอนนี้เขาออกไปไม่ได้ เขายังต้องสะกดของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้ากับบรรพจารย์ที่นี่ ถ้าพวกเขาออกไป แผนการทั้งหมดไม่ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องรอง แต่การระเบิดของของวิเศษต้องห้าม จะทำให้บาดเจ็บหนักทั้งสำนัก
ในดวงตาเสี่ยเลี่ยนจื่อก็มีความโศกเศร้าด้วยเช่นกัน หันหน้าก้มลงคำรามเสียงต่ำ ทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสะกดของวิเศษต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า และยอดเขาอื่นเวลานี้ก็ล้วนกำลังสั่นสะท้าน พวกเขามองศพของนายท่านหกกลายเป็นฝนเลือดอย่างไม่อยากเชื่อ ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั้งจิตวิญญาณ
ผู้คุ้มกฎแก่นลมปราณคนอื่นรวมถึงศิษย์ที่ยังอยู่ในยอดเขา ทั้งหมดโศกสลด ในนี้โดยเฉพาะเหล่าองค์ชายองค์หญิงของยอดเขาลำดับหก ร่างกายสั่นเทิ้ม กรีดร้องคำรามแทบขาดใจ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ส่วนบรรพจารย์ของสำนักอื่นๆ หลังจากสัมผัสได้ถึงภาพนี้ ก็สีหน้าเคร่งขรึมกันหมด
ในนี้มีหลายคนประกบปางมือ ทำให้ค่ายกลใหญ่พันธมิตรกลายเป็นการปิดล้อม กระทั่งใบหน้าประธานพันธมิตรบนท้องฟ้า ก็ยังมีความมืดมนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จำแลงภาพมายาออกมา หลังจากมองสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ก็หันไปมองเมืองของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
สายตาของพวกเขาหยุดอยู่ที่หลังคายอดหอคอยแห่งหนึ่ง
ขณะที่ท้องฟ้าบิดเบี้ยว เหล่าบรรพจารย์ของพันธมิตรนอกเหนือจากเสี่ยเลี่ยนจื่อ พากันจำแลงร่าง แรงกดดันทั้งหมดเข้าปิดล้อมที่นั่นเอาไว้
จิตสังหารรุนแรงขึ้นมหาศาลในตอนนี้ ทำให้อาณาเขตที่พวกเขาจับจ้อง ความว่างเปล่าปริแตกเป็นสาย ราวกับว่ามิติที่นั่นกำลังจะพังทลาย
และบนยอดหลังคานี้ มีคนในชุดคลุมดำสวมหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าคนหนึ่งอยู่ มือสองข้างของเขารองหัวเอาไว้ นอนอยู่บนหลังคา กำลังเงยหน้ามองพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องบนท้องฟ้า
ข้างๆ เวลานี้มิติบิดเบี้ยว ปรากฏร่างของนกเขาราตรี ยืนอยู่ข้างๆ เงียบๆ
“นายท่าน ของขวัญการพบหน้าเจ็ดเนตรโลหิต ส่งเสร็จสิ้นแล้วขอรับ” นกเขาราตรีเอ่ยอย่างนอบน้อม ต่อให้เวลานี้บรรพจารย์ของพันธมิตรหลายคนปิดล้อมเอาไว้ จิตสังหารรุนแรง แรงกดดันโหมขึ้นฟ้า แต่เสียงของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่ได้สนใจโลกภายนอกเลย
ในสายตาเขา มองแค่เจ้านายที่กำลังมองท้องฟ้า
“การแสดงนี้ ค่อนข้างธรรมดานะ” เสียงเย็นชาของชายหนุ่มดังมาเนิบๆ
“ขอรับ นายท่าน ให้ข้าไปเก็บหน้ากากกลับมาหรือไม่ขอรับ” นกเขาราตรีเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
“ไม่ต้อง แม้การแสดงจะธรรมดา แต่ก็ยังพอมีอะไรให้ดู” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง มองเจ็ดเนตรโลหิต หลังจากยิ้มก็ลุกขึ้นยืน
“ดูการแสดงจบแล้ว พวกเราไปดีกว่า” ชายหนุ่มพูดพลางเดินลงจากหอคอย เดินไปบนถนน
มิติปริแตกหลายสายรอบๆ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันทางสายตาของเหล่าบรรพจารย์บนท้องฟ้าที่จับจ้องมา บนพื้นเองก็เช่นกัน หลายพื้นที่ยุบตัวโป่งขึ้นดูไม่เป็นธรรมชาติ ส่งเสียงพังถล่มน่ากลัวออกมา
ยิ่งมีจิตสังหารจากรอบด้านมารวมกัน ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศ จนทำให้หิมะก่อตัวขึ้นกลางอากาศแล้วร่วงหล่นลงมา
ขณะเดียวกันแรงกดดันที่แผ่ซ่านไประหว่างฟ้าดินก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะทำให้ความว่างเปล่าทั้งหมดแข็งตัวจนคนไม่อาจเดินหน้าต่อได้
แต่ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากคนนั้นกลับเดินได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าจะถูกปิดล้อมโดยผู้แข็งแกร่งของพันธมิตร แม้ว่าบนท้องฟ้าจะมีประธานพันธมิตรหวนสู่อนัตตาขั้นสอง เขาก็ยังคงสบายอกสบายใจเหลือล้น
ราวกับว่าสำหรับเขาทั้งหมดนี้ไม่มีความหมายใดเลย สถานที่ที่เขาอยากจะไปในฟ้าดินนี้ ใครก็ขวางเขาไม่ได้ ตอนที่เขาอยากจะจากไป ก็ต้องเป็นเช่นนี้
นกเขาราตรีเดินตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ
ในจังหวะที่ชักกระบี่ง้างธนูนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมดำผู้สวมหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่เดินอยู่เบื้องหน้า ก็เดินผ่านแผงร้านถังหูลู่
มนุษย์สามัญที่นี่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปนานแล้ว ครึ่งเขตเมืองเมฆาจรดฟ้าว่างเปล่า และด้วยรีบร้อนเคลื่อนย้าย สิ่งของต่างๆ จึงกระจัดกระจายอยู่รอบๆ
ชายหนุ่มเหลือบมองถังหูลู่ผาดหนึ่ง ดวงตาเผยความทรงจำออกมา เดินไปหยิบมาไม้หนึ่ง
“น้องชายชอบกิน”
เห็นการกระทำของคนผู้นี้ เหล่าบรรพจารย์สำนักต่างๆ บนท้องฟ้า สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึม
ระดับของเรื่องนี้ยกขึ้นมาสูงสุดในเสี้ยววินาทีที่สองคนนี้ปรากฏตัว
และขณะเดียวกัน เจ็ดเนตรโลหิตก็สะกดของวิเศษต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าสำเร็จ พริบตาต่อมา เงาของนายท่านเจ็ดกับเสี่ยเลี่ยนจื่อก็พุ่งจากเจ็ดเนตรโลหิตตรงมาทางนี้
ประธานพันธมิตรแปดสำนักบนท้องฟ้า ดวงตาเย็นชา เอ่ยขึ้นแช่มช้า
“เทียนประทีป เจ้าคิดจะเปิดศึกกับพันธมิตรแปดสำนักเช่นนั้นหรือ!”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ดวงตามองลอดผ่านดวงตาของหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้า หัวเราะเบาๆ
“นกเขาราตรี”
“ขอรับ!” นกเขาราตรีที่อยู่ด้านหลัง ล้วงกล่องไม้เรียบง่ายกล่องหนึ่งออกมาจากในอก กล่องไม้ใบนี้มีฝาอยู่ เวลานี้นกเขาราตรีเปิดฝามันออกเบาๆ
แสงสายหนึ่ง…สาดออกมาจากในกล่องไม้ฉับพลัน
แสงนั้นไร้สีไร้รูปร่าง มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ พริบตาที่ปรากฏ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี แผ่นดินใหญ่ครืนครัน ทะเลต้องห้ามก้องคำราม ตะวันจันทราไร้สี!
คนทั้งหมดของเจ็ดเนตรโลหิต ไม่ว่าจะธรรมดาสามัญ จะเป็นเหล่าศิษย์ จะเป็นบรรพจารย์ ล้วนหน้าเปลี่ยนสีไปในวินาทีนี้
เพราะแสงนั้น…
คือสายตาที่แผ่ออกมาหลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาขึ้น!!